เท้ง นำส.ส.-สก.ประชาชน ขึ้นดาดฟ้ารัฐสภา ชี้วิกฤต PM 2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ แนะ 3 ข้อเสนอ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5036166
‘ปชน.’ แถลงวิกฤต PM 2.5 คือ วิกฤตภาวะผู้นำเสนอ 3 มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างจริงจัง อุดช่องโหว่การบริหารราชการระดับประเทศ-ท้องถิ่น เชื่อ หาก กทม.ทำได้จะเป็นโรลโมเดลให้พื้นที่อื่น ขณะที่ ‘ส.ก.บางซื่อ’ ยก 3 เรื่องตบหน้า ‘ชัชชาติ’ มีอำนาจเต็มสางปัญหา
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยส.ส. และสภาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ร่วมแถลงข่าววิกฤต PM 2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ และข้อเสนอเชิงนโยบาย บริเวณดาดฟ้า อาคารรัฐสภา
โดย นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน.ได้พาเพื่อนส.ส. และส.ก. ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อแม่พี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาร่วมกันแก้ไขปัญหา และแนะนำข้อเสนอต่อผู้นำประเทศ เนื่องจากเห็นว่า สาเหตุที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เป็นผลมาจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในระดับประเทศ และในระดับท้องถิ่น จึงต้องหันมาแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อพี่น้องประชาชน เพราะปัญหาเรื่องฝุ่นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครต้องอยู่ภายใต้วันที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ประมาณ 30 กว่าวัน จึงถือเป็นปัญหาวิกฤตอย่างมาก เพราะประชาชนคนไทยไม่ได้เพิ่งรู้จักปัญหานี้ แต่รู้จักมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงปีที่ 3 ของผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ซึ่งเชื่อว่า ถ้ามีการทำงานกันสอดประสานกันในผู้นำ 2 ระดับ เราจะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ดีกว่านี้ เพราะหากเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2568 จะพบว่า ปัญหาฝุ่นเพิ่มขึ้นถึงมากกว่าเดิมถึง 20% ขณะเดียวกัน หากติดตามค่าฝุ่นจะรู้ว่า มีปริมาณเท่ากับการสูบบุหรี่ 1.7 มวน และที่ผ่านมาพรรคประชาชน จึงพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ อาทิ การผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด ที่ขณะนี้อยู่ในรัฐสภา รวมถึงมาตรการอื่นๆ และการตั้งกระทู้ถาม ตลอดจนผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์ในอนาคตและข้อบัญญัติเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นต้น
“
ปัญหาฝุ่นไม่ได้กระทบกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กระทบตั้งแต่เด็กในครรภ์จนถึงผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ยังสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจนับเป็นมูลค่าราวๆ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นเวลาที่รัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่น จำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง อุดช่องว่างที่เกิดในการบริหารระหว่างกัน และเดินหน้าแก้ไขเพื่อประชาชนโดยเร็วที่สุด” นาย
ณัฐพงษ์ กล่าว
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ถ้าผู้นำทั้งสองระดับทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นร่วมมือสอดประสานกันจะสามารถดำเนินมาตรการหลายๆ อย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงขอแนะข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่ผู้บริหารทั้งสองระดับอาจจะดำเนินการทำแล้วแต่ยังทำไม่เพียงเพียงพอ 2. กลุ่มที่สื่อสารมาแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง และ 3.กลุ่มที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการใดๆ ส่วนเรื่องนโยบาย Low emissions zone ในกทม.หลายพื้นที่ยังไม่ครอบคลุม ข้อเสนอคืออยากให้มีการผลักดันมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมมากขึ้น และเรื่องอำนาจที่ยังไม่มากพอที่รัฐบาลส่วนกลางยังไม่มอบให้กับท้องถิ่น ดังที่กรุงเทพมหานครระบุว่ายังไม่มีอำนาจในการตรวจ จับ ปรับรถควันดำ ซึ่งต้องอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.การขนส่งทางบก ที่รอการสอดประสานจากรัฐบาลส่วนกลาง
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า เราเสนอว่าผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้กฤษฎีกาตีความว่ากรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจในการดำเนินการทำเอง แต่อย่าลืมว่ายังมีรัฐบาลระดับประเทศมีอำนาจเต็มในการที่จะออกกฎหมายลำดับรองหรือประกาศต่างๆ เพื่อกำหนดให้พื้นที่กทม.ต่อจากนี้อีกกี่ปีต้องใช้รถโดยสารพลังงานสะอาด ส่วนเรื่องปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ทำอย่างไรให้มีการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับอายุของรถ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น และการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งกรุงเทพมหานครยังขาดอำนาจในการจัดการมลพิษในกทม.คือการรอประกาศกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้สามารถควบคุมมลพิษจากภาคขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาภาคการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อว่าหากกรุงเทพมหานครสามารถขจัดปัญหาฝุ่นได้ ก็จะสามารถเป็นโรลโมเดลให้กับพื้นที่อื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน สภาฯ จะมีการถกแนวการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง
ขณะที่ น.ส.
ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ กล่าวว่า ที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ อ้างว่าไม่มีอำนาจเต็มมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ตนพบว่า มี 3 เรื่องที่ผู้ว่าฯ กทม. มีอำนาจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 1.มาตรการเขตลดฝุ่น LEC ที่ห้ามรถบรรทุกเกิน 6 ล้อที่ไม่ได้ลงทะเบียนกรีนลิสต์เข้ามาวิ่งในโซนกทม.ชั้นใน เป็นจำนวน 2 วัน ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.มีอำนาจเต็มตามมาตรา 29 ของพ.ร.บป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการ แต่เหตุใดถึงประกาศแค่โซนกทม.ชั้นใน ไม่ประกาศทั่วกทม.50 เขตที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นสีแดง
น.ส.
ภัทราภรณ์ กล่าวต่อว่า ผู้ว่าฯ กทม.ได้แจ้งว่า ที่บังคับใช้มาตรการ LEC ในกทม.ชั้นใน เพราะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์ และรถสาธารณะมากกว่าโซนอื่น แต่หากเราใช้มาตรการ LEC ทั่วกทม. แล้วขยายเวลาจาก 2 วันเป็น 1 สัปดาห์ ตนคิดว่า จะสามารถลดฝุ่นได้จำนวนมาก 2.ไม่มีการประกาศมาตรการเวิร์คฟรอมโฮม ทั้งที่ กทม.ประกาศค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้มมาตลอดสัปดาห์ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ว่าฯ กทม.ก็มีอำนาจเต็ม ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องรออะไร และ 3.กรณีที่ผู้ว่าฯ กทม.เสนอไปยังรัฐบาลให้ลดเกณฑ์ตรวจค่าทึบแสงควันดำรถยนต์ จาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่า ไม่มีอำนาจ ไม่ทราบว่าได้ดำเนินการให้ลดเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ เนื่องจากยังพบว่า มีควันดำปล่อยออกมาจากรถอยู่
ส.ส.ปชน.นำอดีตผู้สมัครนายกอบจ.สมุทรปราการ ร้องวันนอร์ ชี้หลักฐานทุจริตเพียบ แต่คดีไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5036111
“ส.ส.ปชน.”พา อดีตผู้สมัคร นายกอบจ.สมุทรปราการ นำหลักฐานทุจริตเลือกตั้ง ยื่น “วันนอร์” ช่วยสอบ หลังแจ้งความ สภ.พระประแดงไม่คืบ
เวลา 09.40 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ส.ส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน(ปชน.) นำโดย น.ส.
พนิดา มงคลสวัสดิ์ นาย
วีรภัทร คันธะพร้อมด้วย นาย
นพดล สมยานนทนากุล อดีตผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ พรรคประชาชน นำหลักฐานการทุจริตการเลือกตั้งนายกอบจ.สมุทรปราการ มายื่นให้นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ โดยมีนาย
คัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาฯ เป็นผู้รับหนังสือ
โดยนาย
นพดล กล่าวว่า การมายื่นหนังสือถึงประธานสภาฯครั้งนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย และการเลือกตั้งก็เป็นรากฐานของประชาธิปไตย เช่นเดียวกัน
“โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา ชาวสมุทรปราการต่างพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น เราจึงต้องทำเพื่อปกป้องทุกคะแนนเสียง และเจตนารมณ์ของประชาชน จึงมาขอความเป็นธรรมผ่านประธานสภาฯ เพื่อให้ดำเนินการติดตามว่าเกิดเหตุผิดปกติอะไรขึ้นใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งผมได้ยื่นหลักฐานบางส่วนให้ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ไปแล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และกำลังรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อไปยื่นกกต.อีกครั้ง พร้อมแจ้งความดำเนินคดี รวมถึงจะยื่นเรื่องไปยัง รมว.มหาดไทยด้วย” นาย
นพดล กล่าว
ด้านนาย
วีรภัทร กล่าวว่า การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมาเราพบความผิดปกติมากมาย ซึ่งทางพรรคได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว เช่น การแจ้งความที่สภ.พระประแดง เพื่อดำเนินการกับผู้ที่มีลักษณะซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่สภ.พระประแดง โดยร้อยเวรให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ไม่ใช่เพื่อประสงค์ดำเนินคดี โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะอำนาจสอบสวนอยู่ที่ กกต. ฝ่ายเดียว ทั้งที่จริงๆแล้วพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการพร้อม ๆ กับ กกต.ได้
“
ผมขอฝากไปยัง สภ. พระประแดงและหน่วยงานยุติธรรมที่เกี่ยวข้องว่า จริง ๆ แล้วก็มีระบบติดตามใบหน้าของผู้ที่กระทำผิด จึงไม่ควรมีข้ออ้างใด ๆ ว่าไม่สามารถติดตามผู้กระทำผิดได้ ขอว่าอย่าประวิงเวลาคดี เพื่อไปซักซ้อมพยาน เพราะตรงนี้เราค่อนข้างกังวล ในการติดตามดำเนินคดี และเราจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการทำงานของ กกต. เพราะที่ผ่านมาในการทำงานหลายอย่างของ กกต. ไม่เป็นไปตามหลักสากล เช่น จัดการเลือกตั้งวันเสาร์ และทุกเพจในจังหวัดสมุทรปราการหากไปเปิดดูจะพบมีแต่คำว่า 200 ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงอยากให้กกต. ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม” นาย
วีรภัทร กล่าว
นาย
วีรภัทร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีหลักฐาน การรายงานผลนับคะแนนของอำเภอพระประแดง ที่มีชื่อผู้สมัคร ส.อบจ.หมายเลข 1 และ 2 แค่ 2 คน
แต่ ในใบนับคะแนนกลับมีหมายเลข 4 มาด้วย ซึ่งหมายเลข 4 เป็นผู้สมัครนายกอบจ. ขณะที่ป้ายนับคะแนนของหน่วยเดียวกัน มีเพียง 2 หมายเลข แต่ใบนับคะแนน กับใบลงคะแนนไม่ตรงกัน ส่วนใบลงคะแนนของนายกอบจ. มีการลงคะแนนที่สลับไปมาทำให้สับสน นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของหน่วยที่มีคนของพรรคฯไปเฝ้า แต่ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่ยอมให้เข้าไปเฝ้าหน่วย และคะแนนคู่แข่งออกมาแบบชนะขาดลอย
ขณะที่นาย
คัมภีร์ กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเรียนไปยังประธานสภาฯ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป และจะแจ้งไปยังกกต.เพื่อให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้น
JJNY : เท้งชี้วิกฤตPM 2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ│ส.ส.ปชน.นำอดีตผู้สมัครร้องวันนอร์│‘ปชน.’บี้รับมือทรัมป์│วิป 3ฝ่ายจัดสรรลงตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5036166
‘ปชน.’ แถลงวิกฤต PM 2.5 คือ วิกฤตภาวะผู้นำเสนอ 3 มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างจริงจัง อุดช่องโหว่การบริหารราชการระดับประเทศ-ท้องถิ่น เชื่อ หาก กทม.ทำได้จะเป็นโรลโมเดลให้พื้นที่อื่น ขณะที่ ‘ส.ก.บางซื่อ’ ยก 3 เรื่องตบหน้า ‘ชัชชาติ’ มีอำนาจเต็มสางปัญหา
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยส.ส. และสภาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ร่วมแถลงข่าววิกฤต PM 2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ และข้อเสนอเชิงนโยบาย บริเวณดาดฟ้า อาคารรัฐสภา
โดย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน.ได้พาเพื่อนส.ส. และส.ก. ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อแม่พี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาร่วมกันแก้ไขปัญหา และแนะนำข้อเสนอต่อผู้นำประเทศ เนื่องจากเห็นว่า สาเหตุที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เป็นผลมาจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งในระดับประเทศ และในระดับท้องถิ่น จึงต้องหันมาแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อพี่น้องประชาชน เพราะปัญหาเรื่องฝุ่นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครต้องอยู่ภายใต้วันที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ประมาณ 30 กว่าวัน จึงถือเป็นปัญหาวิกฤตอย่างมาก เพราะประชาชนคนไทยไม่ได้เพิ่งรู้จักปัญหานี้ แต่รู้จักมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงปีที่ 3 ของผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ซึ่งเชื่อว่า ถ้ามีการทำงานกันสอดประสานกันในผู้นำ 2 ระดับ เราจะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ดีกว่านี้ เพราะหากเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกันตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2568 จะพบว่า ปัญหาฝุ่นเพิ่มขึ้นถึงมากกว่าเดิมถึง 20% ขณะเดียวกัน หากติดตามค่าฝุ่นจะรู้ว่า มีปริมาณเท่ากับการสูบบุหรี่ 1.7 มวน และที่ผ่านมาพรรคประชาชน จึงพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ อาทิ การผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด ที่ขณะนี้อยู่ในรัฐสภา รวมถึงมาตรการอื่นๆ และการตั้งกระทู้ถาม ตลอดจนผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์ในอนาคตและข้อบัญญัติเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นต้น
“ปัญหาฝุ่นไม่ได้กระทบกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กระทบตั้งแต่เด็กในครรภ์จนถึงผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ยังสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจนับเป็นมูลค่าราวๆ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นเวลาที่รัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่น จำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง อุดช่องว่างที่เกิดในการบริหารระหว่างกัน และเดินหน้าแก้ไขเพื่อประชาชนโดยเร็วที่สุด” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ถ้าผู้นำทั้งสองระดับทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นร่วมมือสอดประสานกันจะสามารถดำเนินมาตรการหลายๆ อย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงขอแนะข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่ผู้บริหารทั้งสองระดับอาจจะดำเนินการทำแล้วแต่ยังทำไม่เพียงเพียงพอ 2. กลุ่มที่สื่อสารมาแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง และ 3.กลุ่มที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการใดๆ ส่วนเรื่องนโยบาย Low emissions zone ในกทม.หลายพื้นที่ยังไม่ครอบคลุม ข้อเสนอคืออยากให้มีการผลักดันมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมมากขึ้น และเรื่องอำนาจที่ยังไม่มากพอที่รัฐบาลส่วนกลางยังไม่มอบให้กับท้องถิ่น ดังที่กรุงเทพมหานครระบุว่ายังไม่มีอำนาจในการตรวจ จับ ปรับรถควันดำ ซึ่งต้องอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.การขนส่งทางบก ที่รอการสอดประสานจากรัฐบาลส่วนกลาง
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า เราเสนอว่าผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้กฤษฎีกาตีความว่ากรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจในการดำเนินการทำเอง แต่อย่าลืมว่ายังมีรัฐบาลระดับประเทศมีอำนาจเต็มในการที่จะออกกฎหมายลำดับรองหรือประกาศต่างๆ เพื่อกำหนดให้พื้นที่กทม.ต่อจากนี้อีกกี่ปีต้องใช้รถโดยสารพลังงานสะอาด ส่วนเรื่องปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ทำอย่างไรให้มีการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับอายุของรถ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น และการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งกรุงเทพมหานครยังขาดอำนาจในการจัดการมลพิษในกทม.คือการรอประกาศกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้สามารถควบคุมมลพิษจากภาคขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาภาคการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อว่าหากกรุงเทพมหานครสามารถขจัดปัญหาฝุ่นได้ ก็จะสามารถเป็นโรลโมเดลให้กับพื้นที่อื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน สภาฯ จะมีการถกแนวการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง
ขณะที่ น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ กล่าวว่า ที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ อ้างว่าไม่มีอำนาจเต็มมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ตนพบว่า มี 3 เรื่องที่ผู้ว่าฯ กทม. มีอำนาจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 1.มาตรการเขตลดฝุ่น LEC ที่ห้ามรถบรรทุกเกิน 6 ล้อที่ไม่ได้ลงทะเบียนกรีนลิสต์เข้ามาวิ่งในโซนกทม.ชั้นใน เป็นจำนวน 2 วัน ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.มีอำนาจเต็มตามมาตรา 29 ของพ.ร.บป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการ แต่เหตุใดถึงประกาศแค่โซนกทม.ชั้นใน ไม่ประกาศทั่วกทม.50 เขตที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นสีแดง
น.ส.ภัทราภรณ์ กล่าวต่อว่า ผู้ว่าฯ กทม.ได้แจ้งว่า ที่บังคับใช้มาตรการ LEC ในกทม.ชั้นใน เพราะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์ และรถสาธารณะมากกว่าโซนอื่น แต่หากเราใช้มาตรการ LEC ทั่วกทม. แล้วขยายเวลาจาก 2 วันเป็น 1 สัปดาห์ ตนคิดว่า จะสามารถลดฝุ่นได้จำนวนมาก 2.ไม่มีการประกาศมาตรการเวิร์คฟรอมโฮม ทั้งที่ กทม.ประกาศค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้มมาตลอดสัปดาห์ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ว่าฯ กทม.ก็มีอำนาจเต็ม ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องรออะไร และ 3.กรณีที่ผู้ว่าฯ กทม.เสนอไปยังรัฐบาลให้ลดเกณฑ์ตรวจค่าทึบแสงควันดำรถยนต์ จาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่า ไม่มีอำนาจ ไม่ทราบว่าได้ดำเนินการให้ลดเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ เนื่องจากยังพบว่า มีควันดำปล่อยออกมาจากรถอยู่
ส.ส.ปชน.นำอดีตผู้สมัครนายกอบจ.สมุทรปราการ ร้องวันนอร์ ชี้หลักฐานทุจริตเพียบ แต่คดีไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5036111
“ส.ส.ปชน.”พา อดีตผู้สมัคร นายกอบจ.สมุทรปราการ นำหลักฐานทุจริตเลือกตั้ง ยื่น “วันนอร์” ช่วยสอบ หลังแจ้งความ สภ.พระประแดงไม่คืบ
เวลา 09.40 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ส.ส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน(ปชน.) นำโดย น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ นายวีรภัทร คันธะพร้อมด้วย นายนพดล สมยานนทนากุล อดีตผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ พรรคประชาชน นำหลักฐานการทุจริตการเลือกตั้งนายกอบจ.สมุทรปราการ มายื่นให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ โดยมีนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาฯ เป็นผู้รับหนังสือ
โดยนายนพดล กล่าวว่า การมายื่นหนังสือถึงประธานสภาฯครั้งนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย และการเลือกตั้งก็เป็นรากฐานของประชาธิปไตย เช่นเดียวกัน
“โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา ชาวสมุทรปราการต่างพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น เราจึงต้องทำเพื่อปกป้องทุกคะแนนเสียง และเจตนารมณ์ของประชาชน จึงมาขอความเป็นธรรมผ่านประธานสภาฯ เพื่อให้ดำเนินการติดตามว่าเกิดเหตุผิดปกติอะไรขึ้นใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งผมได้ยื่นหลักฐานบางส่วนให้ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ไปแล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และกำลังรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อไปยื่นกกต.อีกครั้ง พร้อมแจ้งความดำเนินคดี รวมถึงจะยื่นเรื่องไปยัง รมว.มหาดไทยด้วย” นายนพดล กล่าว
ด้านนายวีรภัทร กล่าวว่า การเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมาเราพบความผิดปกติมากมาย ซึ่งทางพรรคได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว เช่น การแจ้งความที่สภ.พระประแดง เพื่อดำเนินการกับผู้ที่มีลักษณะซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่สภ.พระประแดง โดยร้อยเวรให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ไม่ใช่เพื่อประสงค์ดำเนินคดี โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะอำนาจสอบสวนอยู่ที่ กกต. ฝ่ายเดียว ทั้งที่จริงๆแล้วพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการพร้อม ๆ กับ กกต.ได้
“ผมขอฝากไปยัง สภ. พระประแดงและหน่วยงานยุติธรรมที่เกี่ยวข้องว่า จริง ๆ แล้วก็มีระบบติดตามใบหน้าของผู้ที่กระทำผิด จึงไม่ควรมีข้ออ้างใด ๆ ว่าไม่สามารถติดตามผู้กระทำผิดได้ ขอว่าอย่าประวิงเวลาคดี เพื่อไปซักซ้อมพยาน เพราะตรงนี้เราค่อนข้างกังวล ในการติดตามดำเนินคดี และเราจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการทำงานของ กกต. เพราะที่ผ่านมาในการทำงานหลายอย่างของ กกต. ไม่เป็นไปตามหลักสากล เช่น จัดการเลือกตั้งวันเสาร์ และทุกเพจในจังหวัดสมุทรปราการหากไปเปิดดูจะพบมีแต่คำว่า 200 ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงอยากให้กกต. ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม” นายวีรภัทร กล่าว
นายวีรภัทร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีหลักฐาน การรายงานผลนับคะแนนของอำเภอพระประแดง ที่มีชื่อผู้สมัคร ส.อบจ.หมายเลข 1 และ 2 แค่ 2 คน
แต่ ในใบนับคะแนนกลับมีหมายเลข 4 มาด้วย ซึ่งหมายเลข 4 เป็นผู้สมัครนายกอบจ. ขณะที่ป้ายนับคะแนนของหน่วยเดียวกัน มีเพียง 2 หมายเลข แต่ใบนับคะแนน กับใบลงคะแนนไม่ตรงกัน ส่วนใบลงคะแนนของนายกอบจ. มีการลงคะแนนที่สลับไปมาทำให้สับสน นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของหน่วยที่มีคนของพรรคฯไปเฝ้า แต่ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่ยอมให้เข้าไปเฝ้าหน่วย และคะแนนคู่แข่งออกมาแบบชนะขาดลอย
ขณะที่นายคัมภีร์ กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเรียนไปยังประธานสภาฯ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป และจะแจ้งไปยังกกต.เพื่อให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้น