- ดูจบ เหมือนเป็น Scoop พิเศษตบท้ายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจดูหนังมาราธอน 3 เรื่องติดของคุณ Lee Chang-dong อย่าง Peppermint Candy (1999) , Oasis (2002) และ Poetry (2010) เป็นของกำนัลที่พาเราไปชม Behind The Scene ในแต่ละเรื่องที่เคยดูและไม่เคยดูอีก 2 เรื่องอย่าง Green Fish (1997) กับ Secret Sunshine (2007) Updates Details หลังกล้องเพิ่มเติมที่เป็นการ Spoils ไปในตัวเป็นบุญตา อีกทั้งเจาะลึกไปยังชีวิตส่วนตัวของคุณ Lee ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน เพราะไม่มีใครถาม นอกจากผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้อย่าง Alain Mazars ที่อาสาเป็นตัวแทนหมู่บ้านในการเจาะลึกโลกส่วนตัวในเรื่องที่อยากรู้และอยากบอกให้โลกรู้ของเขาผู้นี้ให้คนดูรับทราบอย่างพร้อมเพรียง
- วิธีการเล่าจะใช้สูตรเดียวกับเรื่อง peppermint Candy (1999) คือจะเล่าตาม Timeline จากหลังไปหน้าตามลำดับโดยไล่ลงมาตั้งแต่ Burning (2018) , Poetry (2010) , Secret Sunshine (2007) , Oasis (2002) , Peppermint candy (1999) และ Green Fish (1997) ซึ่งเป็นเรื่องแรกของเขา โดยตัดบาง Scene เป็น Footage ประกอบพร้อมกับสัมภาษณ์ตัวคุณ Lee สลับกับ นักแสดงที่เคยร่วมงานมาอย่าง Sul Kyung-gu , Moon So-ri , Song Kang-ho , Yoo Ah-in เป็นต้น ในลักษณะการสัมภาษณ์ถึงความในใจว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไร ? ทำไมเขาถึงเลือกนักแสดงคนนี้ เหตุใดคุณ Lee ถึงเลือกคนนั้นมาร่วมแสดง รวมถึงยังพาทัวร์ไปดู Location จากหนังแต่ละเรื่องโดยมีคุณ Lee อาสาเป็นไกด์นำทางพร้อมบอกที่มาที่ไปหรือเหตุผลที่ไม่เคยบอกใครว่านี่คือความลับของผม
- ระหว่างดูคิดว่าจะจบใน part ของผลงานที่เขากำกับแต่พอเคลียร์ช่วงนั้นเสร็จกลายเป็นว่าหนังยังเดินหน้าต่อไปที่ Life ส่วนตัวของคุณ Lee ให้ทราบต่อว่าเขาเป็นใคร ? ทำไมถึงเป็นผู้กำกับ เหตุใดเป็นแรงจูงใจให้เขาสนใจภาพยนตร์ บลา ๆ ด้วยความที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้แกเป็น FC ตัวยง แกเห็นอะไร ? จึงหยิบกล้องมาถ่ายหมดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมว่าคนดูจะรับสารได้หมดมั้ย ? ขนาดว่า Scene คุณ Lee ขับรถไปไหนไม่แน่ใจก็ยังถ่ายหน้าในระยะประชั้นชิด ดังนั้นเรื่องที่สำคัญและไม่ได้จำเป็นแกจัดให้หมด
- ถึงแม้ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาทีรู้สึกว่าจะนานไปซักนิดจนแวะดูโทรศัพท์มือถือเป็นระยะว่าผ่านไปกี่นาทีแต่โดยรวมก็ผ่านไปอย่างไวอยู่ เพราะ การจัดสรร Timeline ที่เป็นระเบียบเลยทำให้เราสามารถเรียบเรียง Details ได้ง่ายและไม่สับสน แต่บางอย่างรู้สึกว่าประเคนเยอะไปจนตามไม่ทันและเผลอวูบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้ากระทันหันในช่วงชีวิตสวนตัวของคุณ Lee จนมาฟื้นอีกทีก็ตอนที่คุณ Lee นั่งรำลึกความหลังวัยเยาว์ในโรงหนัง Stand Alone แห่งหนึ่งที่พอจะประมวลได้ราว ๆ 5 นาทีสุดท้ายว่าคงเป็นสถานที่ความทรงจำที่มีค่าสำหรับเขา นอกจากเป็นจุดเริ่มต้นทีทำให้เขาเริ่มสนใจในโลกของภาพยนตร์และสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือสังคมรายล้อมที่มีส่วนหล่อมหลอมให้เขากลายเป็นนักเขียนและผู้กำกับที่คนชื่นชอบภาพยนตร์จะต้องหลงรักชายผู้นี้ด้วยเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] ์No.125 Lee Chang-dong : The Art of Irony (2022) : ย้อนตัวตน ส่องผ่านหนัง แด่ FC Lee Chang-dong
- ดูจบ เหมือนเป็น Scoop พิเศษตบท้ายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจดูหนังมาราธอน 3 เรื่องติดของคุณ Lee Chang-dong อย่าง Peppermint Candy (1999) , Oasis (2002) และ Poetry (2010) เป็นของกำนัลที่พาเราไปชม Behind The Scene ในแต่ละเรื่องที่เคยดูและไม่เคยดูอีก 2 เรื่องอย่าง Green Fish (1997) กับ Secret Sunshine (2007) Updates Details หลังกล้องเพิ่มเติมที่เป็นการ Spoils ไปในตัวเป็นบุญตา อีกทั้งเจาะลึกไปยังชีวิตส่วนตัวของคุณ Lee ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน เพราะไม่มีใครถาม นอกจากผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้อย่าง Alain Mazars ที่อาสาเป็นตัวแทนหมู่บ้านในการเจาะลึกโลกส่วนตัวในเรื่องที่อยากรู้และอยากบอกให้โลกรู้ของเขาผู้นี้ให้คนดูรับทราบอย่างพร้อมเพรียง
- วิธีการเล่าจะใช้สูตรเดียวกับเรื่อง peppermint Candy (1999) คือจะเล่าตาม Timeline จากหลังไปหน้าตามลำดับโดยไล่ลงมาตั้งแต่ Burning (2018) , Poetry (2010) , Secret Sunshine (2007) , Oasis (2002) , Peppermint candy (1999) และ Green Fish (1997) ซึ่งเป็นเรื่องแรกของเขา โดยตัดบาง Scene เป็น Footage ประกอบพร้อมกับสัมภาษณ์ตัวคุณ Lee สลับกับ นักแสดงที่เคยร่วมงานมาอย่าง Sul Kyung-gu , Moon So-ri , Song Kang-ho , Yoo Ah-in เป็นต้น ในลักษณะการสัมภาษณ์ถึงความในใจว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไร ? ทำไมเขาถึงเลือกนักแสดงคนนี้ เหตุใดคุณ Lee ถึงเลือกคนนั้นมาร่วมแสดง รวมถึงยังพาทัวร์ไปดู Location จากหนังแต่ละเรื่องโดยมีคุณ Lee อาสาเป็นไกด์นำทางพร้อมบอกที่มาที่ไปหรือเหตุผลที่ไม่เคยบอกใครว่านี่คือความลับของผม
- ระหว่างดูคิดว่าจะจบใน part ของผลงานที่เขากำกับแต่พอเคลียร์ช่วงนั้นเสร็จกลายเป็นว่าหนังยังเดินหน้าต่อไปที่ Life ส่วนตัวของคุณ Lee ให้ทราบต่อว่าเขาเป็นใคร ? ทำไมถึงเป็นผู้กำกับ เหตุใดเป็นแรงจูงใจให้เขาสนใจภาพยนตร์ บลา ๆ ด้วยความที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้แกเป็น FC ตัวยง แกเห็นอะไร ? จึงหยิบกล้องมาถ่ายหมดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมว่าคนดูจะรับสารได้หมดมั้ย ? ขนาดว่า Scene คุณ Lee ขับรถไปไหนไม่แน่ใจก็ยังถ่ายหน้าในระยะประชั้นชิด ดังนั้นเรื่องที่สำคัญและไม่ได้จำเป็นแกจัดให้หมด
- ถึงแม้ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาทีรู้สึกว่าจะนานไปซักนิดจนแวะดูโทรศัพท์มือถือเป็นระยะว่าผ่านไปกี่นาทีแต่โดยรวมก็ผ่านไปอย่างไวอยู่ เพราะ การจัดสรร Timeline ที่เป็นระเบียบเลยทำให้เราสามารถเรียบเรียง Details ได้ง่ายและไม่สับสน แต่บางอย่างรู้สึกว่าประเคนเยอะไปจนตามไม่ทันและเผลอวูบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้ากระทันหันในช่วงชีวิตสวนตัวของคุณ Lee จนมาฟื้นอีกทีก็ตอนที่คุณ Lee นั่งรำลึกความหลังวัยเยาว์ในโรงหนัง Stand Alone แห่งหนึ่งที่พอจะประมวลได้ราว ๆ 5 นาทีสุดท้ายว่าคงเป็นสถานที่ความทรงจำที่มีค่าสำหรับเขา นอกจากเป็นจุดเริ่มต้นทีทำให้เขาเริ่มสนใจในโลกของภาพยนตร์และสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือสังคมรายล้อมที่มีส่วนหล่อมหลอมให้เขากลายเป็นนักเขียนและผู้กำกับที่คนชื่นชอบภาพยนตร์จะต้องหลงรักชายผู้นี้ด้วยเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้