- โดยรวมเหมือนดูเรื่อง Flee (2021) อีกภาคของ Series ผู้ลี้ภัยที่แตกหน่อออกมาใน Story ที่ Run คล้ายกันด้วยการแนะนำครอบครัวในมุมสุขสันต์เป็นพิธีก่อนจะเข้าสู่ประเด็นหลักด้วยการเกิดสงครามกลางเมืองจนทำให้ประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกมชิงอำนาจต้องอพยพหนีตายไปคนละทิศละทางเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่ที่เรียกว่าบ้าน เปลี่ยนตัวละครหลักจากที่มีเพียงคนเดียวอย่าง Amin คราวนี้เพิ่มถึง 2 อย่าง 2 พี่น้อง Kyona กับ Adriel ซึ่ง นอกจากจะเล่าในมุมผู้ลี้ภัยเหมือนกันแล้ววิธีการดำเนินเรื่องตามแต่ละหนทางที่ได้ประสบยังมีการพูดถึงเรื่องความรักความสัมพันธ์กับตัวละครที่พบระหว่างทางไม่ว่าจะเป็น Iskender ที่พบกันในหมู่บ้าน หรือ Erdewan ที่เจอกันในคณะละครสัตว์ผ่านความเป็น Coming of Age ระหว่างหนีตายจากสงครามที่มาจากฝีมือกองกำลังเผด็จหารนำโดยบัก Jon ก็มีความคล้ายคลึงในแง่ของสารอยู่เช่นกัน
- ถึงระหว่างดูจะติดขัดกับวิธีการเล่าด้วยภาพสีน้ำมันหรือเปล่าไม่แน่ใจที่เคลื่อนไหว Slow เหนือสายน้ำ เหมือนกับเปลี่ยนหน้ากระดาษหนังสือที่เห็นด้วยตาเนื้อว่าไม่ Smooth เหมือนกับดู Animation เรื่องอื่น หรือกระทั่ง เรื่อง Flee แต่ยอมรับว่าเดินเรื่องค่อนข้างไว ดูไม่ยาก และ ไม่แช่อยู่กับ Scene เดิม นาน ๆ ให้เสียเวลา เพราะ การอิงตามเหตุการณ์จริงนอกจากสมจริงในแง่ของสารแล้วยังทำให้เราร่วมลุ้นไปกับ 2 พี่น้องที่กำลังหนีจากลูกน้องของบัก Jon ที่ตามติดทุกฝีก้าวเหมือนนกรู้ว่าจะไปที่ไหน ? ก็ตามไป Stand By ได้ทันอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงการตามหาพ่อกับแม่ที่ถูกจับตัวไปตอนระหว่างเดินทาง
- ด้วยงานเส้นก็ดีหรือการลงสีตัวละครหรือตัวสถานที่แต่ละแห่งก็ตามนอกจากโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่า Classic แล้วยังถ่ายทอดออกมาได้ละเมียดละไมราวกับเดินออกมาจากภาพวาดถึงขั้นมองเห็นถึงความตั้งใจของผู้กำกับ Florence Miailhe และทีมงานที่ใช้เวลาตั้งแต่เขียนบทยันถ่ายทำทุกสิ่งถึง 10 ปี ที่สมการรอคอยแก่การได้ชมอย่างยิ่ง
- Details ที่สื่อตลอดทางจนถึงบทสรุป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่บรรยายเป็น Sub อังกฤษล้วน หรือ ภาพวาด ถึงบางอย่างจะรุนแรงถึงขั้นเลือดสาดหรือเห็นของสงวนแต่อยู่ใน way ที่รับมือได้เมื่อมองในหลักความจริงที่เคยเกิดขึ้นตามหน้าประวัติศาสตร์มาว่ายังมีเรื่องโหดร้ายกว่านี้ ตราบใดที่คนอีกกลุ่มยังเสพติดอำนาจไม่ไปไหน ? ขณะเดียวกันก็ยังมีสิ่งงดงามคอยช่วยเยียวยาจิตใจให้เกิดความหวังในยามสิ้นหวัง อย่างเช่น การได้รับความช่วยเหลือจากยายที่อยู่ในป่า หรือ เจอกับเด็กผิวสีในค่ายกักกัน ซึ่งท้ายที่สุด ไม่ว่าใครแพ้ ? ใครชนะ ? หรือ 2 พี่น้องจะเจอพ่อแม่หรือไม่ ? แต่ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบก็คือประชาชน ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากการสูญเสียและความเจ็บปวดที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเป็นรอยแผลที่ไม่มีวันจางหาย
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.129 The Crossing (2021) : By Goethe-Institut Thailand : KINOFEST 2024
- โดยรวมเหมือนดูเรื่อง Flee (2021) อีกภาคของ Series ผู้ลี้ภัยที่แตกหน่อออกมาใน Story ที่ Run คล้ายกันด้วยการแนะนำครอบครัวในมุมสุขสันต์เป็นพิธีก่อนจะเข้าสู่ประเด็นหลักด้วยการเกิดสงครามกลางเมืองจนทำให้ประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกมชิงอำนาจต้องอพยพหนีตายไปคนละทิศละทางเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่ที่เรียกว่าบ้าน เปลี่ยนตัวละครหลักจากที่มีเพียงคนเดียวอย่าง Amin คราวนี้เพิ่มถึง 2 อย่าง 2 พี่น้อง Kyona กับ Adriel ซึ่ง นอกจากจะเล่าในมุมผู้ลี้ภัยเหมือนกันแล้ววิธีการดำเนินเรื่องตามแต่ละหนทางที่ได้ประสบยังมีการพูดถึงเรื่องความรักความสัมพันธ์กับตัวละครที่พบระหว่างทางไม่ว่าจะเป็น Iskender ที่พบกันในหมู่บ้าน หรือ Erdewan ที่เจอกันในคณะละครสัตว์ผ่านความเป็น Coming of Age ระหว่างหนีตายจากสงครามที่มาจากฝีมือกองกำลังเผด็จหารนำโดยบัก Jon ก็มีความคล้ายคลึงในแง่ของสารอยู่เช่นกัน
- ถึงระหว่างดูจะติดขัดกับวิธีการเล่าด้วยภาพสีน้ำมันหรือเปล่าไม่แน่ใจที่เคลื่อนไหว Slow เหนือสายน้ำ เหมือนกับเปลี่ยนหน้ากระดาษหนังสือที่เห็นด้วยตาเนื้อว่าไม่ Smooth เหมือนกับดู Animation เรื่องอื่น หรือกระทั่ง เรื่อง Flee แต่ยอมรับว่าเดินเรื่องค่อนข้างไว ดูไม่ยาก และ ไม่แช่อยู่กับ Scene เดิม นาน ๆ ให้เสียเวลา เพราะ การอิงตามเหตุการณ์จริงนอกจากสมจริงในแง่ของสารแล้วยังทำให้เราร่วมลุ้นไปกับ 2 พี่น้องที่กำลังหนีจากลูกน้องของบัก Jon ที่ตามติดทุกฝีก้าวเหมือนนกรู้ว่าจะไปที่ไหน ? ก็ตามไป Stand By ได้ทันอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงการตามหาพ่อกับแม่ที่ถูกจับตัวไปตอนระหว่างเดินทาง
- ด้วยงานเส้นก็ดีหรือการลงสีตัวละครหรือตัวสถานที่แต่ละแห่งก็ตามนอกจากโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่า Classic แล้วยังถ่ายทอดออกมาได้ละเมียดละไมราวกับเดินออกมาจากภาพวาดถึงขั้นมองเห็นถึงความตั้งใจของผู้กำกับ Florence Miailhe และทีมงานที่ใช้เวลาตั้งแต่เขียนบทยันถ่ายทำทุกสิ่งถึง 10 ปี ที่สมการรอคอยแก่การได้ชมอย่างยิ่ง
- Details ที่สื่อตลอดทางจนถึงบทสรุป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่บรรยายเป็น Sub อังกฤษล้วน หรือ ภาพวาด ถึงบางอย่างจะรุนแรงถึงขั้นเลือดสาดหรือเห็นของสงวนแต่อยู่ใน way ที่รับมือได้เมื่อมองในหลักความจริงที่เคยเกิดขึ้นตามหน้าประวัติศาสตร์มาว่ายังมีเรื่องโหดร้ายกว่านี้ ตราบใดที่คนอีกกลุ่มยังเสพติดอำนาจไม่ไปไหน ? ขณะเดียวกันก็ยังมีสิ่งงดงามคอยช่วยเยียวยาจิตใจให้เกิดความหวังในยามสิ้นหวัง อย่างเช่น การได้รับความช่วยเหลือจากยายที่อยู่ในป่า หรือ เจอกับเด็กผิวสีในค่ายกักกัน ซึ่งท้ายที่สุด ไม่ว่าใครแพ้ ? ใครชนะ ? หรือ 2 พี่น้องจะเจอพ่อแม่หรือไม่ ? แต่ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบก็คือประชาชน ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากการสูญเสียและความเจ็บปวดที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเป็นรอยแผลที่ไม่มีวันจางหาย
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้