- จากที่ได้ดูผลงานของผู้กำกับ Lee Chang-Dong ไม่ว่าจะเรื่อง Burning (2018) หรือ Oasis (2002) ที่ดูมาก็พออนุมานว่าเรื่องนี้คง Dark สุดแล้วขนาดว่าสไตล์การเล่าของเขาที่เห็นจะออกมานิ่ง ๆ เป็นสายกลางไม่โดดไปทางอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าเนื้อในมันมีความอึมครึมในแง่ของศีลธรรมวนอยู่ภายในอย่างร้อนรน เมื่อแตะประเด็นระบบโครงสร้างของสังคมผ่านช่วงเวลาและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สำคัญอย่าง การรัฐประหาร ในปี 1979 หรือ วิกฤติทางเศรษฐกิจ ในปี 1997 ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเกาหลีใต้เข้าให้กลายเป็นว่ามันสามารถพุ่งไป way Drama หรือปัญหาสังคมใต้พรมได้อย่างไม่เคอะเขิน และสิ่งเหล่านั้นเองก็ไปคาบเกี่ยวกับชีวิตของพระเอกตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยกลางคนถึง 20 ปี
- ความพิเศษของเรื่องนี้ก็คือการเลือกที่จะเล่าจากหลังไปหน้าแทนที่จะเล่าจากหน้าไปหลังเหมือนชาวบ้านในสมัยนั้นแล้วยังเสริมทาเล่นด้วยการเดินเรื่องแบ่งออกเป็น Chapters เริ่มต้นจากปี 1999 , 1994 , 1987 , 1984 , 1980 และ 1979 พร้อมกับเกริ่นนำว่า Part นี้กล่าวถึงอะไร ? พร้อมกับพัฒนาการเติบโตของตัวพระเอกตามช่วงเวลาเช่นกัน ระหว่างนั้นจะมี Scene ที่เป็นขบวนรถไฟกำลังวิ่งบนรางอย่างช้า ๆ เป็นตัวเชื่อมระหว่าง Part นึงไปยังอีก Part นึงเหมือนนหนังสั้นหลายตอนที่ยัดไว้ในเรื่องเดียวกัน
- นอกจาก Timeline เปลี่ยนแล้วสิ่งที่เปลี่ยนด้วยคือตัวละคร ด้วยความที่หนังเล่าย้อนกลับไป Details แต่ละอย่างก็เปลี่ยนไปตามบริบท เวลาจะสังเกตุแต่ละอย่างค่อนข้างลำบากไปหน่อย อย่างตัวพระเอกนี้ ระหว่างดูหัวก็นึกตามว่าคนนี้ใช่คนเดียวกันเปล่าวะ ? หรือใช้คนหน้าเหมือนแสดงแทนเปล่า ? ด้วยการแสดงของเฮีย Sul Kgung-gu ที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นช่วยทำให้ตัวละครเทา ๆ ของเขาหรือ Story มีความน่าสนใจและติดตามต่อไปจนจบได้อย่างไม่น่าเบื่อ ถึงเผลอวูบหลับไปช่วงแรกสั้น ๆ ก็เลย อ๋อ คือคนเดียวกัน ส่วนตัวละครสมทบอื่น ๆ ที่จำได้มีแค่ Moon So-ri ที่รับบทเป็น แฟนเก่าแล้วโคจรเป็นคู่ลักอีกครั้งใน Oasis (2002) แค่นั้น พอจำได้ไม่หมดกลายเป็นว่า Details ที่แฝงมาเลยหล่นหายตามไปด้วย
- ด้วยความที่มีฉากหลังมีการพูดถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์รวมถึงมี Scene ความรุนแรงที่เกิดจากการโชว์ห้าวเป้งหรือประกอบกิจกาเมสุมิจฉา มันเลยยิ่งทำให้ Story มีความดุดัน , จริงจัง และ เข้มข้นในแง่ของความเป็น Drama ที่จับต้องได้อย่างจริงใจ ในขณะที่ตัวบรรยากาศก็ยังคุม Theme เหม่อ ๆ ลอย ๆ ได้อย่างคงเส้นคงวา โดยที่ Details แต่ละอย่างก็สามารถรองรับความคิดของพระเอกที่แสดงออกไปกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น เมีย , ผู้ต้องหา หรือกระทั่ง แฟนเก่า ตามอารมณ์ที่กำลังรู้สึกได้ถึงความเป็นมนุษย์เทา ๆ ที่ไม่ได้ดีเด่หรือเลวขั้นสุด เพราะเขาก็ถูกระบอบกลืนกินมาอีกที
- ถึงวิธีการเล่าแปลกตาจนทึ่งในความรังสรรค์แต่โดยรวมดูง่ายและเข้าใจไม่ยาก คงเพราะดูหนังฟอร์มเล็กหรือนอกกระแสหลายเรื่องด้วยแหล่ะพอเจอรูปแบบการเล่านี้ก็เลยสามารถรับมือกับมันได้ ถึงจะงงบางอย่างไม่ว่าจะในส่วนของสังคมหรือวัฒนธรรมรากเหง้าของเกาหลีใต้ที่ไม่เคยสัมผัสตรง ๆ หรือปมของตัวละครแต่ละคนที่นำเสนอออกมาให้เกิดคำถามตามมาแต่พอเจอการตัดฉากข้ามตามใจฉันเข้าไปก็เกิดอาการสตั๊นท์เป็นระยะ
- ชอบการตั้งชื่อเรื่องที่สื่อถึงสัญญะที่ปรากฎได้อย่างละเมียดละไม ไม่ว่าจะเป็น ลูกอมรส Peppermint หรือ คำถามที่พระเอกมักจะถามใครไม่รู้หน้าตาเฉยว่า ชีวิตนี้มันงดงามจริงเหรอ ? ที่ฟังแล้วมีความหมายบางอย่างที่มันพิเศษออกมาอย่างบอกไม่ถูกจนนำไปสู่บทสรุปที่เจ็บปวดและงดงามอย่างลึกซึ้ง ถึงจะทราบแล้วว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? แต่นั้นไม่สำคัญไปกว่าว่าทำไมพระเอกถึงแบบนั้น ? ซึ่งตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 9 นาที่ที่ตัวหนังได้ให้คำตอบจนหายข้อสงสัย แม้ยังเอะใจในส่วนประเด็นวิกฤติเศรษฐกิจที่ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ชัดพอจึงนึกภาพไม่ค่อยออกได้มากกว่าภาพของระบบโครงสร้างในส่วนของรัฐก็ดีหรือโครงสร้างทางการเมืองก็ตามที่เห็นหน้าปุ๊ปก็สามารถอนุมานได้ทันทีว่าระบอบคนดีย์นอกจากเป็นศูนย์รวมของการรับน้องเข้าสู่โลกของกฎเกณฑ์ในอุดมคติแล้วยังเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดความเลวร้ายเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.122 Peppermint Candy (1999) : แด่ชีวิตอันบัดซบที่แสนจะงดงาม
- จากที่ได้ดูผลงานของผู้กำกับ Lee Chang-Dong ไม่ว่าจะเรื่อง Burning (2018) หรือ Oasis (2002) ที่ดูมาก็พออนุมานว่าเรื่องนี้คง Dark สุดแล้วขนาดว่าสไตล์การเล่าของเขาที่เห็นจะออกมานิ่ง ๆ เป็นสายกลางไม่โดดไปทางอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าเนื้อในมันมีความอึมครึมในแง่ของศีลธรรมวนอยู่ภายในอย่างร้อนรน เมื่อแตะประเด็นระบบโครงสร้างของสังคมผ่านช่วงเวลาและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สำคัญอย่าง การรัฐประหาร ในปี 1979 หรือ วิกฤติทางเศรษฐกิจ ในปี 1997 ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเกาหลีใต้เข้าให้กลายเป็นว่ามันสามารถพุ่งไป way Drama หรือปัญหาสังคมใต้พรมได้อย่างไม่เคอะเขิน และสิ่งเหล่านั้นเองก็ไปคาบเกี่ยวกับชีวิตของพระเอกตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยกลางคนถึง 20 ปี
- ความพิเศษของเรื่องนี้ก็คือการเลือกที่จะเล่าจากหลังไปหน้าแทนที่จะเล่าจากหน้าไปหลังเหมือนชาวบ้านในสมัยนั้นแล้วยังเสริมทาเล่นด้วยการเดินเรื่องแบ่งออกเป็น Chapters เริ่มต้นจากปี 1999 , 1994 , 1987 , 1984 , 1980 และ 1979 พร้อมกับเกริ่นนำว่า Part นี้กล่าวถึงอะไร ? พร้อมกับพัฒนาการเติบโตของตัวพระเอกตามช่วงเวลาเช่นกัน ระหว่างนั้นจะมี Scene ที่เป็นขบวนรถไฟกำลังวิ่งบนรางอย่างช้า ๆ เป็นตัวเชื่อมระหว่าง Part นึงไปยังอีก Part นึงเหมือนนหนังสั้นหลายตอนที่ยัดไว้ในเรื่องเดียวกัน
- นอกจาก Timeline เปลี่ยนแล้วสิ่งที่เปลี่ยนด้วยคือตัวละคร ด้วยความที่หนังเล่าย้อนกลับไป Details แต่ละอย่างก็เปลี่ยนไปตามบริบท เวลาจะสังเกตุแต่ละอย่างค่อนข้างลำบากไปหน่อย อย่างตัวพระเอกนี้ ระหว่างดูหัวก็นึกตามว่าคนนี้ใช่คนเดียวกันเปล่าวะ ? หรือใช้คนหน้าเหมือนแสดงแทนเปล่า ? ด้วยการแสดงของเฮีย Sul Kgung-gu ที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นช่วยทำให้ตัวละครเทา ๆ ของเขาหรือ Story มีความน่าสนใจและติดตามต่อไปจนจบได้อย่างไม่น่าเบื่อ ถึงเผลอวูบหลับไปช่วงแรกสั้น ๆ ก็เลย อ๋อ คือคนเดียวกัน ส่วนตัวละครสมทบอื่น ๆ ที่จำได้มีแค่ Moon So-ri ที่รับบทเป็น แฟนเก่าแล้วโคจรเป็นคู่ลักอีกครั้งใน Oasis (2002) แค่นั้น พอจำได้ไม่หมดกลายเป็นว่า Details ที่แฝงมาเลยหล่นหายตามไปด้วย
- ด้วยความที่มีฉากหลังมีการพูดถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์รวมถึงมี Scene ความรุนแรงที่เกิดจากการโชว์ห้าวเป้งหรือประกอบกิจกาเมสุมิจฉา มันเลยยิ่งทำให้ Story มีความดุดัน , จริงจัง และ เข้มข้นในแง่ของความเป็น Drama ที่จับต้องได้อย่างจริงใจ ในขณะที่ตัวบรรยากาศก็ยังคุม Theme เหม่อ ๆ ลอย ๆ ได้อย่างคงเส้นคงวา โดยที่ Details แต่ละอย่างก็สามารถรองรับความคิดของพระเอกที่แสดงออกไปกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น เมีย , ผู้ต้องหา หรือกระทั่ง แฟนเก่า ตามอารมณ์ที่กำลังรู้สึกได้ถึงความเป็นมนุษย์เทา ๆ ที่ไม่ได้ดีเด่หรือเลวขั้นสุด เพราะเขาก็ถูกระบอบกลืนกินมาอีกที
- ถึงวิธีการเล่าแปลกตาจนทึ่งในความรังสรรค์แต่โดยรวมดูง่ายและเข้าใจไม่ยาก คงเพราะดูหนังฟอร์มเล็กหรือนอกกระแสหลายเรื่องด้วยแหล่ะพอเจอรูปแบบการเล่านี้ก็เลยสามารถรับมือกับมันได้ ถึงจะงงบางอย่างไม่ว่าจะในส่วนของสังคมหรือวัฒนธรรมรากเหง้าของเกาหลีใต้ที่ไม่เคยสัมผัสตรง ๆ หรือปมของตัวละครแต่ละคนที่นำเสนอออกมาให้เกิดคำถามตามมาแต่พอเจอการตัดฉากข้ามตามใจฉันเข้าไปก็เกิดอาการสตั๊นท์เป็นระยะ
- ชอบการตั้งชื่อเรื่องที่สื่อถึงสัญญะที่ปรากฎได้อย่างละเมียดละไม ไม่ว่าจะเป็น ลูกอมรส Peppermint หรือ คำถามที่พระเอกมักจะถามใครไม่รู้หน้าตาเฉยว่า ชีวิตนี้มันงดงามจริงเหรอ ? ที่ฟังแล้วมีความหมายบางอย่างที่มันพิเศษออกมาอย่างบอกไม่ถูกจนนำไปสู่บทสรุปที่เจ็บปวดและงดงามอย่างลึกซึ้ง ถึงจะทราบแล้วว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? แต่นั้นไม่สำคัญไปกว่าว่าทำไมพระเอกถึงแบบนั้น ? ซึ่งตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 9 นาที่ที่ตัวหนังได้ให้คำตอบจนหายข้อสงสัย แม้ยังเอะใจในส่วนประเด็นวิกฤติเศรษฐกิจที่ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ชัดพอจึงนึกภาพไม่ค่อยออกได้มากกว่าภาพของระบบโครงสร้างในส่วนของรัฐก็ดีหรือโครงสร้างทางการเมืองก็ตามที่เห็นหน้าปุ๊ปก็สามารถอนุมานได้ทันทีว่าระบอบคนดีย์นอกจากเป็นศูนย์รวมของการรับน้องเข้าสู่โลกของกฎเกณฑ์ในอุดมคติแล้วยังเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดความเลวร้ายเช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้