- แล้วจากที่ได้ดูผลงานของผู้กำกับ Lee Chang-Dong ต่อจาก Peppermint Candy (1999) ก็พอจะอนุมานได้อีกเช่นกันว่าเรื่องนี้มี ความบันเทิง สุดในแง่ที่ว่ามันมีส่วนผสมระหว่างความเป็น Drama กับ Romance สอดแทรก Comedy จาง ๆ ลงไปในประเด็นครอบครัวหรือปัญหาสังคมที่ดูง่าย , ใกล้ตัว , เข้าถึง และ จับต้องได้ในสังคม ขนาดว่าตัวหนังฉายไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วแต่ปัญหาเหล่านั้นยังมีอยู่และถูกพูดถึงต่อกันไม่หยุด แม้ว่าสไตล์การเล่าของคุณ Lee ทรงจะออกมานิ่ง ๆ เป็นสายกลางไม่โดดไปทางอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่เมื่อมันมีกลิ่นอายที่ว่าลอยโชยตั้งแต่ต้นจนจบกลายเป็นว่าเป็นหนังที่มีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อว่าคุณ Lee ก็ทำหนังสนุกเป็นเหมือนกัน
- ส่วนที่ดีงามมากคือ การ Re-Union ของ 2 พระ-นางอย่าง Sul Kyung-gu กับ Moon So-ri กันอีกครั้งจากอดีตคนรักสู่การเป็นคู่ลักกรณีอย่างหน้าตามึนท่ามกลางปัญหารายล้อมที่มาจากอุบัติเหตุซึ่งเป็นสารตั้งต้นของปมทั้งมวลที่เห็นว่าคงหนักหน่วงสาหัสแน่ ๆ แต่เมื่อดูจบไม่ได้หดหู่หรือสิ้นหวังขนาดนั้นแต่ถ้ามองความเป็นจริงก็คงไม่มีใครอยากจะทราบซึ้งตามไปกับความรักของทั้งคู่หรอก นอกจากต่างคนจะมีร่างกายไม่สมประกอบแล้วอีกฝ่ายยังมีชะนักติดหลังที่เกี่ยวโยงกับคดีทางกฎหมายอีก
- ตัวหนังจะโฟกัสที่ความสัมพันธ์สุดแปลกของพระ-นางซึ่งเป็นคนชายขอบในธีมกึ่งจริงจังกึ่งเฮฮาลอยเป็นทางสายกลางสำรวจดูครอบครัวแต่ละฝ่ายว่ามีชีวิตเป็นอย่างไร ? โดยช่วงแรก ๆ จะเทไปที่วีกรรมของพระเอกนานซักนิดเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร ? ไปทำอะไร ? แล้วไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรที่หน้าห้องเธอพร้อมกับได้เห็นชีวิตประจำวันของนางเอกไปด้วยว่าเป็นอย่างไร ? ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบ ๆ เป็นระยะพอดูต่อซักพักเห็นว่ายังวนอยู่แต่กับ Activity ของพระเอกที่วัน ๆ สิงอยู่แต่ในห้องนางเอกก็เริ่มไม่ไหวแล้วเลยเผลอวูบไปจนกระทั่งตื่นมาตอนที่พระเอกย่องไปที่หอพักนางเอกหล่าวแล้วหยิบกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขเข้าห้องอย่างหน้าตาเฉยเท่านั้นแหล่ะเริ่มที่จะจูนติดต่อทันทีว่าตื่น ๆ มีเรื่องแล้ว
- ถึงบริเวณรอบข้างจะดูสดใสเหมือนหนังรักฮ่องกงยุค 90’s แต่ก็สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนที่แฝงมาในความสัมพันธ์ต้องโทษของทั้งคู่ที่มาจากอุบัติเหตุที่ยากจะเชื่อใจให้รักกันอย่างสนิทใจ ด้วยความที่พระเอกมีชะนักติดหลังบวกกับมีนิสัยมึน ๆ กวนตรีนไม่หระใด ๆ ทำอะไรแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะกินข้าวแล้วชิ่ง หรือ เอารถลูกค้าพี่ไปรับสาวอย่างนี้คือชนิดที่ว่ากระดิกตีนเรียกหาตะรางทั้งนั้นแถมพลอยให้พี่น้องปวดกบาลไปด้วยแล้วยิ่งพานางเอกไปงานเลี้ยงครอบครัวอย่างหน้าตาระรื่นเท่ามกลางสายตาเอือมระอาจากบรรดาญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ยิ่งเหมือนเอาตีนถีบยอดหน้ายังไงยังงั้น ?
- ภายใต้ความเป็นกลางของบรรยากาศแน่นอนว่าสิ่งที่ต้องมีคือ Message ที่แทรกมากับบทสนทนา , การกระทำหรือกระทั่งรูปภาพบนหัวนอนในห้องนางเอกที่กล้องจงใจโฟกัสเป็นนัยยะระยะ แต่ด้วยความที่บทเรียบและย่อยง่ายบวกกับการแสดงของ 2 พระ-นางอย่าง Sul Kyung-gu กับ Moon So-ri ที่ยอดเยี่ยม ทำถึงและทำเกินกว่าที่คิดจนล้างภาพจำที่เคยดูจากเรื่องก่อนออกไปอย่างสิ้นเชิงจนกลายเป็น masterpiece ของทั้งคู่เลยทำให้โดยรวมที่กล่าวมามีความหมายและโดดเด่นในคุณค่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนกลายเป็นว่าความยาว 2 ชั่วโมง 13 นาทีที่ดูเหมือนจะนานกลับผ่านไปไวอย่างเหลือเชื่อ
- ที่ติดอย่างเดียวคือปมของทั้งคู่ยังเจาะได้ไม่ลึกพอที่เราจะเห็นภาพตามได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? นอกจากคำบอกเล่าเพียงปากเปล่า ถ้าขยายเป็นภาพจะเข้าใจมากกว่านี้ เพราะ หลังจากพระเอกไปหานางเอกบ่อย ๆ ตัวหนังดูจะเดินเครื่องเร็วขึ้น เริ่มมีการออกไป Outdoor ตามประสาคนกำลังอิน Love ขณะเดียวกันก็มีการตีแผ่สังคมด้วยการเลือกปฎิบัติจากสังคมกลาย ๆ ในเชิงเหยียดชั้นให้ทราบว่ามันยังมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้วมันไปตอกย้ำให้ปมของทั้งคู่มีประเด็นขึ้นมาขยี้ต่อแล้วหลังจากนั้นตัวหนังเข้าก็สู่โหมดจริงจังขึ้นซึ่งเตรียมใจมาแต่แรกแล้วว่ามันต้องมาถึงจนนำไปสู่บทสรุปที่มีหลายความรู้สึกจนไม่รู้จะพรรณนายังไงดีเพราะกูเองก็ปวดหัวกับพฤติกรรมของเหลือเกิน แต่อีกใจก็อดที่จะลุ้นตามไม่ได้เพราะต่างคนได้เอาใจลงไปเล่นเกินกว่าจะถอยกลับไปหรือคิดถึงเรื่องกฎหมาย (ซึ่งไม่เคยคิดอยู่แล้ว) แต่อย่างน้อย Scene ที่พระ-นางเต้นรำแล้วมีหญิงสาวกับเด็กชายชาวอินเดียจูงลูกช้างเข้ามาร่วมแจม สำหรับผมนอกจากเป็น Scene ที่สบายใจแล้วยังเป็น Moment ที่เรียกว่ามีความสุขที่สุด เหมือนโลกหยุดเวลาไว้แค่เรา 2 คน ถึงแม้จะเป็นช่วงมโนสั้น ๆ ก็ตาม
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.123 Oasis (2002) : อุบัติเหตุแห่งรัก ฟักหัวใจให้โลกตะลึง
- แล้วจากที่ได้ดูผลงานของผู้กำกับ Lee Chang-Dong ต่อจาก Peppermint Candy (1999) ก็พอจะอนุมานได้อีกเช่นกันว่าเรื่องนี้มี ความบันเทิง สุดในแง่ที่ว่ามันมีส่วนผสมระหว่างความเป็น Drama กับ Romance สอดแทรก Comedy จาง ๆ ลงไปในประเด็นครอบครัวหรือปัญหาสังคมที่ดูง่าย , ใกล้ตัว , เข้าถึง และ จับต้องได้ในสังคม ขนาดว่าตัวหนังฉายไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วแต่ปัญหาเหล่านั้นยังมีอยู่และถูกพูดถึงต่อกันไม่หยุด แม้ว่าสไตล์การเล่าของคุณ Lee ทรงจะออกมานิ่ง ๆ เป็นสายกลางไม่โดดไปทางอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่เมื่อมันมีกลิ่นอายที่ว่าลอยโชยตั้งแต่ต้นจนจบกลายเป็นว่าเป็นหนังที่มีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อว่าคุณ Lee ก็ทำหนังสนุกเป็นเหมือนกัน
- ส่วนที่ดีงามมากคือ การ Re-Union ของ 2 พระ-นางอย่าง Sul Kyung-gu กับ Moon So-ri กันอีกครั้งจากอดีตคนรักสู่การเป็นคู่ลักกรณีอย่างหน้าตามึนท่ามกลางปัญหารายล้อมที่มาจากอุบัติเหตุซึ่งเป็นสารตั้งต้นของปมทั้งมวลที่เห็นว่าคงหนักหน่วงสาหัสแน่ ๆ แต่เมื่อดูจบไม่ได้หดหู่หรือสิ้นหวังขนาดนั้นแต่ถ้ามองความเป็นจริงก็คงไม่มีใครอยากจะทราบซึ้งตามไปกับความรักของทั้งคู่หรอก นอกจากต่างคนจะมีร่างกายไม่สมประกอบแล้วอีกฝ่ายยังมีชะนักติดหลังที่เกี่ยวโยงกับคดีทางกฎหมายอีก
- ตัวหนังจะโฟกัสที่ความสัมพันธ์สุดแปลกของพระ-นางซึ่งเป็นคนชายขอบในธีมกึ่งจริงจังกึ่งเฮฮาลอยเป็นทางสายกลางสำรวจดูครอบครัวแต่ละฝ่ายว่ามีชีวิตเป็นอย่างไร ? โดยช่วงแรก ๆ จะเทไปที่วีกรรมของพระเอกนานซักนิดเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร ? ไปทำอะไร ? แล้วไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรที่หน้าห้องเธอพร้อมกับได้เห็นชีวิตประจำวันของนางเอกไปด้วยว่าเป็นอย่างไร ? ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบ ๆ เป็นระยะพอดูต่อซักพักเห็นว่ายังวนอยู่แต่กับ Activity ของพระเอกที่วัน ๆ สิงอยู่แต่ในห้องนางเอกก็เริ่มไม่ไหวแล้วเลยเผลอวูบไปจนกระทั่งตื่นมาตอนที่พระเอกย่องไปที่หอพักนางเอกหล่าวแล้วหยิบกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขเข้าห้องอย่างหน้าตาเฉยเท่านั้นแหล่ะเริ่มที่จะจูนติดต่อทันทีว่าตื่น ๆ มีเรื่องแล้ว
- ถึงบริเวณรอบข้างจะดูสดใสเหมือนหนังรักฮ่องกงยุค 90’s แต่ก็สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนที่แฝงมาในความสัมพันธ์ต้องโทษของทั้งคู่ที่มาจากอุบัติเหตุที่ยากจะเชื่อใจให้รักกันอย่างสนิทใจ ด้วยความที่พระเอกมีชะนักติดหลังบวกกับมีนิสัยมึน ๆ กวนตรีนไม่หระใด ๆ ทำอะไรแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะกินข้าวแล้วชิ่ง หรือ เอารถลูกค้าพี่ไปรับสาวอย่างนี้คือชนิดที่ว่ากระดิกตีนเรียกหาตะรางทั้งนั้นแถมพลอยให้พี่น้องปวดกบาลไปด้วยแล้วยิ่งพานางเอกไปงานเลี้ยงครอบครัวอย่างหน้าตาระรื่นเท่ามกลางสายตาเอือมระอาจากบรรดาญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ยิ่งเหมือนเอาตีนถีบยอดหน้ายังไงยังงั้น ?
- ภายใต้ความเป็นกลางของบรรยากาศแน่นอนว่าสิ่งที่ต้องมีคือ Message ที่แทรกมากับบทสนทนา , การกระทำหรือกระทั่งรูปภาพบนหัวนอนในห้องนางเอกที่กล้องจงใจโฟกัสเป็นนัยยะระยะ แต่ด้วยความที่บทเรียบและย่อยง่ายบวกกับการแสดงของ 2 พระ-นางอย่าง Sul Kyung-gu กับ Moon So-ri ที่ยอดเยี่ยม ทำถึงและทำเกินกว่าที่คิดจนล้างภาพจำที่เคยดูจากเรื่องก่อนออกไปอย่างสิ้นเชิงจนกลายเป็น masterpiece ของทั้งคู่เลยทำให้โดยรวมที่กล่าวมามีความหมายและโดดเด่นในคุณค่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนกลายเป็นว่าความยาว 2 ชั่วโมง 13 นาทีที่ดูเหมือนจะนานกลับผ่านไปไวอย่างเหลือเชื่อ
- ที่ติดอย่างเดียวคือปมของทั้งคู่ยังเจาะได้ไม่ลึกพอที่เราจะเห็นภาพตามได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? นอกจากคำบอกเล่าเพียงปากเปล่า ถ้าขยายเป็นภาพจะเข้าใจมากกว่านี้ เพราะ หลังจากพระเอกไปหานางเอกบ่อย ๆ ตัวหนังดูจะเดินเครื่องเร็วขึ้น เริ่มมีการออกไป Outdoor ตามประสาคนกำลังอิน Love ขณะเดียวกันก็มีการตีแผ่สังคมด้วยการเลือกปฎิบัติจากสังคมกลาย ๆ ในเชิงเหยียดชั้นให้ทราบว่ามันยังมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้วมันไปตอกย้ำให้ปมของทั้งคู่มีประเด็นขึ้นมาขยี้ต่อแล้วหลังจากนั้นตัวหนังเข้าก็สู่โหมดจริงจังขึ้นซึ่งเตรียมใจมาแต่แรกแล้วว่ามันต้องมาถึงจนนำไปสู่บทสรุปที่มีหลายความรู้สึกจนไม่รู้จะพรรณนายังไงดีเพราะกูเองก็ปวดหัวกับพฤติกรรมของเหลือเกิน แต่อีกใจก็อดที่จะลุ้นตามไม่ได้เพราะต่างคนได้เอาใจลงไปเล่นเกินกว่าจะถอยกลับไปหรือคิดถึงเรื่องกฎหมาย (ซึ่งไม่เคยคิดอยู่แล้ว) แต่อย่างน้อย Scene ที่พระ-นางเต้นรำแล้วมีหญิงสาวกับเด็กชายชาวอินเดียจูงลูกช้างเข้ามาร่วมแจม สำหรับผมนอกจากเป็น Scene ที่สบายใจแล้วยังเป็น Moment ที่เรียกว่ามีความสุขที่สุด เหมือนโลกหยุดเวลาไว้แค่เรา 2 คน ถึงแม้จะเป็นช่วงมโนสั้น ๆ ก็ตาม
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้