(ต่อจากท่อนที่แล้ว)
“มันพาอีแสงดาวหนีไปบางกอกด้วยกันนั่นสิวะ”
ถึงกับงงงันกับคำตอบที่ได้รับ ป้าจันรู้ว่าลูกชายแอบรักแอบชอบแสงดาว แต่ก็เป็นการยากที่จะทำให้แกเชื่อว่า แสงดาวจะหนีตามไอ้แม้นของแกได้จริง ๆ
แน่นอนว่าทั้งผู้ใหญ่ชื่นและทุกฅน ล้วนไม่มีใครอยากเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน แม้รู้ว่าไอ้แม้นมีใจต่อแสงดาว แต่แสงดาวนั้นไม่เคยแสดงออกทางชู้สาว หรือมีอาการให้เห็นว่าจะสนใจไอ้หนุ่มไม่เต็มทะนานฅนนี้เลยแม้แต่น้อย…
“ลูกชายเอ็งมันเชื้อไม่ทิ้งแถว เลวทรามต่ำช้าเหมือนไอ้มิ่งพ่อมันนั่นแหละ” ผู้ใหญ่ชื่นกำลังพาลด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งป้าจันนั้น แกรู้นิสัยเพื่อนที่วิ่งเล่นกันมาทั่วทุ่งพนาตั้งแต่ครั้งยังเด็กของแกดี รู้ว่าป่วยการที่จะเอาเรือเข้าขวาง แกจึงได้แต่นิ่งเงียบ ปล่อยผู้ใหญ่ชื่นโวยวาย ฟาดงวงฟาดงาจนพอใจถึงได้เอ่ยขึ้น...
“พี่ชื่น ฉันรู้ว่าพี่โกรธ ถ้าพี่อยากด่าอีกพี่ก็ด่าเลย แต่ด่าฉันเถอะ ฉันเป็นแม่มัน ฉันไม่ดีเอง”
ผู้ใหญ่ชื่นสะอึก เหมือนว่ากำลังสำลักอารมณ์ร้อนระอุของตัวเอง เห็นน้ำตาของฅนเป็นแม่เอ่อคลอเบ้า แกได้แต่สูดลมหายใจหนัก ๆ เข้าปอด เม้มริมฝีปากสนิท พยายามข่มความโกรธที่มี ซึ่งความจริง มันกำลังสลายตัวอย่างช้าๆ อยู่เช่นกัน ในที่สุดแกก็ส่ายหน้าก่อนพูดออกมา…
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องแพ้น้ำตาเอ็งเสียทุกครั้งเลยสินะ”
.
“ทำไมพี่ถึงแน่ใจว่าแสงดาวหนีไปกับไอ้แม้น” ป้าจันเอ่ยถามเพื่อนร่วมทุ่งที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยกัน
ฟ้าสิ้นแสงแล้ว แต่แกและผู้ใหญ่ชื่นยังคงเฝ้ารอข่าวจากทิดชม ที่พาลูกสมุนออกตามหาหนุ่มสาวผู้หอบเสื้อผ้าหนีตามกัน โดยหวังว่าจะได้เจอตัวที่ไหนสักแห่ง…
กระดาษแผ่นนั้นยังคงอยู่ในกำมือ แผ่นกระดาษที่แสงดาวไม่ทันได้ซุกซ่อนทำลาย อาจเพราะมัวแต่รีบเร่ง ผู้ใหญ่ชื่นกำมันไว้แน่นตั้งแต่ได้รู้เห็นความลับในนั้น แกยื่นมันให้ป้าจัน ซึ่งรับมาแผ่คลี่ออก ส่องกับแสงตะเกียงพลางเพ่งมอง...
ท่ามกลางลายมือลูกชายบนสารรักนั้น ปรากฏลายเส้นสีน้ำตาลแทรกซ้อนอยู่ แน่นอนว่าตอนทิดชมเปิดอ่าน มันไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่เห็นนี้แต่อย่างใด
“พลิกอีกด้านสิ” ผู้ใหญ่ชื่นบอกกับแก ป้าจันทร์พลิกดูตามคำบอก ด้านหลังของจดหมายนี้ จะเห็นเพียงร่องรอยสีน้ำตาล หรือตัวอักษรที่ผู้ใหญ่ชื่นได้อ่านให้แกฟังว่า เป็นข้อความนัดแนะของไอ้แม้น บอกให้แสงดาวเก็บเสื้อผ้าหนีไปบางกอกด้วยกันกับมัน
“ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่า จดหมายทุกฉบับของไอ้แม้น ล้วนมีข้อความลับนี้ซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ไอ้จุก! ไอ้ตัวดี” ผู้ใหญ่ชื่นทิ้งเสียงหนักเมื่อเอ่ยถึงลูกฅนสุดท้อง ผู้กุมความลับของสองหนุ่มสาวไว้เสียสนิท
ไม่นึกเลยว่า ขณะที่แกและใครต่อใคร ต่างมองสารรักของไอ้แม้นอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน กลับถูกมันซ่อนกลเอาได้อย่างเจ็บแสบ ผู้ใหญ่ชื่นคงได้แต่แค่นยิ้มหนวดกระดิกเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
“ฉันไม่เข้าใจว่ามันทำได้อย่างไร” ป้าจันยังคงจ้องมองอักษรสีน้ำตาลที่เพิ่งสังเกตเห็นว่า มันคือรอยไหม้เกรียมเป็นตัวหนังสือนั่นเอง
“ข้าก็ได้แต่ครุ่นคิดจนถึงตอนนี้เช่นกันนั่นแหละ ว่ามันทำได้อย่างไร” แม้จะยังคงแค้นเคือง แต่ผู้ใหญ่ชื่นก็ดูอารมณ์เย็นขึ้นแล้วขณะตอบ
“ไอ้จุกมันรู้เพียงว่า แค่แสงดาวแอบใช้เตารีดนาบลงไปตอนรีดผ้า ตัวอักษรทั้งหมดก็จะปรากฏขึ้นมาเอง…”
“ไอ้นี่มันชอบเล่นอะไรแผลง ๆ อยู่ด้วย” ป้าจันพูดถึงนิสัยที่ใครต่อใครต่างระอาของลูกชาย
“มันจะเล่นแร่แปรธาตุ ด้วยเวทมนตร์ หรือเล่ห์กลอะไรก็ตาม คงต้องถามมันนั่นแหละจึงจะรู้ความจริง” ผู้ใหญ่ชื่นสรุปออกมาในที่สุด
.
“นั่นสิพี่ ฉันก็อยากรู้เช่นกันว่าพี่ทำได้อย่างไร” แสงดาวเอ่ยถามไอ้หนุ่มลูกทุ่งข้างกาย
รถบัสโดยสารขนาด 28 ที่นั่งกำลังส่งเสียงพร้อมสาดส่องแสงไฟมุ่งหน้าสู่ความมืดสนิท กลางคืนทำให้เส้นทางที่เห็นดูลึกลับในความรู้สึกของหนุ่มสาวผู้โดยสารอยู่
ด้วยความเป็นฅนรักสนุกชอบร้องรำทำเพลงของไอ้แม้น ทำให้เมื่อมีโอกาสมันมักชอบโดดขึ้นเวทีเชียร์รำวงตามงานบุญต่าง ๆ เป็นประจำ แม้ว่าจะรูปชั่วตัวดำ แต่ด้วยน้ำเสียงลีลาทั้งการกล้าแสดงออกบนเวทีของมัน ทำให้ไอ้แม้นเกิดต้องตาหัวหน้าคณะรำวง ผู้แนะนำให้มันได้รู้จักกับครูเพลงลูกทุ่ง ซึ่งต่อมาได้ชักชวนให้ไปอยู่บางกอกด้วยกัน ไอ้แม้นใช้เวลาไตร่ตรองหลายวันก่อนตัดสินใจ
สำหรับแสงดาวนั้น แม้ไอ้แม้นจะเป็นเพียงหนุ่มลูกทุ่งบ้าบอ กับนักร้องสมัครเล่นตามงานวัด แต่ลีลาการร้องเพลงของมัน ก็ทำให้เธอแอบชื่นชมไอ้หนุ่มรูปชั่วตัวดำคนนี้อยู่ไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นจดหมายบรรยายรักอันผิดแผกแหวกแนวด้วยแล้ว แสงดาวยิ่งประทับใจจนยอมมอบความรักให้ไอ้หนุ่มกำพร้าได้ครอบครอง เธอยอมเก็บเสื้อผ้าหนีตามไอ้แม้นเข้าเมืองกรุง สมัครใจเสี่ยงโชคสร้างฝันไปกับมัน
ทั้งสองรู้ดีว่า เส้นทางของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด เพราะการเข้ากรุงครั้งนี้ คือการไปทำงานรับใช้อยู่ในบ้านของครูเพลง รอความเมตตาให้ได้รับการสนับสนุนผลักดัน หากฝันเป็นจริง ไอ้แม้นก็จะได้อวดความสามารถที่มี ส่วนเรื่องจะได้เป็นนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนั้น คงต้องฝากไว้กับโชคชะตาอีกที
แต่ไม่ว่าเส้นทางเบื้องหน้าจะสมหวังหรือไม่ หาใช่สิ่งที่สองฅนสนใจมากไปกว่าว่า นี่เป็นทางเดียว ที่จะทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันโดยไม่มีผู้ใหญ่มาขัดขวาง อื่นใดนอกจากนี้พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
“มันไม่มีอะไรซับซ้อนดอก ของธรรมดา ใครก็ทำได้” ไอ้แม้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องธรรมดา แต่พี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ยอมตอบสักที” แสงดาวค่อนขอด
“ข้ารอวันนี้ไง” มันตอบเสียงแผ่ว
“อะไร” เธอเอียงหน้าถาม
“ก็วันที่จะได้กระซิบคำตอบแนบหูเจ้าไงเล่า” ไอ้แม้นยิ้มตอบพลางเบียดชิดฅนรัก แสงดาวบ่ายเบี่ยง เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังออกมาจากสองฅน
.
ทิดชมพาพวกกลับมาหาผู้ใหญ่ชื่นกับการคว้าน้ำเหลว พวกเขาช้าเกินไป สองหนุ่มสาวได้ออกไปไกลเสียแล้ว เมื่อหมดปัญญาติดตาม ผู้ใหญ่ชื่นก็คงต้องทำใจ
“อย่าห่วงมันเลย พวกมันโต ๆ กันแล้ว เอาตัวรอดกันได้หรอก” และกลับเป็นแกเสียเอง ที่ต้องพูดปลอบใจป้าจันให้คลายกังวล
“พี่ชื่นไม่โกรธพวกมันแล้วใช่ไหม” ป้าจันเอ่ยถามก่อนผู้ใหญ่ชื่นจะหันหลังกลับ
“ฅนเป็นพ่อเป็นแม่ มันก็อยากให้ลูกเลือกคู่ครองได้ดังใจตนทุกฅนนั่นแหละนะ… แต่ไหน ๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว และถึงอย่างไร ฅนหนึ่งก็ลูกในไส้ อีกฅนก็ลูกของเพื่อนคู่แค้น” ผู้ใหญ่ชื่นเว้นวรรคก่อนเอ่ยท่อนสุดท้ายออกมาแทบไม่ได้ยิน
“กับฅนที่ข้ายอมได้ทุกอย่างด้วยนี่นา”
.
รถโดยสารยังคงแล่นฝ่าคืนแรม พุ่งสู่ความหวังและโชคชะตาของคู่หนุ่มสาว
“พี่แค่ใช้ก้านธูปหรือเส้นตอก จุ่มน้ำส้ม มะนาว หรืออะไรที่เป็นส้มแล้วเขียนลงบนกระดาษ ปล่อยให้แห้ง แค่นี้ก็หลอกให้ข้าประหลาดใจได้ตั้งนานอย่างนั้นเลย” แสงดาวพูดกับฅนรักหลังทราบความลับของมัน ไอ้แม้นยิ้มแทนคำตอบรับ กระชับอ้อมกอด… รถโดยสารยังคงตะบึงไปข้างหน้า ไอ้หนุ่มด้นสดเพลงรักสำนวนลูกทุ่ง ส่งสารรักกระซิบกล่อมคู่เคียงกาย
‘รักสองเรา นั้นขับ เคลื่อนเลื่อนไป
ด้วยสองใจส่องทาง หว่างวิถี
แม้หนทาง อย่างไร จักร้ายดี
เพียงเรานี้ ผูกพัน นิรันดร…’
-จบ-
หมายเหตุ : หากใช้พู่กันจุ่มน้ำส้มสายชูเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ ทิ้งให้แห้ง เมื่อนำไปผ่านความร้อนจากการลนไฟหรืออะไรทำนองนี้ ตัวอักษรที่เขียนไว้ก็จะปรากฏขึ้นมา.
เรื่องสั้น : จอมอ จากแม้น (ท่อนที่๒)
“มันพาอีแสงดาวหนีไปบางกอกด้วยกันนั่นสิวะ”
ถึงกับงงงันกับคำตอบที่ได้รับ ป้าจันรู้ว่าลูกชายแอบรักแอบชอบแสงดาว แต่ก็เป็นการยากที่จะทำให้แกเชื่อว่า แสงดาวจะหนีตามไอ้แม้นของแกได้จริง ๆ
แน่นอนว่าทั้งผู้ใหญ่ชื่นและทุกฅน ล้วนไม่มีใครอยากเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน แม้รู้ว่าไอ้แม้นมีใจต่อแสงดาว แต่แสงดาวนั้นไม่เคยแสดงออกทางชู้สาว หรือมีอาการให้เห็นว่าจะสนใจไอ้หนุ่มไม่เต็มทะนานฅนนี้เลยแม้แต่น้อย…
“ลูกชายเอ็งมันเชื้อไม่ทิ้งแถว เลวทรามต่ำช้าเหมือนไอ้มิ่งพ่อมันนั่นแหละ” ผู้ใหญ่ชื่นกำลังพาลด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งป้าจันนั้น แกรู้นิสัยเพื่อนที่วิ่งเล่นกันมาทั่วทุ่งพนาตั้งแต่ครั้งยังเด็กของแกดี รู้ว่าป่วยการที่จะเอาเรือเข้าขวาง แกจึงได้แต่นิ่งเงียบ ปล่อยผู้ใหญ่ชื่นโวยวาย ฟาดงวงฟาดงาจนพอใจถึงได้เอ่ยขึ้น...
“พี่ชื่น ฉันรู้ว่าพี่โกรธ ถ้าพี่อยากด่าอีกพี่ก็ด่าเลย แต่ด่าฉันเถอะ ฉันเป็นแม่มัน ฉันไม่ดีเอง”
ผู้ใหญ่ชื่นสะอึก เหมือนว่ากำลังสำลักอารมณ์ร้อนระอุของตัวเอง เห็นน้ำตาของฅนเป็นแม่เอ่อคลอเบ้า แกได้แต่สูดลมหายใจหนัก ๆ เข้าปอด เม้มริมฝีปากสนิท พยายามข่มความโกรธที่มี ซึ่งความจริง มันกำลังสลายตัวอย่างช้าๆ อยู่เช่นกัน ในที่สุดแกก็ส่ายหน้าก่อนพูดออกมา…
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องแพ้น้ำตาเอ็งเสียทุกครั้งเลยสินะ”
.
“ทำไมพี่ถึงแน่ใจว่าแสงดาวหนีไปกับไอ้แม้น” ป้าจันเอ่ยถามเพื่อนร่วมทุ่งที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยกัน
ฟ้าสิ้นแสงแล้ว แต่แกและผู้ใหญ่ชื่นยังคงเฝ้ารอข่าวจากทิดชม ที่พาลูกสมุนออกตามหาหนุ่มสาวผู้หอบเสื้อผ้าหนีตามกัน โดยหวังว่าจะได้เจอตัวที่ไหนสักแห่ง…
กระดาษแผ่นนั้นยังคงอยู่ในกำมือ แผ่นกระดาษที่แสงดาวไม่ทันได้ซุกซ่อนทำลาย อาจเพราะมัวแต่รีบเร่ง ผู้ใหญ่ชื่นกำมันไว้แน่นตั้งแต่ได้รู้เห็นความลับในนั้น แกยื่นมันให้ป้าจัน ซึ่งรับมาแผ่คลี่ออก ส่องกับแสงตะเกียงพลางเพ่งมอง...
ท่ามกลางลายมือลูกชายบนสารรักนั้น ปรากฏลายเส้นสีน้ำตาลแทรกซ้อนอยู่ แน่นอนว่าตอนทิดชมเปิดอ่าน มันไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่เห็นนี้แต่อย่างใด
“พลิกอีกด้านสิ” ผู้ใหญ่ชื่นบอกกับแก ป้าจันทร์พลิกดูตามคำบอก ด้านหลังของจดหมายนี้ จะเห็นเพียงร่องรอยสีน้ำตาล หรือตัวอักษรที่ผู้ใหญ่ชื่นได้อ่านให้แกฟังว่า เป็นข้อความนัดแนะของไอ้แม้น บอกให้แสงดาวเก็บเสื้อผ้าหนีไปบางกอกด้วยกันกับมัน
“ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่า จดหมายทุกฉบับของไอ้แม้น ล้วนมีข้อความลับนี้ซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ไอ้จุก! ไอ้ตัวดี” ผู้ใหญ่ชื่นทิ้งเสียงหนักเมื่อเอ่ยถึงลูกฅนสุดท้อง ผู้กุมความลับของสองหนุ่มสาวไว้เสียสนิท
ไม่นึกเลยว่า ขณะที่แกและใครต่อใคร ต่างมองสารรักของไอ้แม้นอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน กลับถูกมันซ่อนกลเอาได้อย่างเจ็บแสบ ผู้ใหญ่ชื่นคงได้แต่แค่นยิ้มหนวดกระดิกเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
“ฉันไม่เข้าใจว่ามันทำได้อย่างไร” ป้าจันยังคงจ้องมองอักษรสีน้ำตาลที่เพิ่งสังเกตเห็นว่า มันคือรอยไหม้เกรียมเป็นตัวหนังสือนั่นเอง
“ข้าก็ได้แต่ครุ่นคิดจนถึงตอนนี้เช่นกันนั่นแหละ ว่ามันทำได้อย่างไร” แม้จะยังคงแค้นเคือง แต่ผู้ใหญ่ชื่นก็ดูอารมณ์เย็นขึ้นแล้วขณะตอบ
“ไอ้จุกมันรู้เพียงว่า แค่แสงดาวแอบใช้เตารีดนาบลงไปตอนรีดผ้า ตัวอักษรทั้งหมดก็จะปรากฏขึ้นมาเอง…”
“ไอ้นี่มันชอบเล่นอะไรแผลง ๆ อยู่ด้วย” ป้าจันพูดถึงนิสัยที่ใครต่อใครต่างระอาของลูกชาย
“มันจะเล่นแร่แปรธาตุ ด้วยเวทมนตร์ หรือเล่ห์กลอะไรก็ตาม คงต้องถามมันนั่นแหละจึงจะรู้ความจริง” ผู้ใหญ่ชื่นสรุปออกมาในที่สุด
.
“นั่นสิพี่ ฉันก็อยากรู้เช่นกันว่าพี่ทำได้อย่างไร” แสงดาวเอ่ยถามไอ้หนุ่มลูกทุ่งข้างกาย
รถบัสโดยสารขนาด 28 ที่นั่งกำลังส่งเสียงพร้อมสาดส่องแสงไฟมุ่งหน้าสู่ความมืดสนิท กลางคืนทำให้เส้นทางที่เห็นดูลึกลับในความรู้สึกของหนุ่มสาวผู้โดยสารอยู่
ด้วยความเป็นฅนรักสนุกชอบร้องรำทำเพลงของไอ้แม้น ทำให้เมื่อมีโอกาสมันมักชอบโดดขึ้นเวทีเชียร์รำวงตามงานบุญต่าง ๆ เป็นประจำ แม้ว่าจะรูปชั่วตัวดำ แต่ด้วยน้ำเสียงลีลาทั้งการกล้าแสดงออกบนเวทีของมัน ทำให้ไอ้แม้นเกิดต้องตาหัวหน้าคณะรำวง ผู้แนะนำให้มันได้รู้จักกับครูเพลงลูกทุ่ง ซึ่งต่อมาได้ชักชวนให้ไปอยู่บางกอกด้วยกัน ไอ้แม้นใช้เวลาไตร่ตรองหลายวันก่อนตัดสินใจ
สำหรับแสงดาวนั้น แม้ไอ้แม้นจะเป็นเพียงหนุ่มลูกทุ่งบ้าบอ กับนักร้องสมัครเล่นตามงานวัด แต่ลีลาการร้องเพลงของมัน ก็ทำให้เธอแอบชื่นชมไอ้หนุ่มรูปชั่วตัวดำคนนี้อยู่ไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นจดหมายบรรยายรักอันผิดแผกแหวกแนวด้วยแล้ว แสงดาวยิ่งประทับใจจนยอมมอบความรักให้ไอ้หนุ่มกำพร้าได้ครอบครอง เธอยอมเก็บเสื้อผ้าหนีตามไอ้แม้นเข้าเมืองกรุง สมัครใจเสี่ยงโชคสร้างฝันไปกับมัน
ทั้งสองรู้ดีว่า เส้นทางของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด เพราะการเข้ากรุงครั้งนี้ คือการไปทำงานรับใช้อยู่ในบ้านของครูเพลง รอความเมตตาให้ได้รับการสนับสนุนผลักดัน หากฝันเป็นจริง ไอ้แม้นก็จะได้อวดความสามารถที่มี ส่วนเรื่องจะได้เป็นนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนั้น คงต้องฝากไว้กับโชคชะตาอีกที
แต่ไม่ว่าเส้นทางเบื้องหน้าจะสมหวังหรือไม่ หาใช่สิ่งที่สองฅนสนใจมากไปกว่าว่า นี่เป็นทางเดียว ที่จะทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันโดยไม่มีผู้ใหญ่มาขัดขวาง อื่นใดนอกจากนี้พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรแล้ว
“มันไม่มีอะไรซับซ้อนดอก ของธรรมดา ใครก็ทำได้” ไอ้แม้นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องธรรมดา แต่พี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ยอมตอบสักที” แสงดาวค่อนขอด
“ข้ารอวันนี้ไง” มันตอบเสียงแผ่ว
“อะไร” เธอเอียงหน้าถาม
“ก็วันที่จะได้กระซิบคำตอบแนบหูเจ้าไงเล่า” ไอ้แม้นยิ้มตอบพลางเบียดชิดฅนรัก แสงดาวบ่ายเบี่ยง เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังออกมาจากสองฅน
.
ทิดชมพาพวกกลับมาหาผู้ใหญ่ชื่นกับการคว้าน้ำเหลว พวกเขาช้าเกินไป สองหนุ่มสาวได้ออกไปไกลเสียแล้ว เมื่อหมดปัญญาติดตาม ผู้ใหญ่ชื่นก็คงต้องทำใจ
“อย่าห่วงมันเลย พวกมันโต ๆ กันแล้ว เอาตัวรอดกันได้หรอก” และกลับเป็นแกเสียเอง ที่ต้องพูดปลอบใจป้าจันให้คลายกังวล
“พี่ชื่นไม่โกรธพวกมันแล้วใช่ไหม” ป้าจันเอ่ยถามก่อนผู้ใหญ่ชื่นจะหันหลังกลับ
“ฅนเป็นพ่อเป็นแม่ มันก็อยากให้ลูกเลือกคู่ครองได้ดังใจตนทุกฅนนั่นแหละนะ… แต่ไหน ๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว และถึงอย่างไร ฅนหนึ่งก็ลูกในไส้ อีกฅนก็ลูกของเพื่อนคู่แค้น” ผู้ใหญ่ชื่นเว้นวรรคก่อนเอ่ยท่อนสุดท้ายออกมาแทบไม่ได้ยิน
“กับฅนที่ข้ายอมได้ทุกอย่างด้วยนี่นา”
.
รถโดยสารยังคงแล่นฝ่าคืนแรม พุ่งสู่ความหวังและโชคชะตาของคู่หนุ่มสาว
“พี่แค่ใช้ก้านธูปหรือเส้นตอก จุ่มน้ำส้ม มะนาว หรืออะไรที่เป็นส้มแล้วเขียนลงบนกระดาษ ปล่อยให้แห้ง แค่นี้ก็หลอกให้ข้าประหลาดใจได้ตั้งนานอย่างนั้นเลย” แสงดาวพูดกับฅนรักหลังทราบความลับของมัน ไอ้แม้นยิ้มแทนคำตอบรับ กระชับอ้อมกอด… รถโดยสารยังคงตะบึงไปข้างหน้า ไอ้หนุ่มด้นสดเพลงรักสำนวนลูกทุ่ง ส่งสารรักกระซิบกล่อมคู่เคียงกาย
‘รักสองเรา นั้นขับ เคลื่อนเลื่อนไป
ด้วยสองใจส่องทาง หว่างวิถี
แม้หนทาง อย่างไร จักร้ายดี
เพียงเรานี้ ผูกพัน นิรันดร…’
-จบ-
หมายเหตุ : หากใช้พู่กันจุ่มน้ำส้มสายชูเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ ทิ้งให้แห้ง เมื่อนำไปผ่านความร้อนจากการลนไฟหรืออะไรทำนองนี้ ตัวอักษรที่เขียนไว้ก็จะปรากฏขึ้นมา.