“ตาครับ ก่อนมีอินเทอร์เน็ตนี่ หนุ่มสาวเขาต้องเขียนจดหมายจีบกันใช่มั้ยตา”
“ก็ใช่นะ การส่งจดหมายถือเป็นช่องทางหนึ่ง ก่อนมีโทรศัพท์หรือสมาร์ตโฟนอย่างทุกวันนี้นั่นแหละ”
“มันจะสนุกเหมือนแชตทางอินเทอร์เน็ตรึตา”
“ก็ไม่แน่นะ… เอ้านี่ไง ในอินเทอร์เน็ตมีทุกอย่างใช่มั้ย งั้นลองอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ดูสิ…”
*****
เรื่อง : จอมอ จากแม้น
โดย : ละเว้
“พี่รักน้อง ปองนุช สุดสวาท…”
อ่านออกเสียงข้อความจากแผ่นกระดาษในมือได้เท่านี้ ทิดชมก็ทำเสียงจุปากพึมพำ...
“แหม่ มันต้องขึ้นต้นแบบนี้ทุกบทสิน่า” ปล่อยหัวเราะขบขันเบาๆ ออกมา ท่ามกลางความสนใจของผู้อยู่โดยรอบที่ต่างยิ้มหัวตามกัน …อ่านใหม่โดยย้อนแต่เริ่มต้น คราวนี้มีการเพิ่มลีลาทำนองสร้างความครึกครื้นลงไปด้วย
พี่รักน้อง ปองนุช สุดสวาท
หยิบกระดาษ วาดกลอน อักษรศรี
เป็นเพลงยาว สมัยใหม่ ให้ฅนดี
ผูกพาที ฝากถ้อย ร้อยเรื่องไป
ไม่เห็นหน้า นงลักษณ์ ชักละเหี่ย
จิตอ่อนเพลีย เรี่ยวแรง มันแหว่งไหว
อยากบอกนุช สุดรัก จากดวงใจ
อย่าหลีกไกล เลยหนา พี่อาวรณ์
.
ไอ้แม้น คือเจ้าของจดหมายรักที่ทุกฅนกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ เนื้อความในท่วงทำนองเพลงหรือบทกลอนนั้น บรรยายถึงความรักของมันที่มีต่อแสงดาว ลูกสาวฅนเดียวของผู้ใหญ่ชื่น ซึ่งกำลังนั่งขบขันสำนวนโวหารของไอ้หนุ่มลูกทุ่ง ไม่ต่างจากทุกฅนในบ้านยามนี้เช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่าไอ้แม้นหลงรักแสงดาว ทั้งที่ระหว่างมันกับสาวเจ้าแล้ว ดูว่าจะห่างไกลกันพอควร ด้วยไอ้แม้นมันทั้งรูปชั่วตัวดำ มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในกระท่อมซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินชาวบ้านกับแม่เพียงสองฅน
พ่อของไอ้แม้นเสียชีวิตตั้งแต่มันอายุได้สิบสามขวบปี เป็นช่วงที่ไอ้แม้นรู้สึกตัวว่า มันเริ่มสนใจแสงดาวพอดีนั่นแหละ…
.
ส่วนแสงดาวนั้นเล่า สาวเจ้าช่างเพียบพร้อมด้วยฐานะและความงาม จึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วหมู่บ้านทั้งตำบล ไอ้แม้นรับรู้ความจริงข้อนี้ดี มันจึงเจียมตัวเจียมตน แอบรักแอบชอบแสงดาวของมันอยู่เงียบๆ ผู้เดียว
เพียงแต่ว่ายิ่งเก็บยิ่งซ่อนนานวันเข้า มันยิ่งถูกความรักกลัดกลุ้มรุมเร้า ในที่สุดก็เกินห้ามใจ ไอ้แม้นจึงแอบส่งจดหมายบรรยายรักฝากถึงแสงดาว ผ่านไอ้จุก ลูกชายฅนเล็กของผู้ใหญ่ชื่น ซึ่งเป็นผู้ที่มันพอจะตีสนิทได้ ส่วนฅนอื่น ๆ ในบ้านนั้น นอกจากจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้แม้นแล้ว ยังออกอาการรังเกียจมันกันเสียทุกฅน
ไอ้แม้นเทียวส่งสารรักผ่านไอ้จุกเป็นประจำ ทั้งที่แสงดาวไม่เคยได้ตอบกลับเลยสักฉบับ มิหนำซ้ำ ความรักความลับของมัน กลับหาใช่เรื่องลับแต่อย่างใด เพราะจดหมายบรรยายรักที่มันแอบส่งถึงแสงดาวนั้น ล้วนถูกทิดชมนำมาเปิดอ่าน สร้างความขบขันด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่ครึกครื้น ก่อนถึงมือสาวเจ้าเสียทุกครั้งไป…
.
“จบเสียทีพ่อเจ้าสกุลรุนช่องเอ๊ย… พ่อกระดิ่งกิ่งทอง…”
ในที่สุดทิดชมก็กล่าวขึ้นเมื่ออ่านเพลงรักลูกทุ่งฉบับนั้นจบลง
“ไอ้แม้นลูกตามิ่งมันเขียนได้เพียงนี้เชียวรึ ฅนบ้าบอพรรค์นั้น จะว่าไป ฉันยังเขียนไม่ได้อย่างมันเลย” ไอ้เขียด ลูกสมุนฅนหนึ่งของทิดชมเอ่ยขึ้น
“เอ็งโง่กว่ามันนี่หว่า ดีกับผีล่ะสิ ไม่ว่าจะสักกี่บทก็แทบไม่ต่างกัน ปรับเปลี่ยนบางถ้อยคำ เนื้อหาเดิม ๆ สำบัดสำนวนรึก็…” ทิดชมเอ่ยเสียงดัง ทุกฅนต่างยิ้มหัว ผู้ใหญ่ชื่นยังคงวางท่านิ่ง ทั้งที่รู้สึกระอาหยามหยันไอ้หนุ่มลูกทุ่งอยู่พอควร
“แฮ่ จริงจ้ะ” ไอ้เขียดตอบรับเสียงอ่อย ยิ้มเจื่อนออกมา “แต่ฉันไม่ได้บ้าอย่างมันนะพี่ ไอ้นี่วันดีคืนดี มันร้องลำตัดร้องยี่เกฅนเดียว วาดลีลาท่าทางอย่างกับกำลังออกแสดงหน้าเวที ฉันแอบเห็นอยู่บ่อยครั้งไป”
“เออ ใครก็รู้ว่ามันบ้า” ทิดชมตอบรับ “แถมบ้าไม่อยู่ส่วนบ้าเสียด้วยสิ ริอ่านส่งจดหมายเกี้ยวพาน้องข้า”
“เราน่าจะสั่งสอนให้มันรู้สำนึกเสียบ้างนะพี่” ไอ้เขียดเสนอเชิงประจบ ยกสนับมือขึ้นควงด้วยนิ้วแห้งๆ ประกอบคำพูดของมันไปด้วย
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ดูท่าทีมันไปก่อน แค่นี้พอได้ขำ หากเกินนี้ค่อยจัดการ” กล่าวพลางวางมาด ฉีกยิ้มหนวดกระตุกขณะส่งจดหมายยื่นให้น้องสาว
“เอ้า! เอาไป! จดหมายรักจากยอดชู้คู่ใจของเอ็ง” ไม่วายสัพยอก
“บ้าน่าพี่ชม” แสงดาวตอบปัดคำพี่ชาย รับจดหมายนั้นมาโดยไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร นั่นเพราะทิดชมได้เอ่ยทุกตัวอักษรออกมาจนสิ้นความแล้วนั่นเอง
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คงไม่มีใครทันได้เห็นสายตาแวววาวของไอ้จุก ที่ลอบมองแสงดาวทั้งกลั้นยิ้มในชั่วขณะแต่อย่างใด…
.
“เอ็งแน่ใจแล้วนะ…”
ป้าจันเอ่ยกับลูกชาย ทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้าน มือหนึ่งของไอ้แม้นจับสายย่ามที่สะพายอยู่บนบ่าขณะหันมองแม่ เบือนสายตาสู่ทิวข้าวกลางสายลม อีกฟากทุ่งคือบ้านของผู้ใหญ่ชื่นซึ่งอยู่ลิบลับห่างออกไป
“จ้ะ แม่” มันรับคำเบาๆ “แม้ไม่สู้แน่ใจนัก แต่ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจ” คำตอบของมันดูสับสนในที
“ไปอยู่ทางนู้นก็ไม่ต้องห่วงทางนี้ดอกนะ ตั้งใจรับใช้ครูท่าน อย่าไปรบกวนอะไรท่านให้มากนัก สุดแต่ท่านจะเมตตานะลูก ทุกอย่างมันต้องแล้วแต่บุญวาสนาด้วย”
แม้จะสั่งไม่ให้มันห่วงแม่ แต่ผู้เป็นแม่นั้นยังอดห่วงมันไม่ได้ ป้าจันยิ้มกลบความรู้สึกพลางกล่าวต่อ… “แล้วก็พยายามตัดอกตัดใจ…”
ไอ้แม้นชำเลืองมอง มันรู้ความหมายในคำพูดนั้นดี
“เมืองกรุงล้วนมีแต่สาวงาม สักพักขี้คร้าน เอ็งจะลืมทุ่งพนาเองนั่นแหละ”
ลูกชายยิ้มตอบ ทั้งที่เสียงแย้งดังเอ็ดอึงในใจ ชั่วชีวิตนี้มันไม่อาจลืมแสงดาว ลูกสาวฅนเดียวของผู้ใหญ่ชื่นได้อย่างแน่นอน และมันจะไม่มีวันยอมพรากจากแสงดาวด้วยเช่นกัน…
.
“ไอ้และอีตัวดีมันอยู่ที่ไหน”
ป้าจันสะดุ้งกับเสียงลั่นของผู้ใหญ่ชื่น ที่ดังขึ้นก่อนแกจะทันได้เห็นว่า มีแขกผ่านชายคาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
“มีเรื่องอะไรกันเล่าพี่ชื่น” ถามกับความระแวง ด้วยเห็นหน้าตาท่าทางของผู้มาเยือนแล้ว ป้าจันคงได้แต่คาดเดาเรื่องราวไปสารพัด ไอ้แม้นของแกมันสร้างเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า เมื่อเย็นนี้เองที่มันได้บอกลา ว่าจะไปอยู่กับครูเพลงในเมืองกรุง เพราะเห็นว่ามันรักมันชอบทางนี้ ได้ไปอยู่กับครูเพลงก็นับว่าเป็นเรื่องดีแกจึงไม่ขัด ขณะพลบค่ำ ผู้ใหญ่ชื่นพร้อมทิดชมและสมุน ก็เข้ามากับความโกรธเกรี้ยวเป็นร้อยชาติ ไอ้แม้นมันทำอะไรของมันอีก…
“มันพาอีแสงดาวหนีไปบางกอกด้วยกันนั่นสิวะ”
(อ่านต่อท่อนต่อไป)
เรื่องสั้น : จอมอ จากแม้น (ท่อนที่๑)
“ก็ใช่นะ การส่งจดหมายถือเป็นช่องทางหนึ่ง ก่อนมีโทรศัพท์หรือสมาร์ตโฟนอย่างทุกวันนี้นั่นแหละ”
“มันจะสนุกเหมือนแชตทางอินเทอร์เน็ตรึตา”
“ก็ไม่แน่นะ… เอ้านี่ไง ในอินเทอร์เน็ตมีทุกอย่างใช่มั้ย งั้นลองอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ดูสิ…”
*****
เรื่อง : จอมอ จากแม้น
โดย : ละเว้
“พี่รักน้อง ปองนุช สุดสวาท…”
อ่านออกเสียงข้อความจากแผ่นกระดาษในมือได้เท่านี้ ทิดชมก็ทำเสียงจุปากพึมพำ...
“แหม่ มันต้องขึ้นต้นแบบนี้ทุกบทสิน่า” ปล่อยหัวเราะขบขันเบาๆ ออกมา ท่ามกลางความสนใจของผู้อยู่โดยรอบที่ต่างยิ้มหัวตามกัน …อ่านใหม่โดยย้อนแต่เริ่มต้น คราวนี้มีการเพิ่มลีลาทำนองสร้างความครึกครื้นลงไปด้วย
พี่รักน้อง ปองนุช สุดสวาท
หยิบกระดาษ วาดกลอน อักษรศรี
เป็นเพลงยาว สมัยใหม่ ให้ฅนดี
ผูกพาที ฝากถ้อย ร้อยเรื่องไป
ไม่เห็นหน้า นงลักษณ์ ชักละเหี่ย
จิตอ่อนเพลีย เรี่ยวแรง มันแหว่งไหว
อยากบอกนุช สุดรัก จากดวงใจ
อย่าหลีกไกล เลยหนา พี่อาวรณ์
.
ไอ้แม้น คือเจ้าของจดหมายรักที่ทุกฅนกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ เนื้อความในท่วงทำนองเพลงหรือบทกลอนนั้น บรรยายถึงความรักของมันที่มีต่อแสงดาว ลูกสาวฅนเดียวของผู้ใหญ่ชื่น ซึ่งกำลังนั่งขบขันสำนวนโวหารของไอ้หนุ่มลูกทุ่ง ไม่ต่างจากทุกฅนในบ้านยามนี้เช่นกัน
เป็นที่รู้กันว่าไอ้แม้นหลงรักแสงดาว ทั้งที่ระหว่างมันกับสาวเจ้าแล้ว ดูว่าจะห่างไกลกันพอควร ด้วยไอ้แม้นมันทั้งรูปชั่วตัวดำ มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในกระท่อมซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินชาวบ้านกับแม่เพียงสองฅน
พ่อของไอ้แม้นเสียชีวิตตั้งแต่มันอายุได้สิบสามขวบปี เป็นช่วงที่ไอ้แม้นรู้สึกตัวว่า มันเริ่มสนใจแสงดาวพอดีนั่นแหละ…
.
ส่วนแสงดาวนั้นเล่า สาวเจ้าช่างเพียบพร้อมด้วยฐานะและความงาม จึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วหมู่บ้านทั้งตำบล ไอ้แม้นรับรู้ความจริงข้อนี้ดี มันจึงเจียมตัวเจียมตน แอบรักแอบชอบแสงดาวของมันอยู่เงียบๆ ผู้เดียว
เพียงแต่ว่ายิ่งเก็บยิ่งซ่อนนานวันเข้า มันยิ่งถูกความรักกลัดกลุ้มรุมเร้า ในที่สุดก็เกินห้ามใจ ไอ้แม้นจึงแอบส่งจดหมายบรรยายรักฝากถึงแสงดาว ผ่านไอ้จุก ลูกชายฅนเล็กของผู้ใหญ่ชื่น ซึ่งเป็นผู้ที่มันพอจะตีสนิทได้ ส่วนฅนอื่น ๆ ในบ้านนั้น นอกจากจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้แม้นแล้ว ยังออกอาการรังเกียจมันกันเสียทุกฅน
ไอ้แม้นเทียวส่งสารรักผ่านไอ้จุกเป็นประจำ ทั้งที่แสงดาวไม่เคยได้ตอบกลับเลยสักฉบับ มิหนำซ้ำ ความรักความลับของมัน กลับหาใช่เรื่องลับแต่อย่างใด เพราะจดหมายบรรยายรักที่มันแอบส่งถึงแสงดาวนั้น ล้วนถูกทิดชมนำมาเปิดอ่าน สร้างความขบขันด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่ครึกครื้น ก่อนถึงมือสาวเจ้าเสียทุกครั้งไป…
.
“จบเสียทีพ่อเจ้าสกุลรุนช่องเอ๊ย… พ่อกระดิ่งกิ่งทอง…”
ในที่สุดทิดชมก็กล่าวขึ้นเมื่ออ่านเพลงรักลูกทุ่งฉบับนั้นจบลง
“ไอ้แม้นลูกตามิ่งมันเขียนได้เพียงนี้เชียวรึ ฅนบ้าบอพรรค์นั้น จะว่าไป ฉันยังเขียนไม่ได้อย่างมันเลย” ไอ้เขียด ลูกสมุนฅนหนึ่งของทิดชมเอ่ยขึ้น
“เอ็งโง่กว่ามันนี่หว่า ดีกับผีล่ะสิ ไม่ว่าจะสักกี่บทก็แทบไม่ต่างกัน ปรับเปลี่ยนบางถ้อยคำ เนื้อหาเดิม ๆ สำบัดสำนวนรึก็…” ทิดชมเอ่ยเสียงดัง ทุกฅนต่างยิ้มหัว ผู้ใหญ่ชื่นยังคงวางท่านิ่ง ทั้งที่รู้สึกระอาหยามหยันไอ้หนุ่มลูกทุ่งอยู่พอควร
“แฮ่ จริงจ้ะ” ไอ้เขียดตอบรับเสียงอ่อย ยิ้มเจื่อนออกมา “แต่ฉันไม่ได้บ้าอย่างมันนะพี่ ไอ้นี่วันดีคืนดี มันร้องลำตัดร้องยี่เกฅนเดียว วาดลีลาท่าทางอย่างกับกำลังออกแสดงหน้าเวที ฉันแอบเห็นอยู่บ่อยครั้งไป”
“เออ ใครก็รู้ว่ามันบ้า” ทิดชมตอบรับ “แถมบ้าไม่อยู่ส่วนบ้าเสียด้วยสิ ริอ่านส่งจดหมายเกี้ยวพาน้องข้า”
“เราน่าจะสั่งสอนให้มันรู้สำนึกเสียบ้างนะพี่” ไอ้เขียดเสนอเชิงประจบ ยกสนับมือขึ้นควงด้วยนิ้วแห้งๆ ประกอบคำพูดของมันไปด้วย
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ดูท่าทีมันไปก่อน แค่นี้พอได้ขำ หากเกินนี้ค่อยจัดการ” กล่าวพลางวางมาด ฉีกยิ้มหนวดกระตุกขณะส่งจดหมายยื่นให้น้องสาว
“เอ้า! เอาไป! จดหมายรักจากยอดชู้คู่ใจของเอ็ง” ไม่วายสัพยอก
“บ้าน่าพี่ชม” แสงดาวตอบปัดคำพี่ชาย รับจดหมายนั้นมาโดยไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร นั่นเพราะทิดชมได้เอ่ยทุกตัวอักษรออกมาจนสิ้นความแล้วนั่นเอง
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คงไม่มีใครทันได้เห็นสายตาแวววาวของไอ้จุก ที่ลอบมองแสงดาวทั้งกลั้นยิ้มในชั่วขณะแต่อย่างใด…
.
“เอ็งแน่ใจแล้วนะ…”
ป้าจันเอ่ยกับลูกชาย ทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้าน มือหนึ่งของไอ้แม้นจับสายย่ามที่สะพายอยู่บนบ่าขณะหันมองแม่ เบือนสายตาสู่ทิวข้าวกลางสายลม อีกฟากทุ่งคือบ้านของผู้ใหญ่ชื่นซึ่งอยู่ลิบลับห่างออกไป
“จ้ะ แม่” มันรับคำเบาๆ “แม้ไม่สู้แน่ใจนัก แต่ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจ” คำตอบของมันดูสับสนในที
“ไปอยู่ทางนู้นก็ไม่ต้องห่วงทางนี้ดอกนะ ตั้งใจรับใช้ครูท่าน อย่าไปรบกวนอะไรท่านให้มากนัก สุดแต่ท่านจะเมตตานะลูก ทุกอย่างมันต้องแล้วแต่บุญวาสนาด้วย”
แม้จะสั่งไม่ให้มันห่วงแม่ แต่ผู้เป็นแม่นั้นยังอดห่วงมันไม่ได้ ป้าจันยิ้มกลบความรู้สึกพลางกล่าวต่อ… “แล้วก็พยายามตัดอกตัดใจ…”
ไอ้แม้นชำเลืองมอง มันรู้ความหมายในคำพูดนั้นดี
“เมืองกรุงล้วนมีแต่สาวงาม สักพักขี้คร้าน เอ็งจะลืมทุ่งพนาเองนั่นแหละ”
ลูกชายยิ้มตอบ ทั้งที่เสียงแย้งดังเอ็ดอึงในใจ ชั่วชีวิตนี้มันไม่อาจลืมแสงดาว ลูกสาวฅนเดียวของผู้ใหญ่ชื่นได้อย่างแน่นอน และมันจะไม่มีวันยอมพรากจากแสงดาวด้วยเช่นกัน…
.
“ไอ้และอีตัวดีมันอยู่ที่ไหน”
ป้าจันสะดุ้งกับเสียงลั่นของผู้ใหญ่ชื่น ที่ดังขึ้นก่อนแกจะทันได้เห็นว่า มีแขกผ่านชายคาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
“มีเรื่องอะไรกันเล่าพี่ชื่น” ถามกับความระแวง ด้วยเห็นหน้าตาท่าทางของผู้มาเยือนแล้ว ป้าจันคงได้แต่คาดเดาเรื่องราวไปสารพัด ไอ้แม้นของแกมันสร้างเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า เมื่อเย็นนี้เองที่มันได้บอกลา ว่าจะไปอยู่กับครูเพลงในเมืองกรุง เพราะเห็นว่ามันรักมันชอบทางนี้ ได้ไปอยู่กับครูเพลงก็นับว่าเป็นเรื่องดีแกจึงไม่ขัด ขณะพลบค่ำ ผู้ใหญ่ชื่นพร้อมทิดชมและสมุน ก็เข้ามากับความโกรธเกรี้ยวเป็นร้อยชาติ ไอ้แม้นมันทำอะไรของมันอีก…
“มันพาอีแสงดาวหนีไปบางกอกด้วยกันนั่นสิวะ”
(อ่านต่อท่อนต่อไป)