บ้านไร่ปลายฝัน

กระทู้สนทนา


บ้านไร่ปลายฝัน

 
             กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
             เสียงขลุกขลัก กึกกัก เอี๊ยดอ๊าด ของเกวียนเทียมควาย ค่อยเคลื่อนไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ด้วยความเร็วไม่ห่างจากคนเดินเท่าไรนัก ตะวันบ่ายคล้อย เงาไม้ใหญ่น้อยข้างทางและสายลมบ่าย ทำให้อากาศตามเส้นทางร่มรื่นเย็นสบาย ฝูงนกกาโบยบินไปตามแนวไม้ ข้างทางเป็นท้องทุ่งเขียวขจี ตีเส้นด้วยคันนาสร้างรูปสี่เหลี่ยมไล่เรียงรายสุดสายตา ไปยังทิวเขาไกล
 
             หนุ่มสุดใจ ในชุดกางเกงขายาวสีดำ เสื้อแขนสั้น ค่อนข้างเก่าเก่าราวผ่านการใช้งานมานาน กับรองเท้าแตะใกล้สิ้นสภาพอายุขัย หลังจากจากรถประจำทางถนนหลัก เขาก็ต้องเดินเท้ามาตามถนนลูกรังเล็ก ๆ สายหนึ่ง พักหนึ่ง เพราะไม่มีรถวิ่งเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะมีโชคช่วย
 
             เวลานี้ชายหนุ่มนอนพิงกระเป๋าเดินทางใบเก่า เหนื่อยล้าจากการเดินทางสายตัวแทบขาด เพราะเดินเท้ามานาน ทั้งยังแบกกระเป๋าใบใหญ่พอที่จะบรรจุความเหนื่อยล้ามาทั้งวันให้เต็มมาด้วย ตั้งใจว่าจะกลับบ้านเกิด ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ชนบท เป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร พอดีมีเกวียนเล่มงามของคุณลุงคนหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าออกจากป่าข้างทางมาพอดี  นั่นละ โชคของสุดใจ เลยขออาศัยมาด้วย ในขณะที่เขากำลังเหนื่อยล้า รถโดยสารประจำทางคันเดียวของหมู่บ้าน คุณลุงเล่าให้ฟังว่าต้องเข้าอู่ซ่อม คงใช้เวลาอีกสองสามวัน คนในหมู่บ้านไม่นิยมเดินทางออกจากหมู่บ้านมากนัก คนโดยสารคันเดียวก็เหลือเฟือ
 
             หลายปีแล้วที่สุดใจไม่ได้กลับบ้าน เขาเดินทางเข้ากรุงเทพเมืองสวรรค์ เมืองแห่งความฝัน และความหวังของใครต่อใครกันหลายคน โดยเฉพาะคนบ้านป่า ที่หวังจะไปขุดทองในเมืองหลวง หาเงิน เก็บเงิน ส่งมาเลี้ยงครอบครัวบ้านนอก นั่นเป็นภาพฝันภาพสวยของใครหลายคน แน่นอนว่าบางคนก็ไปได้ดี ตามเส้นทางของตัวเอง แต่หลายคนก็ล้มเหลวกลับมา เมืองกรุงไม่เคยปรานีใคร บางคนสูญเสีย ชีวิตและความหวัง บางคนก็ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อจับพลัดจับผลูได้ดีมีโชค
 
             หลายปีกับการทำงาน ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในเมืองหลวง แต่เวลานานผ่านพ้น สุดใจก็ไปไม่รอด ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยใจคอของเขานั่นเอง
 
             “ลุงเป็นคนบ้านนี้หรือครับ”  เขาชวนคุย เมื่อผ่านการเดินทางมาระยะหนึ่งสายตายังคงเอนกายจ้องมองนกกาบนท้องฟ้า
 
             “เออ...ลุงเป็นคนบ้านนี้ และพ่อหนุ่มล่ะ”  ลุงแกตอบโดยไม่หันมามอง หมวกจักสานใบใหญ่ของลุง ภาพของป่ารกชัฏข้างทาง ทำให้บรรยากาศป่าดงดูสงบเงียบแตกต่างจากสีสันของเมืองกรุงอย่างสิ้นเชิง สายตาของแกจับจ้องยังถนนเบื้องหน้า ควบคุมควายสองตัวให้พาเกวียนหลบหลีกหลุมบ่อผิวดินอย่างระมัดระวัง

             “อ้อ ผมก็เป็นคนบ้านนี้เหมือนกันครับ”
 
             “เอ...ลุงไม่เคยเห็นหน้าพ่อหนุ่มนะ”
 
             "โอ้ย...ผมไปอยู่กรุงเทพหลายปีดีดักครับ”  สุดใจเอ่ยถึงคำว่าการไปกรุงเทพอย่างภาคภูมิใจ กับชาวชนบทการเดินทางสู่กรุงเทพ เป็นเรื่องตื่นเต้นยิ่งใหญ่ในฝันของหลายคน
 
             “แล้วไปทำงานอะไรล่ะ”
 
             “หลายอย่างเลยครับ ทั้งกรรมกรแบกหาม ทำงานโรงงาน ขายของก็เคย แต่ไปไม่รอดครับ”
 
             พอเห็นลุงยังไม่ตอบอะไร สุดใจก็คุยต่อไป  “ผมคงเป็นคนชนิดที่เรียกว่านารีพิฆาตครับ ไปอยู่แถวไหนก็มีเมียที่นั่น  ตามหึงตามหวงกันวุ่นวาย หลายครั้งก็ถูกไล่ออกจากงาน บางทีก็โดนผัวเขาไล่กระทืบ เพราะเรื่องนี้ละครับลุง  พ.พ.ม. พังเพราะเมีย”
 
             “ท่าทางพ่อหนุ่มเป็นคนเจ้าชู้นะ”
 
             “ผมก็ไปของผมอย่างนี้ละครับ อยู่ที่ไหน ก็ไม่พ้นเรื่องพวกนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายของคู่กันอยู่แล้วนี่ครับ ไม่รู้ว่าดวงดีหรือดวงซวยกันแน่”  แม้จะฟังดูคล้ายการบ่นเบื่อ แต่เหมือนแฝงการคุยเขื่องอยู่ด้วย  “สมัยผมอยู่ที่นี่ ก็มีสาวมาติดพันหลายคน จนต้องหนีไปกรุงเทพโน่นละลุง”
 
             “ถึงขั้นต้องหนีเลยเหรอไอ้หนุ่ม”  ลุงเจ้าของเกวียนถาม แบบท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อมากนัก สุดใจไม่ใช่คนหล่อเหลาอะไรมากมาย หน้าตาก็ไม่ได้ดูวิเศษวิโสไปจากหนุ่มชนบททั่วไปสักเท่าไร
 
             “จริงสิลุง ทั้งสีดา จำปา เกษร ก็มาติดพันผม แย่งกันวุ่นวายไปหมด กลับมานี่สงสัยคงต้องคอยหลบหน้าหลบตาพวกเธอกันให้ยุ่งเลยทีเดียว แต่ผมว่าพวกเธอคงแต่งงงแต่งงานไปหมดแล้วละ ก็หลายปีมาแล้ว ลุงน่าจะรู้จักนะ”
 
             “โถ พ่อหนุ่ม หมู่บ้านเราถึงจะเล็ก ๆ แต่ก็แยกย่อย ไปเป็นบ้านใต้บ้านเหนือบ้านกลาง จะให้รู้จักทุกคนมันก็เป็นไม่ได้หรอกนะ อ้อ พอจะคลับคล้ายคลับคลาอยู่คนหนึ่ง สีดามันได้ผัวเป็นตำรวจ มีหน้ามีตา ใกล้จะเป็นคุณนายไปแล้ว ทองหยองเต็มตัว ดวงคนเรามันไม่แน่หรอกพ่อหนุ่ม อย่างลุงสิ ทำงานทั้งชีวิตเหนื่อยมานาน ยังไม่เห็นลืมตาอ้าปากได้เลย”
 
             นั่นละชีวิตขาวไร่ชาวนา สุดใจคิดแต่ไม่พูดออกมา ถึงการศึกษาของเขาจะจบแค่ ปอสี่ แต่ก็พอจะมองอะไรออกเหมือนกัน ชาวไร่ชาวนาไม่ได้ลืมตาอ้าปาก แต่พวกอาเฮียอาเสี่ยอาตี๋ในตลาด ค้าขายจนกลายเป็นเถ้าแก่ร่ำรวยเป็นนายทุนไปแล้วก็มี คำว่าชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ เหมือนเป็นคำที่ทำให้เกิดความภูมิใจแบบยากจนมากกว่า เพราะถ้าจะเป็นกระดูกสันหลัง หลายคนก็กระดูกแบบผุ ๆ
 
             นึกถึงสีดาสาวบ้านป่า ก็อดเสียดายไม่ได้ มีผัวเป็นตำรวจไปเสียแล้ว สุดใจไม่ชอบพวกตำรวจในหมู่บ้าน เพราะมองว่าพวกนี้มักทำหน้าที่ของตนเองไม่ได้เรื่องเท่าที่ควร ยิ่งเป็นชาวบ้านนอกคอกนาไปแจ้งความ ก็ไม่เคยเห็นจะกระดิกตัวทำอะไรได้เรื่องสักครั้ง เวลามีงานประเพณีก็มักม่าเบ่งกินฟรีตามร้านรวงเป็นประจำ
 
             มีผัวไปก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเป็นก้างขวางคอ
 
             “ลุงเดินทางไกลแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย
 
             “ไม่ทุกวันหรอก ลุงเอาควายไปไถนาหลายแปลง นอนนาหลายวันกว่าจะเสร็จ นี่ก็จะกลับบ้านเสียหน่อย  นัดป้าจันแกไว้แล้วว่าจะกลับไปกินแกงอ่อมหอย ใสผักชีลาว ป้ารู้ว่าลุงชอบกิน เป็นห่วงแกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าแกจะเป็นยังไงบ้าง”
 
             “ป้าแกไม่สบายเหรอลุง”
 
             “เออ แกไม่สบายตามประสาคนแก่ เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาหลายปีแล้ว แต่ก็ต้องดูแลกันไป ไหน ๆ ก็อยู่ด้วยกันมาแล้ว รุ่นลุงนะเวลารักใครก็รักกันจริง ขนาดถูกจับให้แต่งงานกันก็ยังรักกันได้ ว่าแต่บ้านพ่อหนุ่มอยู่ไหนละ ลุงคงไปส่งไม่ได้นะ สงสารควายมัน”
 
             “ไม่ต้องหรอกครับลุง ผมเดินต่อไปได้ บ้านผมอยู่หมู่สามครับ พ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านสุขไงครับ ลุงน่าจะรู้จัก แกมีลูกชายคนเดียว ก็ผมนี่ละ”
 
             “อ้อ ลูกชายเจ้าสุขนั่นเอง”  คุณลุงทำเสียงเหมือนรู้จัก “ว่าแต่กลับมาทำไมไม่ส่งข่าวบอกล่วงหน้า ให้ใครก็ได้มารับล่ะ ไม่มีรถก็ยังพอมีคนขับมอเตอร์ไซด์จักรยานมารับได้ บ้านเราไม่ได้เจริญจนรถราวิ่งขวักไขว่”
 
             “ผมมาแบบกะทันหันครับ เลยไม่ได้ส่งข่าวใครทางบ้านรู้ ดีนะมาเจอลุง ไม่งั้นเป็นอะไรไปทางบ้านคงไม่มีใครรู้ ส่วนงานทางกรุงเทพก็ไปทำไม่ได้ นักเลงเจ้าถิ่นจ้องรอเล่นงานอยู่ ต้องเผ่นมาตั้งหลักก่อนสิครับ อยู่ก็ตายฟรี ว่าแต่ลุงรู้จักพ่อผู้ใหญ่ของผมจริง ๆ เหรอครับ”
 
             “ทำไมจะไม่รู้จัก”  ลุงพูดเสียงดังดึงเชือกให้เกวียนหยุด ลุกขึ้นหันขวับมายืนจังก้า พร้อมด้วยมีดดาบยาวคมขาววับที่ถางไร่ถางพงจนนับครั้งไม่ถ้วน จากข้อมือแข็งแรงของคนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน สายตาของลุงที่เคยสงบนิ่ง เปลี่ยนเป็นเต็มไปด้วยความคั่งแค้นดุดัน
 
             “ข้ารู้จักแกด้วย ไอ้สุดใจ เกษรมันลูกสาวข้า แกทำมันท้องแล้วหนีไปกรุงเทพ  อย่านึกว่าข้าไม่รู้ บังเอิญเสียจริงนะ เจอแกพอดีวันนี้ ไอ้คนเลว”
 
 
 
              ***************

    
             ป้าจันชะเง้อมองทางเข้าหมู่บ้านแต่ไกล แกมานั่งรอสามีที่ศาลาริมทางเข้าหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วงเพราะแกเคยบอกว่าจะกลับบ้านเย็นวันนี้ จะอายุมากแค่ไหนแต่ความผูกพันไม่เคยเปลี่ยนแปลง อยู่กันมานาน ทะเลาะกันหลายครั้ง แต่ไม่เคยห่างกัน
 
             นั่นไง ลุงบุญมีคู่ชีวิตขับเกวียนเข้าปากทางมา แกขับเกวียนเข้ามาปากทางมาแล้ว ป้าจันยิ้มโล่งใจ 
 
             “ข้าคิดถึงอ่อมหอยใส่ผักชีลาวเต็มทีแล้ว  มาเร็ว ไปด้วยกัน”  ลุงบุญมียิ้มกวักมือให้ป้าจัน ภาพคุณลุงร่วมมือกันช่วยดึงประคองป้าขึ้นเกวียน เป็นภาพน่ารักสำหรับคนมองเห็น
 
             วันนี้ดูท่าทางแกอารมณ์ดีเหลือเกิน ป้าจันอดสงสัยไม่ได้ ปกติแกเป็นคนเงียบขรึมไม่เคยยิ้มมานาน ตั้งแต่ลูกสาวคนโตของแกผูกคอตาย หนีความอับอาย เพราะท้องไม่มีพ่อ  แต่เย็นวันนี้นั่งเกวียนมาดแบบราชามาพร้อมรอยยิ้ม ดูดยาเส้นควันโขมง เหมือนสมหวังอะไรสักอย่าง เกวียนสะอาดเอี่ยมผ่านการล้างด้วยน้ำมาหมาด ๆ นึกอะไรของแกนะ ป้าจันนึกในใจ ฝนจะตกเป็นแน่แท้ ที่สามีของแกลงทุนล้างเกวียนคู่ใจจนสะอาด  
 
             จะเรื่องอะไรก็ช่างแกเถอะ เรื่องของคนบ้านป่านาดอน มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานผู้คนก็พากันลืมเลือนไปเอง ไม่ได้ใส่ใจสืบสาวเอาความ
 
            สู้เอาเวลา ไปทำมาหากิน ดีกว่าเป็นไหน ๆ



THE END.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่