เรื่อง : เพียงฝันวันเยาว์
โดย : ละเว้
ผมชื่อโสะเธียอายุเก้าขวบ ผมมีกระบองคู่ใจอันหนึ่ง มันทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผมจะถือติดตัวตลอดเวลาเลย
หมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดบัตด็อมบอง (พระตะบอง) ผมอยู่กับยายเพียงสองฅน พ่อ แม่ และพี่ชายของผมไปทำงานที่เมืองไทยกันหมด ที่จริงผมเคยไปเมืองไทยหนหนึ่งเหมือนกันนะ
.
ค่ำคืนที่เสียงเพลงฝรั่งจากร้านอาหารริมทะเลดังคึกคัก ทุกสิ่งดูตื่นตาตื่นใจผมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองฟืนสุมไฟบนลานชิดหาดทรายซึ่งกำลังส่องแสงวูบวาบอยู่นี่ หรือแสงเทียนจากโต๊ะทรงเตี้ยที่ตั้งรายล้อมอยู่นั่นก็ตาม นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝรั่งตัวโตหัวแดงนั่นก็ทำให้ผมตื่นเต้นได้อีกเช่นกัน พวกเขาบ้างนั่งดื่มกินบ้างยืนล้อมชมการแสดงรอบกองไฟกันอยู่
ที่หน้ากองไฟนั้น โสะเภีย พี่ชายอายุสิบสี่ของผมกำลังทำการแสดงโชว์ควงกระบองไฟ ผมไม่เคยเห็นเขาทำแบบนี้มาก่อนจึงอดชื่นชมไม่ได้ เหมือนว่าพี่ชายกำลังเล่นอยู่กับวงล้อไฟเลย ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบการแสดงของเขาผมยิ่งภูมิใจ
พี่ชายโยนกระบองขึ้นไปสูงก่อนรับมันไว้ได้ เขาโค้งคำนับเมื่อจบการแสดง ทุกฅนปรบมือกันเกรียว บางฅนมาขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ยิ้มมองพี่ชาย หากแต่จู่ ๆ แหม่มฅนหนึ่งที่มาขอถ่ายรูปนั้นก้มลงหอมแก้มพี่เภียเฉยเลย ผมถึงกับตะลึงยกมือปิดตาไม่ทันเลยทีเดียว
.
วันนั้นผมได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วย ทะเลมันกว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้มากเลยจริง ๆ นะ
“แหวะ มันเค็ม” ผมร้องออกมาเมื่อได้รับรู้รสชาติน้ำทะเล พี่ชายก็ยังจะหัวเราะขำอีก
“เออสิ จะให้มันหวานรึไง” เขาตอบกวน
“ไม่รู้นี่” ผมตอบเสียงอ่อยออกไป เราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็มานั่งกับพื้นมองดูคลื่นซัดทราย
“ทำไม มีไร” พี่ชายถามเมื่อผมมองหน้าเขา ยังอดยิ้มขำไม่ได้
“พี่โดนจูบด้วย” ผมทำปากยื่นใส่เขาตรงคำว่าจูบแล้วก็หัวเราะ
“อิจฉาล่ะสิ” เขากลับทำกวนด้วยการเชิดใส่
“แหวะ” ผมเบ้ปากส่งเสียงดังทำท่าขยะแขยง แต่เขากลับเอามือมาขยี้หัวผมแล้วหัวเราะร่า ผมไม่ยอมให้เขาทำฝ่ายเดียวหรอก ต้องเอาคืนบ้าง เราปล้ำกันอยู่บนหาดทรายนั่นแหละ
.
ยิ่งตกเย็นทะเลก็ยิ่งสวย ฟ้าเป็นสีทอง น้ำก็ระยิบระยับจากแสงตะวันเลยทีเดียว อดคิดไม่ได้ว่าบ้านของผมต่างจากที่นี่มากเลย
ฝรั่งผมแดงนั่นก็เช่นกัน พวกเขาดูต่างจากเรามาก ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้นด้วย
“ทะเลสวยดีนะพี่” ผมพูดขึ้นระหว่างเดินกลับที่พัก
“อืม พี่มาทีแรกก็ตื่นเต้นแบบเอ็งนี่แหละ” พี่ชายพูดพลางสะกิดให้ดูคู่ฝรั่งชายหญิงยืนจูบกันในน้ำพลางหัวร่อคิกคัก ผมล่ะอายแทนเลย
.
“ไอ้เธีย ตื่นได้แล้ว” เสียงยายดังแข่งกับเสียงไก่ขันแต่เช้า ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งงง ต้องทำอะไรก่อนนะ โยนผ้าห่มกองไว้ข้างฝาก่อนแล้วกัน
หลังจากเอาวัวออกไปล่ามในทุ่งแล้วผมก็ตักน้ำจากบ่อมาลูบหน้า เสร็จแล้วใช้พลั่วตักขี้วัวใส่บุ้งกี๋หิ้วไปเทกองรวมกันข้างลานบ้าน นั่นแหละคืองานประจำทุกเช้าก่อนไปเรียนของผม
“ไอ้นี่! รีบแต่งตัวไปโรงเรียนสิ” ยายหันมาดุเมื่อเห็นผมยังคงแกว่งกระบองเล่น ผมวิ่งขึ้นบ้าน ซุกกระบองไว้ข้างฝาที่มีของวางอยู่เต็มนั่นแหละ กางเกงนักเรียนขายาวพาดอยู่บนราวเชือก ผมถอดชุดเก่าพาดไว้ หยิบกางเกงขึ้นมาสวม เสื้ออยู่ตรงไหนนะ ผมแหวกหาดู มันอยู่นี่เอง เมื่อหยิบกระเป๋าเก่า ๆ มาสะพายหลังผมก็พร้อมแล้ว เสียงไอ้ดากับไอ้มุดเรียกมาพอดี ผมรีบลงบ้านรับเงินสองร้อยเรียล ยกมือไหว้ยายแล้วก็วิ่งออกมา
“น้ำทะเลมันเค็มนะ และทะเลมันก็ใหญ่มากด้วย” ผมโม้เรื่องเมืองไทยที่เพิ่งจากมาให้สองฅนนั่นฟังตลอดทาง รู้ว่าพวกมันต้องชอบเพราะไม่เคยไปไทยกัน
.
“พี่ชายข้าเป็นนักควงกระบองไฟด้วย เอ็งไม่เคยเห็นกันล่ะสิ” ผมยังคุยอวดพวกมันในช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน พวกเราพากันลงทุ่งไปดูวัวกัน หลังตักน้ำให้วัวเสร็จแล้วผมก็หยิบกระบองขึ้นมาควงให้พวกมันดู
“แค่นี้นะ” ไอ้ดาทำเสียงเยาะ ตีสีหน้าเซ็งขณะถาม
“เออ ข้าทำได้แค่นี้แหละ เอ็งต้องเห็นพี่ข้า พี่ข้าเก่งนะโว้ย” ผมพูดพลางยังคงควงท่าง่าย ๆ ที่พี่ชายสอน
“เอ็งลองดูมั้ยล่ะ” ผมยื่นกระบองให้ ไอ้ดา มันรับไปหมุน ผมกับไอ้มุดอดขำท่าทางของมันไม่ได้
“ไม่เอาละ ไม่เห็นหนุกเลย” มันบอกพลางส่งไม้คืน ผมรู้ว่ามันอายที่ควงกระบองได้แย่กว่าผมเสียอีก
“เอ็งลองไหม” ผมถามไอ้มุดพลางส่งไม้ให้มัน
“เล่นน้ำกันดีกว่า” มันหันหลังถอดเสื้อผ้าวิ่งออกไป ผมกับไอ้ดาจึงถอดเสื้อผ้าโดดลงน้ำตามมันไปเช่นกัน
.
“ฝรั่งนะมันตัวโตมากเลย ผมเป็นสีแดงด้วย” เช้าวันนี้ระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกันผมก็เล่าเรื่องเมืองไทยให้มันฟังกันอีก
“เอ็งคุยเรื่องอื่นเหอะ ข้าเบื่อเรื่องเมืองไทยแล้วว่ะ” ไอ้ดาบอก ผมหันมองไอ้มุด มันก็ได้แต่ยิ้ม ผมจึงต้องพยักหน้าและเดินตามพวกมันไปเงียบ ๆ
“มีเงาะขายด้วย” ไอ้ดาชี้มือให้ดูกองเงาะขนช้ำดำเหี่ยวที่ร้านค้าในโรงเรียน
“ซื้อมั้ย” มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า
“ตอนไปไทยข้าได้กินเงาะกระป๋องด้วยนะโว้ย”
“พอเถอะเอ็ง เมืองไทยอีกแล้ว” ไอ้ดารีบตัดบท ไอ้มุดก็พยักหน้ารับกันเป็นปี่เป็นกลอง ผมชักไม่พอใจพวกมันเหมือนกันนะ
.
‘ท่านี้ใช้มือเดียว บิดไม้กลับไปมา พร้อมกับเหวี่ยงซ้ายขวา'
ผมหัดควงกระบองไปนึกถึงที่พี่ชายสอนไป ท่านี้ไม่ยากเท่าไร
‘ท่านี้จับไม้ด้วยมือขวา บิดข้อมือ ยกแขนขึ้นด้านบน ใช้มือซ้ายรับไม้จากด้านหลัง บิดข้อมือ ลดแขนลงล่าง’
ท่านี้ยากทีเดียว ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไร ต้องพยายามให้มากขึ้น
“ไอ้เธีย! ไปเล่นน้ำกัน” เสียงไอ้มุดตะโกนมาแต่ไกล ไม่มีไอ้ดามาด้วยวันนี้
“ขี้เกียจ” ผมตอบมันโดยไม่ได้หันมอง
“เอ็งก็บ้าแต่กระบอง จะควงไปทำไมนัก” มันพูดเมื่อเดินมาถึง ผมหยุดควง จับกระบองทิ่มดินมองดูมัน
“ข้าจะเป็นนักควงกระบองไฟ ข้าจะไปอยู่เมืองไทย”
“เอ็งมันบ้า บ้ากระบอง บ้าเมืองไทย ได้ไปมาหน่อยเดียวทำเห่อ” มันทำท่าเยาะเย้ยทั้งสีหน้าและน้ำเสียง ซึ่งผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริง ๆ
“เออ ทำไม” ตะคอกกลับให้มันรู้ว่าไม่พอใจ “เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมายุ่ง”
“ไอ้ชาติเซียม” มันตะโกนใส่ก่อนวิ่งออกไป ผมหันมาควงกระบอกของผมต่อ แม้ความสนุกจะลดลงไปบ้างแล้วก็ตาม
.
‘เราไม่จำเป็นต้องหมุนให้ไวมากนักก็ได้ ความกว้างของวง จะทำให้มองเหมือนว่ามันไว’
คำสอนของพี่ชายดังอยู่ในหัว
‘ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม’
ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม จริงสินะ ผมน่าจะลองดูบ้าง วันนี้ยายไม่อยู่ด้วย เหมาะทีเดียว
หลังจากหาผ้ามาพันปลายไม้ทั้งสองด้าน เทน้ำมันจากตะเกียงลงไปแล้ว ผมก็จุดไฟ ยกขึ้นหมุน ๆ
.
หน้ากองไฟลุกโชนท่ามกลางผู้ฅนรายล้อมนั้น เด็กชายเก้าขวบโชว์ควงกระบองไฟอย่างคล่องแคล่ว ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง นักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปคู่เมื่อจบการแสดง อดนึกขยะแขยงไม่ได้เมื่อคิดว่าหากมีใครมาหอมแก้มในเวลานั้น
แต่จู่ ๆ เปลวไฟจากปลายไม้ ก็หลุดลอยไปทางครัวอย่างไม่ทันได้ระวัง ผ้าที่ผูกมัดไว้คงไม่แน่นหนาพอ ไฟติดในทันที ผมได้แต่มองดูเปลวไฟลามเลียหลังคาหญ้าด้วยความตกใจ
ไฟไหม้โหมแรงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านส่งเสียงเอะอะช่วยกันดับไฟ ในขณะที่ผมได้แต่ยืนตัวสั่น น้ำในตุ่มมีไม่มากพอ น้ำในบ่อก็อยู่ในระดับที่ลึกมาก การดับไฟจึงดูทุลักทุเลที่สุด
.
ในที่สุดชาวบ้านก็ช่วยกันดับไฟลงจนได้ ครัวไหม้หมด โชคดีที่บ้านไม่เป็นอะไร ผมคงได้แต่ยืนมองผลงานของตัวเองตรงหน้า รับฟังเสียงด่าทอจากยาย โดนหวดไปด้วย ยายตีผมทั้งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดในการกระทำ จึงไม่คิดหลบเมื่อแกหยิบกระบองอันนั้นมาโขกหัวผม คงได้แต่ยืนนิ่งกระทั่งยายเหวี่ยงมันทิ้งไปในที่สุด
.
เวลาหลายวันผ่านไปกับความรู้สึกผิดที่ยังคงค้างในใจ แม้ครัวจะได้รับการสร้างใหม่แล้วก็ตาม
ผมลืมกระบองของผมไปเลย ไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยนั่นแหละ จนกระทั่ง
ขณะเดินอยู่ปลายเท้าก็สะดุดมันโดยบังเอิญ กระบองของผม ผมก้มมองและหยิบมันขึ้นมา ปัดเศษดินที่ติดอยู่ออกไปลองจับควง หากแต่ความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่ทำให้ต้องเหวี่ยงมันทิ้งในที่สุด
“โอ๊ย” ผมหันมองตามเสียงนั้น
“อะไรวะ มาถึงก็ปาไม้ใส่กันเลยเหรอ” พี่เภียนั่นเองที่กำลังเอามือลูบหัวพลางบ่นพึมพำ
“พี่เภียมา พี่เภียมา” ผมฉีกยิ้ม ร้องเสียงดังและวิ่งไปกอดเขาแน่นเลย
“พอ พอ ไม่ต้องดีใจมาก” พี่ชายเอ่ยปราม
“พี่จะอยู่นานไหม” ผมมองหน้าถาม
“นานไหม” เขายังคงทวนคำพูดด้วยท่าทางกวนเหมือนเดิม
“บางทีอาจจะนานสักหน่อย”
นั่นทำให้ผมยิ้มได้อีก
“พอพ่อเขารู้ว่ามีเด็กจะเผาบ้าน” เขาว่าพลางเอานิ้วมาจิ้มหน้าผม “ก็เลยให้พี่มาคอยดูแลไง” เขายังพูดพลางยักคิ้วใส่
“ว่าแต่ไอ้นี่” พี่ชายก้มลงหยิบกระบองอันนั้นชูขึ้น “ไม่สนใจมันแล้วรึไง”
ผมยิ้มกว้างออกมาทันที.
เพียงฝันวันเยาว์
โดย : ละเว้
ผมชื่อโสะเธียอายุเก้าขวบ ผมมีกระบองคู่ใจอันหนึ่ง มันทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผมจะถือติดตัวตลอดเวลาเลย
หมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดบัตด็อมบอง (พระตะบอง) ผมอยู่กับยายเพียงสองฅน พ่อ แม่ และพี่ชายของผมไปทำงานที่เมืองไทยกันหมด ที่จริงผมเคยไปเมืองไทยหนหนึ่งเหมือนกันนะ
.
ค่ำคืนที่เสียงเพลงฝรั่งจากร้านอาหารริมทะเลดังคึกคัก ทุกสิ่งดูตื่นตาตื่นใจผมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองฟืนสุมไฟบนลานชิดหาดทรายซึ่งกำลังส่องแสงวูบวาบอยู่นี่ หรือแสงเทียนจากโต๊ะทรงเตี้ยที่ตั้งรายล้อมอยู่นั่นก็ตาม นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝรั่งตัวโตหัวแดงนั่นก็ทำให้ผมตื่นเต้นได้อีกเช่นกัน พวกเขาบ้างนั่งดื่มกินบ้างยืนล้อมชมการแสดงรอบกองไฟกันอยู่
ที่หน้ากองไฟนั้น โสะเภีย พี่ชายอายุสิบสี่ของผมกำลังทำการแสดงโชว์ควงกระบองไฟ ผมไม่เคยเห็นเขาทำแบบนี้มาก่อนจึงอดชื่นชมไม่ได้ เหมือนว่าพี่ชายกำลังเล่นอยู่กับวงล้อไฟเลย ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบการแสดงของเขาผมยิ่งภูมิใจ
พี่ชายโยนกระบองขึ้นไปสูงก่อนรับมันไว้ได้ เขาโค้งคำนับเมื่อจบการแสดง ทุกฅนปรบมือกันเกรียว บางฅนมาขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ยิ้มมองพี่ชาย หากแต่จู่ ๆ แหม่มฅนหนึ่งที่มาขอถ่ายรูปนั้นก้มลงหอมแก้มพี่เภียเฉยเลย ผมถึงกับตะลึงยกมือปิดตาไม่ทันเลยทีเดียว
.
วันนั้นผมได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วย ทะเลมันกว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้มากเลยจริง ๆ นะ
“แหวะ มันเค็ม” ผมร้องออกมาเมื่อได้รับรู้รสชาติน้ำทะเล พี่ชายก็ยังจะหัวเราะขำอีก
“เออสิ จะให้มันหวานรึไง” เขาตอบกวน
“ไม่รู้นี่” ผมตอบเสียงอ่อยออกไป เราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็มานั่งกับพื้นมองดูคลื่นซัดทราย
“ทำไม มีไร” พี่ชายถามเมื่อผมมองหน้าเขา ยังอดยิ้มขำไม่ได้
“พี่โดนจูบด้วย” ผมทำปากยื่นใส่เขาตรงคำว่าจูบแล้วก็หัวเราะ
“อิจฉาล่ะสิ” เขากลับทำกวนด้วยการเชิดใส่
“แหวะ” ผมเบ้ปากส่งเสียงดังทำท่าขยะแขยง แต่เขากลับเอามือมาขยี้หัวผมแล้วหัวเราะร่า ผมไม่ยอมให้เขาทำฝ่ายเดียวหรอก ต้องเอาคืนบ้าง เราปล้ำกันอยู่บนหาดทรายนั่นแหละ
.
ยิ่งตกเย็นทะเลก็ยิ่งสวย ฟ้าเป็นสีทอง น้ำก็ระยิบระยับจากแสงตะวันเลยทีเดียว อดคิดไม่ได้ว่าบ้านของผมต่างจากที่นี่มากเลย
ฝรั่งผมแดงนั่นก็เช่นกัน พวกเขาดูต่างจากเรามาก ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้นด้วย
“ทะเลสวยดีนะพี่” ผมพูดขึ้นระหว่างเดินกลับที่พัก
“อืม พี่มาทีแรกก็ตื่นเต้นแบบเอ็งนี่แหละ” พี่ชายพูดพลางสะกิดให้ดูคู่ฝรั่งชายหญิงยืนจูบกันในน้ำพลางหัวร่อคิกคัก ผมล่ะอายแทนเลย
.
“ไอ้เธีย ตื่นได้แล้ว” เสียงยายดังแข่งกับเสียงไก่ขันแต่เช้า ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งงง ต้องทำอะไรก่อนนะ โยนผ้าห่มกองไว้ข้างฝาก่อนแล้วกัน
หลังจากเอาวัวออกไปล่ามในทุ่งแล้วผมก็ตักน้ำจากบ่อมาลูบหน้า เสร็จแล้วใช้พลั่วตักขี้วัวใส่บุ้งกี๋หิ้วไปเทกองรวมกันข้างลานบ้าน นั่นแหละคืองานประจำทุกเช้าก่อนไปเรียนของผม
“ไอ้นี่! รีบแต่งตัวไปโรงเรียนสิ” ยายหันมาดุเมื่อเห็นผมยังคงแกว่งกระบองเล่น ผมวิ่งขึ้นบ้าน ซุกกระบองไว้ข้างฝาที่มีของวางอยู่เต็มนั่นแหละ กางเกงนักเรียนขายาวพาดอยู่บนราวเชือก ผมถอดชุดเก่าพาดไว้ หยิบกางเกงขึ้นมาสวม เสื้ออยู่ตรงไหนนะ ผมแหวกหาดู มันอยู่นี่เอง เมื่อหยิบกระเป๋าเก่า ๆ มาสะพายหลังผมก็พร้อมแล้ว เสียงไอ้ดากับไอ้มุดเรียกมาพอดี ผมรีบลงบ้านรับเงินสองร้อยเรียล ยกมือไหว้ยายแล้วก็วิ่งออกมา
“น้ำทะเลมันเค็มนะ และทะเลมันก็ใหญ่มากด้วย” ผมโม้เรื่องเมืองไทยที่เพิ่งจากมาให้สองฅนนั่นฟังตลอดทาง รู้ว่าพวกมันต้องชอบเพราะไม่เคยไปไทยกัน
.
“พี่ชายข้าเป็นนักควงกระบองไฟด้วย เอ็งไม่เคยเห็นกันล่ะสิ” ผมยังคุยอวดพวกมันในช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน พวกเราพากันลงทุ่งไปดูวัวกัน หลังตักน้ำให้วัวเสร็จแล้วผมก็หยิบกระบองขึ้นมาควงให้พวกมันดู
“แค่นี้นะ” ไอ้ดาทำเสียงเยาะ ตีสีหน้าเซ็งขณะถาม
“เออ ข้าทำได้แค่นี้แหละ เอ็งต้องเห็นพี่ข้า พี่ข้าเก่งนะโว้ย” ผมพูดพลางยังคงควงท่าง่าย ๆ ที่พี่ชายสอน
“เอ็งลองดูมั้ยล่ะ” ผมยื่นกระบองให้ ไอ้ดา มันรับไปหมุน ผมกับไอ้มุดอดขำท่าทางของมันไม่ได้
“ไม่เอาละ ไม่เห็นหนุกเลย” มันบอกพลางส่งไม้คืน ผมรู้ว่ามันอายที่ควงกระบองได้แย่กว่าผมเสียอีก
“เอ็งลองไหม” ผมถามไอ้มุดพลางส่งไม้ให้มัน
“เล่นน้ำกันดีกว่า” มันหันหลังถอดเสื้อผ้าวิ่งออกไป ผมกับไอ้ดาจึงถอดเสื้อผ้าโดดลงน้ำตามมันไปเช่นกัน
.
“ฝรั่งนะมันตัวโตมากเลย ผมเป็นสีแดงด้วย” เช้าวันนี้ระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกันผมก็เล่าเรื่องเมืองไทยให้มันฟังกันอีก
“เอ็งคุยเรื่องอื่นเหอะ ข้าเบื่อเรื่องเมืองไทยแล้วว่ะ” ไอ้ดาบอก ผมหันมองไอ้มุด มันก็ได้แต่ยิ้ม ผมจึงต้องพยักหน้าและเดินตามพวกมันไปเงียบ ๆ
“มีเงาะขายด้วย” ไอ้ดาชี้มือให้ดูกองเงาะขนช้ำดำเหี่ยวที่ร้านค้าในโรงเรียน
“ซื้อมั้ย” มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า
“ตอนไปไทยข้าได้กินเงาะกระป๋องด้วยนะโว้ย”
“พอเถอะเอ็ง เมืองไทยอีกแล้ว” ไอ้ดารีบตัดบท ไอ้มุดก็พยักหน้ารับกันเป็นปี่เป็นกลอง ผมชักไม่พอใจพวกมันเหมือนกันนะ
.
‘ท่านี้ใช้มือเดียว บิดไม้กลับไปมา พร้อมกับเหวี่ยงซ้ายขวา'
ผมหัดควงกระบองไปนึกถึงที่พี่ชายสอนไป ท่านี้ไม่ยากเท่าไร
‘ท่านี้จับไม้ด้วยมือขวา บิดข้อมือ ยกแขนขึ้นด้านบน ใช้มือซ้ายรับไม้จากด้านหลัง บิดข้อมือ ลดแขนลงล่าง’
ท่านี้ยากทีเดียว ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไร ต้องพยายามให้มากขึ้น
“ไอ้เธีย! ไปเล่นน้ำกัน” เสียงไอ้มุดตะโกนมาแต่ไกล ไม่มีไอ้ดามาด้วยวันนี้
“ขี้เกียจ” ผมตอบมันโดยไม่ได้หันมอง
“เอ็งก็บ้าแต่กระบอง จะควงไปทำไมนัก” มันพูดเมื่อเดินมาถึง ผมหยุดควง จับกระบองทิ่มดินมองดูมัน
“ข้าจะเป็นนักควงกระบองไฟ ข้าจะไปอยู่เมืองไทย”
“เอ็งมันบ้า บ้ากระบอง บ้าเมืองไทย ได้ไปมาหน่อยเดียวทำเห่อ” มันทำท่าเยาะเย้ยทั้งสีหน้าและน้ำเสียง ซึ่งผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริง ๆ
“เออ ทำไม” ตะคอกกลับให้มันรู้ว่าไม่พอใจ “เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมายุ่ง”
“ไอ้ชาติเซียม” มันตะโกนใส่ก่อนวิ่งออกไป ผมหันมาควงกระบอกของผมต่อ แม้ความสนุกจะลดลงไปบ้างแล้วก็ตาม
.
‘เราไม่จำเป็นต้องหมุนให้ไวมากนักก็ได้ ความกว้างของวง จะทำให้มองเหมือนว่ามันไว’
คำสอนของพี่ชายดังอยู่ในหัว
‘ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม’
ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม จริงสินะ ผมน่าจะลองดูบ้าง วันนี้ยายไม่อยู่ด้วย เหมาะทีเดียว
หลังจากหาผ้ามาพันปลายไม้ทั้งสองด้าน เทน้ำมันจากตะเกียงลงไปแล้ว ผมก็จุดไฟ ยกขึ้นหมุน ๆ
.
หน้ากองไฟลุกโชนท่ามกลางผู้ฅนรายล้อมนั้น เด็กชายเก้าขวบโชว์ควงกระบองไฟอย่างคล่องแคล่ว ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง นักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปคู่เมื่อจบการแสดง อดนึกขยะแขยงไม่ได้เมื่อคิดว่าหากมีใครมาหอมแก้มในเวลานั้น
แต่จู่ ๆ เปลวไฟจากปลายไม้ ก็หลุดลอยไปทางครัวอย่างไม่ทันได้ระวัง ผ้าที่ผูกมัดไว้คงไม่แน่นหนาพอ ไฟติดในทันที ผมได้แต่มองดูเปลวไฟลามเลียหลังคาหญ้าด้วยความตกใจ
ไฟไหม้โหมแรงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านส่งเสียงเอะอะช่วยกันดับไฟ ในขณะที่ผมได้แต่ยืนตัวสั่น น้ำในตุ่มมีไม่มากพอ น้ำในบ่อก็อยู่ในระดับที่ลึกมาก การดับไฟจึงดูทุลักทุเลที่สุด
.
ในที่สุดชาวบ้านก็ช่วยกันดับไฟลงจนได้ ครัวไหม้หมด โชคดีที่บ้านไม่เป็นอะไร ผมคงได้แต่ยืนมองผลงานของตัวเองตรงหน้า รับฟังเสียงด่าทอจากยาย โดนหวดไปด้วย ยายตีผมทั้งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดในการกระทำ จึงไม่คิดหลบเมื่อแกหยิบกระบองอันนั้นมาโขกหัวผม คงได้แต่ยืนนิ่งกระทั่งยายเหวี่ยงมันทิ้งไปในที่สุด
.
เวลาหลายวันผ่านไปกับความรู้สึกผิดที่ยังคงค้างในใจ แม้ครัวจะได้รับการสร้างใหม่แล้วก็ตาม
ผมลืมกระบองของผมไปเลย ไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยนั่นแหละ จนกระทั่ง
ขณะเดินอยู่ปลายเท้าก็สะดุดมันโดยบังเอิญ กระบองของผม ผมก้มมองและหยิบมันขึ้นมา ปัดเศษดินที่ติดอยู่ออกไปลองจับควง หากแต่ความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่ทำให้ต้องเหวี่ยงมันทิ้งในที่สุด
“โอ๊ย” ผมหันมองตามเสียงนั้น
“อะไรวะ มาถึงก็ปาไม้ใส่กันเลยเหรอ” พี่เภียนั่นเองที่กำลังเอามือลูบหัวพลางบ่นพึมพำ
“พี่เภียมา พี่เภียมา” ผมฉีกยิ้ม ร้องเสียงดังและวิ่งไปกอดเขาแน่นเลย
“พอ พอ ไม่ต้องดีใจมาก” พี่ชายเอ่ยปราม
“พี่จะอยู่นานไหม” ผมมองหน้าถาม
“นานไหม” เขายังคงทวนคำพูดด้วยท่าทางกวนเหมือนเดิม
“บางทีอาจจะนานสักหน่อย”
นั่นทำให้ผมยิ้มได้อีก
“พอพ่อเขารู้ว่ามีเด็กจะเผาบ้าน” เขาว่าพลางเอานิ้วมาจิ้มหน้าผม “ก็เลยให้พี่มาคอยดูแลไง” เขายังพูดพลางยักคิ้วใส่
“ว่าแต่ไอ้นี่” พี่ชายก้มลงหยิบกระบองอันนั้นชูขึ้น “ไม่สนใจมันแล้วรึไง”
ผมยิ้มกว้างออกมาทันที.