ทริปเที่ยวมณฑลหูเป่ย 10 วัน 9 คืน (Day 3) Part 1/3

Day 1: https://ppantip.com/topic/42412219
Day 2 (Part 1/2): https://ppantip.com/topic/42419256
Day 4: https://ppantip.com/topic/42437930
Day 5: https://ppantip.com/topic/42447690
Day 6: https://ppantip.com/topic/42622113
Day 7: https://ppantip.com/topic/42623820

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 (Day 3) ٩(๑❛ᴗ❛๑)۶ 

เนื้อเรื่องและรูปในกระทู้นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับวัดวาอารามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากจขกท.เขียนผิดหรือทำอะไรที่ดูไม่เหมาะสมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ไว้ก่อนนะค่ะ ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ใดๆเพียงแค่อยากแชร์ปสก.ที่ได้รับมาค่ะ ขอบคุณค่ะ     (^人^)
 
(๐^^)๐ เช้าวันที่สามของการเดินทาง วันนี้กำหนดการคือเที่ยวบนเขาบู๊ตึ๊ง (武当山  Wudang Shan) ทั้งวันเลยค่ะ ซึ่งทิวเขาบู๊ตึ๊งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองสือเยี่ยน (十堰  Shiyan) เราต้องเที่ยวบนเขาประมาณ 1 วันครึ่ง คือไปค้างบนเขา 1 คืนแล้วเที่ยวบนเขาต่อในวันรุ่งขึ้นอีกครึ่งวัน อาจจะไม่ได้ทั่วทั้งหมดแต่คิดว่าน่าจะเก็บหมดทุก Highlight \(^_^)/ ทั้งนี้คุณไกด์แนะนำว่าให้เตรียมกระเป๋าใบเล็กมา แล้วเตรียมสัมภาระสำหรับ 1 วัน 1 คืนขึ้นไปบนเขาค่ะ กระเป๋าใหญ่นั้นเราจะฝากไว้ที่โรงแรมตรงเชิงเขาที่พักเมื่อคืน กระเป๋าใบเล็กที่จะเอาขึ้นเขานั้นคุณไกด์อำนวยความสะดวกโดยการจ้างรถคันเล็กขนขึ้นไปส่งให้ถึงบนโรงแรมที่อยู่บนเขาค่ะ วันนี้จะเป็นวันที่มีการเดินอย่างหนักหน่วงของทุกคนในคณะ q(^_^)p 
 
แน่นอนต้องเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้า ทานให้อิ่มเพื่อเพิ่มพลังพร้อมลุย อาหารเช้าที่โรงแรมนี้สำหรับจขกท.แล้วโอเคเลยค่ะ แม้จะไม่ได้หรูหราเท่าโรงแรมในเมืองแต่ก็มีครบทุกอย่าง อาหารจานร้อนแบบต่างๆ ไข่ต้ม พืชตระกูลหัวนึ่ง ปาท่องโก๋ ที่สำคัญคือก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ที่ผู้ใหญ่ทุกคนจะทานตอนเช้าเพื่อสู้กับอากาศหนาวค่ะ (^∇^)

นอกจากนี้ก็มีพวกขนมปังและ Pastry แบบต่างๆ น้ำผลไม้มีทั้งแบบคั้นสดและแบบกระป๋อง ผลไม้ โยเกิร์ต ซาลาเปา หมั่นโถว ขนมจีบที่เห็นในภาพไส้จะเป็นข้าวเหนียวผัดกับหมูสับแล้วมานึ่งนะค่ะ เป็นรายการแป้งชนแป้งที่ทานแล้วก็อร่อยดีค่ะ แต่ที่จขกท.ชอบคือซาลาเปาฝึ้งน้อยค่ะ 😊 น่ารักดี แต่คาดว่าเป็นแบบสำเร็จรูป เป็นไส้ครีมค่ะ แล้วก็แป้งที่สีน้ำตาลเข้มเหล่านี้รสคล้ายกันหมดคะ คือเป็นแป้งผสมน้ำตาลทรายแดง มีแต่รสหวานๆ แต่ถ้าจิบกับชาเก๊กฮวยร้อนๆก็ได้อยู่ค่ะ จริงๆมีชาให้เลือกดื่มหลายแบบอยู่ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ

อิ่มท้องกันแล้ว ฝากกระเป๋าใหญ่แล้ว เอากระเป๋าใบเล็กมาวางเรียงตรงจุดนัดหมาย พร้อมเดินตัวปลิวไปขึ้นรถค่ะ เราขึ้นรถของเราเพื่อไปจุดขึ้นรถของอุทยานกันค่ะ นั่งแพร่บเดียวเพราะโรงแรมใกล้มาก ลงรถแล้วไปขึ้นรถบัสที่เป็นรถของอุทยาน แต่กว่าจะถึงที่ขึ้นรถของอุทยานก็ต้องเดินกันระยะหนึ่งค่ะ ระหว่างทางเดินมีร้านค้า ส่วนใหญ่ขายไม่เท้า และTrekking poles แหมๆ เห็นแล้วรู้สึกหนทางวันนี้คงยาวไกล (^_^*) อย่างไรก็ตามคณะเรานั้นสูงวัยเตรียม Trekking poles มากันเองทุกคนค่ะ เอาหละค่ะในที่สุดก็ได้ขึ้นรถบัสของอุทยานกัน (๐^^)๐ นั่งประมาณ 45 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงจำไม่ได้แต่นานอยู่ และถนนมีความคดเคี้ยว (@_@) แนะนำว่าถ้าเมารถให้กินยาแก้เมาก่อนนั่งค่ะ มีสูงวัยในคณะท่านหนึ่งเมารถค่ะ แต่ท่านใจสู้ยังเดินเที่ยวไหว แม้อาเจียนไปแล้วระหว่างทาง แหะๆ

สถานที่แรกที่คณะจะมาชมกันคือจื่อเซียงกง (Zi Xiao Gong 紫霄宫) เห็นภาษาอังกฤษแปลไว้ใน website ต่างๆว่า Purple Cloud Temple คนไทยเราน่าจะเรียกว่าวิหารเมฆม่วง แต่จริงๆหน้าวิหารนี้มีป้ายเขียนไว้ว่าเป็น The Purple Heaven Palace ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น World Cultural Heritage มรดกโลกทางวัฒนธรรม วิหารแห่งนี้สร้างโดยฮ่องเต้หย่งเล่อ สมัยราชวงศ์หมิง (ประมาณ 600 ปีก่อน) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่ขอพรเพื่อให้ดวงของประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง

คำถามคือแล้วขอพรจากใครเอ่ย ขอพรจากตั่วเหล่าเอี๊ยค่ะ (大老爷 จีนกลางอ่านต้าเหล่าตี้ ตั่วเหล่าเอี๊ยเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว) สำหรับคนไทยน่าจะรู้จักตั่วเหล่าเอี๊ยว่าท่านคือเทพเจ้าองค์ประธานที่สถิตอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือค่ะ ( ◠‿◠ )  ซึ่งทางประเทศไทยอัญเชิญมาจากวัดที่ซัวเถา แต่รู้หรือไม่คะว่าที่ซัวเถาอัญเชิญท่านมาจากจื่อเซียงกงนี่เอง คุณไกด์เล่าว่าตั่วเหล่าเอี๊ยงที่นี่เป็นต้นกำเนิดของตั่วเหล่าเอี๊ยในที่อื่นๆนะค่ะ คือที่นี่เป็นตั่วเหล่าเอี๊ยฉบับ original ค่ะ เพราะฉะนั้นจะศักดิ์สิทธิ์มากๆ (^人^)

เมื่อลงจากรถจะเห็นวิหารขนาดใหญ่ หลังคาสีเขียวน้ำทะเลอาคารทาสีแดงตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า คุณไกด์บอกว่าฮวงจุ้ยของวิหารนี้ดีมาก เป็นฮวงจุ้ยที่มีลักษณะเหมือนเก้าอี้ มีพนักอยู่ข้างหลัง สองข้างมีลักษณะเหมือนที่วางแขน ต้องไปยืนอยู่จุดนั้นก็จะจินตนาการออกค่ะ ƪ(˘⌣˘)ʃ

หน้าวิหารมีสายน้ำพาดผ่านต้องเดินข้ามสะพานเข้าไปในตัววิหารค่ะ สายน้ำนี้คุณไกด์อธิบายว่าเหมือนเป็นเข็มขัดหยกที่มีไว้ล้อมรอบวิหารค่ะ ระหว่างเดินข้ามสะพานโดยมีวิหารอยู่ข้างหน้าหากมองไปที่สายน้ำข้างซ้ายมือของเราจะมีรูปปั้นเต่าและงู ซึ่งเป็นสัตว์ประจำกายของตั่วเหล่าเอี๊ย คุณไกด์เสริมว่าที่เป็นรูปเต่าจริงๆก็ไม่ใช่เต่าแต่เป็นลูกของมังกรตัวที่เก้าซึ่งมีลักษณะเป็นเต่า (คนจีนเชื่อว่ามังกรมีลูก 9 ตัว สำหรับตัวที่มีลักษณะเป็นเต่าแต่หัวเป็นมังกรเรียกว่า ปี้ซี่ (Bixi 赑屃)) และข้างขวาเป็นรูปปั้นมังกร

รูปปั้นเต่าและงูที่อยู่ในสายน้ำเข็มขัดหยก
 
อันนี้ขอแชร์รูปพี่สาวมา เพื่อให้เห็นเต่าและงูใกล้ๆค่ะ
รูปปั้นมังกร
 
(๐^^)๐ เราเดินข้ามสะพานเข้าไปชมด้านในพร้อมกันนะค่ะ แต่ก่อนอื่นถ่ายรูปหมู่หน้าทางเข้ากันก่อนดีกว่า

เมื่อเข้ามาด้านในสูงวัยก็ร้องโอ้โหหหห....บันไดสูงจัง เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าไหวไหม ถ่ายรูปก่อน

5 พี่น้องกับบันไดอันสูงลิบ พร้อมไม้เท้าคู่ใจ
ในสมัยก่อนที่ยังมีการปกครองแบบแบ่งชนชั้น สามัญชนทั่วไปสามารถมาไหว้ขอพรที่วัดนี้ได้ แต่ไหว้ได้เพียงแค่ในวิหารด้านบนที่เห็นในรูปด้านบน ซึ่งนับว่าเป็นวิหารชั้นนอกสุด วิหารชั้นถัดๆไปต้องเป็นขุนนาง พระบรมวงศานุวงศ์และฮ่องเต้ถึงจะเข้าไปได้

และแล้วสมาชิกทุกคนก็เดินขึ้นมาสำเร็จค่ะ ╰(*´︶`*)╯♡ ดีที่ว่ามากันเอง สูงวัยสามารถใช้เวลาได้แบบสบายๆไม่ต้องรีบ เอาจังหวะก้าวเดินที่ทุกคนทำได้ไม่ต้องเร่งเพราะเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่คุ้ม ถ้าร่างกายดีกลับมาเที่ยวใหม่ได้เสมอ ต้องบอกทุกคนไว้ให้ระลึกอยู่ในใจ ขึ้นมาถึงด้านบนแจกยาอมยาหอมกันขวักไขว่ สูงวัยบอกเพิ่มความสดชื่น \(*^_^*)/

หน้าวิหารมีกระถางธูปขนาดใหญ่ เดินผ่านไปชมข้างในวิหารกันค่า (๐^^)๐ เมื่อเดินเข้ามาจะเจอองค์ตั่วเหล่าเอี๊ยประดิษฐานอยู่ตรงกลาง และใต้โต๊ะที่ประดิษฐานท่านจะมีเต่าตัวน้อยวางอยู่ ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าได้ลูบเต่าตัวนี้จะทำให้โชคดี เฮงๆค่ะ แน่นอนเราไปลูบกันทุกคนค่ะ ($_$)


นอกจากนี้ในวิหารยังมีรูปปั้นปรมาจารย์จางซันเฟิง (Zhang Sanfeng 张三丰) ตั้งอยู่ทางซ้ายมือด้วยค่ะ ท่านคือผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งและคิดค้นวิชาไท่เก๊ก คุณไกด์บอกว่าบางตำนานบันทึกว่าท่านมีอายุยืนถึง 212 ปี กำแพงซ้ายมือของวิหารมีภาพวาดของท่านที่เล่าเรื่องราวว่าท่านคิดค้นวิชาจากการดูนกและงูต่อสู้กันแล้วจึงดัดแปลงมาเป็นวิชาการต่อสู้ ทั้งนี้ภาพวาดที่ฝาผนังแห่งนี้เป็นภาพวาดเสมือนภาพเดียวของท่านจางซันเฟิง ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังรู้ว่าท่านมีหน้าตาอย่างไรอีกด้วยค่ะ 

รูปปั้นท่านจางซันเฟิงค่ะ
   
ภาพวาดที่ฝาผนังค่ะ
ส่วนทางด้านขวามือมีรูปปั้นของ ลฺหวี่ ต้งปิน (Lü Dongbin 呂洞賓) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 เซียนของจีนตั้งไว้ให้สักการะด้วยค่ะ


เมื่อสักการะเทพครบทุกองค์แล้ว เราก็เดินออกจากวิหารทางด้านหลัง (๐^^)๐ เมื่อออกมาจะเจอกับลานกว้างๆ ซึ่งมีคนกำลังฝึกมวยจีนอยู่ มองไปข้างหน้าจะมีวิหารชั้นถัดไปซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีก ต้องเดินขึ้นบันไดกันอีกแล้วค่ะ σ(^_^;)

วิหารด้านบนเป็นวิหารสำหรับให้ฮ่องเต้และขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้ามาสักการะค่ะ เมื่อเข้ามาด้านในจะเห็นองค์พระประธานใหญ่อยู่กลางโถง ซึ่งคุณไกด์อธิบายว่าคือเง็กเซียนฮ่องเต้ หรือเทพสูงสุดในบรรดาเทพทั้งหมดของจีนและข้างล่างเง็กเซียนฮ่องเต้จะมีพระอีก 1 องค์ขนาดเล็กกว่าตั้งประดิษฐานอยู่ พระองค์นี้คือตั่วเหล่าเอี๊ยค่ะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นตั่วเหล่าเอี๊ย ต้องสังเกตที่เท้าของท่านนะค่ะ จะมีเต่าและงูอยู่ ซึ่งได้เล่าไปตอนต้นแล้วว่าเป็นสัตว์ประจำกายท่านค่ะ นอกจากนี้ในมือยังถือกระบี่ด้วย ในภาพข้างล่างช่องล่างทางขวามือจะเห็นขอนไม้อันหนึ่งวางพาดแนวนอนอยู่หลังโต๊ะหมู่บูชา ไม้ขอนนี้มีตำนานเล่าว่า ไม้บินมาจากที่ไหนไม่รู้เพื่อจะให้นำมาเป็นไม้ที่ใช้สร้างวิหาร แต่ตัววิหารกลับสร้างเสร็จก่อนที่ไม้จะมาถึง ผู้คนเลยนำมาบูชาแทน

(๐^^)๐ จากจุดนี้เราเดินขึ้นบันไดไปกันต่อเพื่อไปสักการะท่านพ่อท่านแม่ของตั่วเหล่าเอี๊ยค่ะ บันไดที่นี่ขั้นจะมีความสูงไม่เท่ากันค่ะ บันไดยังเป็นของ original ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง สูงวัยจะเดินลำบากนิดหนึ่ง แต่มาพร้อมไม้เท้าและมีราวหรือโซ่ให้จับช่วยพยุง สูงวัย 7 ท่านก็ยังพอไหว และรุ่นเด็กกว่าก็ช่วยพยุงและจูงด้วย ไปพร้อมๆกันค่ะ (^_^)/==
 
ถึงตรงนี้ขอเล่าประวัติตั่วเหล่าเอี๊ยนิดหนึ่งค่ะ =(^.^)= จริงๆท่านเคยเป็นคนที่มีอยู่จริงๆเป็นองค์รัชทายาทของประเทศเล็กๆติดทะเลสาบอยู่ทางตะวันตกของประเทศจีน แม้จะเป็นองค์รัชทายาทแต่มีความสนใจในลัทธิเต๋า ท่านเลยมาศึกษาอยู่ที่เขาบู๊ตึ๊งแห่งนี้ มาวันหนึ่งเสด็จแม่ของท่านอยากให้ท่านกลับไปอยู่วัง ก็เดินทางมาพบท่านที่นี่แล้วขอให้ท่านกลับไป แต่ท่านมีความศรัทธาในเต๋ามากไม่อยากกลับไป ท่านแม่ท่านก็ดึงชายเสื้อไว้เพื่อรั้งให้ถึงที่สุด ท่านจึงชักกระบี่ออกมาตัดชายเสื้อและกระบี่ฟาดลงไปที่พื้นเกิดเป็นแม่น้ำสายหนึ่งขึ้นมากั้นระหว่างท่านและเสด็จแม่ของท่าน ทำให้แยกกันได้ในที่สุด ซึ่งแม่น้ำแห่งนี้มีอยู่จริงในบริเวณทิวเขาบู๊ตึ๊ง (TT_TT)

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สนุกไหมคะ พื้นที่หมดแล้ว ถ้าไงติดตามต่อกระทู้หน้านะค่ะ ขอบคุณค่ะ
ฝาก IG: @janjourneyjournal ด้วยค่ะ

Day 3 (Part 2/3): Wudang Shan ทิวเขาบู๊ตึ๊ง เมือง Shiyan => https://ppantip.com/topic/42429563
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่