โรม ชี้ทนายอานนท์ เจอโทษหนักมาก 4 ปีคดี 112 หวังได้สิทธิประกันตัวสู้คดีต่อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4200606
‘รังสิมันต์’ ยันเร่งแก้ไข ม.112 มองคดี ‘ทนายอานนท์’ ติดคุก 4 ปี มากเกินไป หวังขอได้สิทธิประกันตัว
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะเดินหน้าแก้ไข ม.112 ในคดีของ นาย
อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมกลุ่มราษฎร ว่า ต้องยอมรับว่า คดีของนาย
อานนท์ ไม่ใช่แค่คดีนี้คดีเดียว ในอนาคตก็อาจจะมีอีก เราไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ซึ่งคดีนี้ก็คงมี 2 ประเด็นที่ตนจะพูด คือ ประเด็นที่ 1 เรื่องของอัตราโทษค่อนข้างที่จะรุนแรง ตนมองว่าการที่นาย
อานนท์โดนจำคุก 4 ปี ถ้าเทียบเทียมกับคดีอื่นๆ ถือว่าหนักมาก ลำพังเป็นแค่การใช้สิทธิเสรีภาพทางการวิพากษ์วิจารณ์ ตนมองว่า 4 ปีเยอะเกินไป
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ ตนก็รออยู่ว่า สุดท้ายแล้วนาย
อานนท์จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ตนยังคิดว่า ถึงแม้นาย
อานนท์จะถูกศาลตัดสินไปแล้วก็ยังมีสิทธิที่จะสู้คดี แสดงความบริสุทธิ์ในศาลอุทธรณ์และในศาลฎีกาต่อไป ซึ่งควรที่จะได้รับการประกันตัว มาสู้คดี มีความคาดหวังว่า นาย
อานนท์จะได้รับการประกันตัว และถ้าพิจารณาในกฎหมาย คิดว่านาย
อานนท์พิสูจน์แล้ว ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา นาย
อานนท์ไม่ได้หลบหนี ไม่ได้มีพฤติกรรมไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐาน ที่จะทำให้นาย
อานนท์ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว
นาย
รังสิมันต์กล่าวอีกว่า ขอให้นาย
อานนท์ที่มีลูกเล็ก ได้สิทธิประกันตัวเพื่อให้ได้ต่อสู้อย่างถึงที่สุด
บก.ลายจุด นับถือการต่อสู้ ‘อานนท์ นำภา’ กล้าหาญ ยึดหลักการ ไม่โอดครวญกับราคาที่ต้องจ่าย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4199908
บก.ลายจุด นับถือการต่อสู้ ‘อานนท์ นำภา’ กล้าหาญ มีสติ ยึดหลักการ ไม่โอดครวญกับราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นาย
สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ระบุทางเฟซบุ๊กถึงกรณีศาลอาญาพิพากษาคดี นาย
อานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63 ผิดตาม ม.112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท ไม่รอลงอาญา ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวในชั้นอุทธรณ์
นาย
สมบัติระบุว่า
ในบรรดาแกนนำการชุมนุมปี 63 หรือม็อบราษฎร คนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากที่สุดผมนับให้ ทนายอานนท์ นำภา เขาผ่านการต่อสู้ตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย.49 เหตุการณ์เสื้อแดง 52-53 รัฐประหาร 57 และต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้
ในขณะที่การเคลื่อนไหวพักยก อานนท์คือคนที่ตามไปเกาะติดชีวิตของนักโทษการเมือง ไปคลุกคลีไม่เฉพาะเรื่องคดีที่เขาเป็นทนายความในคดีการเมือง แต่เป็นการโดดเข้าไปในชีวิตและความนึกคิดของนักโทษการเมืองเหล่านั้น
ตอนที่ผมถูกทหารจับกุมตัวอานนท์คือ 1 ในทีมทนายความของผม วันหนึ่งอานนท์ถามผมว่าช่วงหลังๆ นี้ผมเคลื่อนไหวการเมืองอ่อนลงมาก แน่นอนว่าวินาทีนั้นผมย่อมเข้าใจความคิดและความคาดหวังที่เขามีต่อผม และผมยอมรับว่าผมเคลื่อนไหวเบาลง ระมัดระวังตัวมากขึ้น การถูกคดีความมั่นคงทั้ง 112 116 และถูกอายัดบัญชี ถูกติดตาม ถูกเรียกไปปรับทัศนคติในค่ายทหารหลายครั้ง ทำให้ผมทบทวนการเคลื่อนไหวของตนเองอย่างจริงจัง
แล้ววันหนึ่งทนายความที่คอยเก็บคอยแก้ปัญหาอยู่ข้างหลังก็ไปยืนอยู่บนเวทีการต่อสู้ที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในการเมืองไทย ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่อานนท์อาสาเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันทำให้เพดานทางการเมืองถูกขยับ ผมฟังสิ่งที่อานนท์ปราศรัยอย่างตั้งใจและแอบเป็นห่วงว่าเขาจะรักษาแนวเนื้อหาอย่างไรเพื่อไม่ให้ทนายที่คร่ำหวอดกับคดี ม.112 โดนคดีเสียเอง
อานนท์ นำภา เป็นคนที่ผมมั่นใจว่าทุกย่างก้าวของเขาได้ประเมินความเสี่ยงและเดินเข้าสู่พื้นที่ Red Zone อย่างเข้าใจและยอมรับผล หรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ไม่มีการโอดครวญ
สำหรับผมแล้ว อานนท์ นำภา เป็นคนที่ผมนับถือที่สุดคนหนึ่งในการต่อสู้รอบนี้ เป็นคนที่กล้าหาญและมีสติ สุภาพและยึดถือหลักการ
ถ้าเขาติดคุก สิ่งหนึ่งที่ผมจะทำคือ เอารูปของเขาใส่กรอบและติดไว้ที่บ้าน หรือห้องทำงาน เพื่อเป็นการเตือนใจว่านักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผมนับถือได้รับเกียรติขึ้นไปอยู่บนฝาผนัง
https://www.facebook.com/nuling/posts/pfbid02j5CTKG9BakcrmNK5R5gxbPaWWNhGLjrU4WSbLKeMvFu4NFgFRrAaNCmRT4PWezCLl
ผู้เลี้ยงสุกร วอน ‘เกษตร-พาณิชย์’ เร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกต่ำ ชี้ต้นทุนพุ่งแบกแทบไม่ไหว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4199989
ผู้เลี้ยงสุกร วอน “เกษตร-พาณิชย์” เร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกต่ำ ชี้ต้นทุนพุ่งแบกแทบไม่ไหว
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ วอนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการแก้ปัญหาราคาหมูในประเทศตกต่ำด่วนที่สุด หลังกลไกราคาและกลไกตลาดถูกบิดเบือนจากการระบาดอย่างหนักของ “หมูเถื่อน” ทำให้เกษตรกรไม่มีอำนาจต่อรอง หวังภาครัฐช่วยเหลือก่อนแบกขาดทุนไม่ไหวต้องทิ้งอาชีพ
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นาย
นิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุกรอยากขอร้องให้ทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่เห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร และให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลราคาสุกรอย่างจริงจัง รวมถึงแนวทางการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ปี 2566 เพื่อต่อชีวิตผู้เลี้ยงหมูให้สามารถขายหมูได้ในราคาที่เป็นธรรม
“
ผู้เลี้ยงสุกร ขอให้กรมปศุสัตว์และกรมการค้าภายใน เร่งตั้งคณะทำงานที่มีผู้เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายทั้งสมาคมผู้เลี้ยงสุกร และผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่ของการจำหน่ายเนื้อสุกรทั้งหมด มาร่วมหารือเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ คือ ผู้เลี้ยง เป็นการด่วนเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียนเป็นเวลานาน หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ผู้เลี้ยงหมูคงต้องเลิกกิจการแน่” นายนิ
พัฒน์กล่าวและเสริมว่า ภาครัฐสามารถเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วได้โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์
นาย
นิพัฒน์กล่าวว่า นอกจากนี้ Pig Board ยังเห็นชอบให้ขยายผลระบบฐานข้อมูล Big Data ด้านปศุสัตว์ โดยขยายขอบเขตการใช้งานสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงสุกรของไทยสามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งระบบ สนับสนุนการกำหนดราคาขายสุกรมีชีวิตตามโครงสร้างต้นทุนการผลิต เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรในการรักษาเสถียรภาพราคา ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำหนักขณะนี้ คือ กลไกราคาถูกบิดเบือนเนื่องจากการลักลอบนำเข้า “
หมูเถื่อน” มาแทรกแซงตลาด ซึ่งขายในราคาต่ำกว่าหมูไทยมาก ส่งผลให้เกษตรกรขายหมูขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ขาดเงินทุนหมุนเวียนอย่างหนัก จำเป็นต้องขายหมูในราคาที่ขาดทุนให้พ่อค้าเพื่อนำเงินมาบริหารจัดการฟาร์ม
นาย
นิพัฒน์กล่าวว่า หลังไทยเริ่มควบคุมโรคระบาด ASF ได้ ผู้เลี้ยงสุกรมีความมั่นใจมากขึ้นในการนำหมูเข้าเลี้ยงหวังสร้างอาหารปลอดภัยและมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคของคนไทย แต่ต้องประสบปัญหาหลายด้านต่อเนื่อง เริ่มจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารปรับสูงขึ้นจากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ ตามด้วยปัญหา “หมูเถื่อน” ที่การปราบปรามเริ่มจริงจังช่วงปลายปี 2565 ทำให้ราคาในประเทศบิดเบือน อีกทั้งมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจำนวนมาก ในช่วงที่ผลผลิตหมูไทยจากการฟื้นฟูฟาร์มออกสู่ตลาด ยิ่งกดให้ราคาต่ำลง
“
ปัจจุบันราคาประกาศหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยอยู่ที่ 64-66 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงประมาณ 54-60 บาทเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนสูงประมาณ 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรพยายามทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดทั้งยอมจับหมูขนาดเล็ก หรือจับหมูออกขายก่อนกำหนด ไปทำหมูหันและหมูย่าง เพื่อความอยู่รอด” นาย
นิพัฒน์กล่าว
ซัพพลาย “อสังหาภาคใต้” เหลือขาย 6.5 หมื่นล้าน “ภูเก็ต-สงขลา-สุราษฎร์” น่าห่วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4199675
ซัพพลาย “อสังหาภาคใต้” เหลือขาย 6.5 หมื่นล้าน “ภูเก็ต-สงขลา-สุราษฎร์” น่าห่วง
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ของ 4 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีหน่วยพร้อมขาย 17,719 หน่วย มูลค่า 75,841 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 5,627 หน่วย มูลค่า 23,376 ล้านบาท บ้านจัดสรร 12,092 หน่วย มูลค่า 52,465 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,905 หน่วย มูลค่า 12,695 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 2,715 หน่วย มูลค่า 10,694 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,004 หน่วย มูลค่า 65,147 ล้านบาท
นาย
วิชัยกล่าวว่า โดยภูเก็ตมีการเสนอขายถึง 7,507 หน่วย ลดลง 4.8% มูลค่า 36,662 ล้านบาท ลดลง 7.4% เป็นบ้านจัดสรร 3,290 หน่วย มูลค่า 17,629 ล้านบาท อาคารชุด 4,217 หน่วย มูลค่า 19,033 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีเปิดขายใหม่ 1,604 หน่วย เพิ่มขึ้น 237% มูลค่า 4,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.5 % ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มี 1,465 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5 % มูลค่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5 %และหน่วยเหลือขาย 6,042 หน่วย ลดลง 9.1 % มูลค่า 30,262 ล้านบาท ลดลง 10.3% คาดปี นี้มีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาด 2,406 หน่วย มูลค่า 6,759 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่ 2,789 หน่วย มูลค่า 12,146 ล้านบาท มีเหลือขาย 5,520 หน่วย มูลค่า 27,621 ล้านบาท
ส่วนสงขลามีที่อยู่อาศัยเสนอขาย 5,388 หน่วย เพิ่มขึ้น 37.7 % มูลค่า 20,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.2 % เป็นบ้านจัดสรร 4,534 หน่วย มูลค่า 18,820 ล้านบาท อาคารชุด 854 หน่วย มูลค่า 1,960 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีเปิใหม่1,782 หน่วย เพิ่มขึ้น 552.7% มูลค่า 6,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 555.6% มีหน่วยขายใหม่ 604 หน่วย เพิ่มขึ้น 16.8 % มูลค่า 2,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9 % เหลือขาย 4,784 หน่วย เพิ่มขึ้น 40.9 % มูลค่า 18,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.6 % คาดการณ์ปีนี้จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 2,673 หน่วย มูลค่า 9,281 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 1,229 หน่วย มูลค่า 4,209 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 5,050 หน่วย มูลค่า 19,589 ล้านบาท
JJNY : 5in1 โรมชี้ทนายอานนท์เจอหนัก│บก.ลายจุดนับถืออานนท์│ผู้เลี้ยงสุกรวอน│“อสังหาภาคใต้”น่าห่วง│กัลฟ์สตรีมอ่อนลงจริงๆ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4200606
‘รังสิมันต์’ ยันเร่งแก้ไข ม.112 มองคดี ‘ทนายอานนท์’ ติดคุก 4 ปี มากเกินไป หวังขอได้สิทธิประกันตัว
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะเดินหน้าแก้ไข ม.112 ในคดีของ นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมกลุ่มราษฎร ว่า ต้องยอมรับว่า คดีของนายอานนท์ ไม่ใช่แค่คดีนี้คดีเดียว ในอนาคตก็อาจจะมีอีก เราไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ซึ่งคดีนี้ก็คงมี 2 ประเด็นที่ตนจะพูด คือ ประเด็นที่ 1 เรื่องของอัตราโทษค่อนข้างที่จะรุนแรง ตนมองว่าการที่นายอานนท์โดนจำคุก 4 ปี ถ้าเทียบเทียมกับคดีอื่นๆ ถือว่าหนักมาก ลำพังเป็นแค่การใช้สิทธิเสรีภาพทางการวิพากษ์วิจารณ์ ตนมองว่า 4 ปีเยอะเกินไป
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ ตนก็รออยู่ว่า สุดท้ายแล้วนายอานนท์จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ตนยังคิดว่า ถึงแม้นายอานนท์จะถูกศาลตัดสินไปแล้วก็ยังมีสิทธิที่จะสู้คดี แสดงความบริสุทธิ์ในศาลอุทธรณ์และในศาลฎีกาต่อไป ซึ่งควรที่จะได้รับการประกันตัว มาสู้คดี มีความคาดหวังว่า นายอานนท์จะได้รับการประกันตัว และถ้าพิจารณาในกฎหมาย คิดว่านายอานนท์พิสูจน์แล้ว ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา นายอานนท์ไม่ได้หลบหนี ไม่ได้มีพฤติกรรมไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐาน ที่จะทำให้นายอานนท์ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ขอให้นายอานนท์ที่มีลูกเล็ก ได้สิทธิประกันตัวเพื่อให้ได้ต่อสู้อย่างถึงที่สุด
บก.ลายจุด นับถือการต่อสู้ ‘อานนท์ นำภา’ กล้าหาญ ยึดหลักการ ไม่โอดครวญกับราคาที่ต้องจ่าย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4199908
บก.ลายจุด นับถือการต่อสู้ ‘อานนท์ นำภา’ กล้าหาญ มีสติ ยึดหลักการ ไม่โอดครวญกับราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ระบุทางเฟซบุ๊กถึงกรณีศาลอาญาพิพากษาคดี นายอานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63 ผิดตาม ม.112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท ไม่รอลงอาญา ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวในชั้นอุทธรณ์
นายสมบัติระบุว่า
ในบรรดาแกนนำการชุมนุมปี 63 หรือม็อบราษฎร คนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากที่สุดผมนับให้ ทนายอานนท์ นำภา เขาผ่านการต่อสู้ตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย.49 เหตุการณ์เสื้อแดง 52-53 รัฐประหาร 57 และต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้
ในขณะที่การเคลื่อนไหวพักยก อานนท์คือคนที่ตามไปเกาะติดชีวิตของนักโทษการเมือง ไปคลุกคลีไม่เฉพาะเรื่องคดีที่เขาเป็นทนายความในคดีการเมือง แต่เป็นการโดดเข้าไปในชีวิตและความนึกคิดของนักโทษการเมืองเหล่านั้น
ตอนที่ผมถูกทหารจับกุมตัวอานนท์คือ 1 ในทีมทนายความของผม วันหนึ่งอานนท์ถามผมว่าช่วงหลังๆ นี้ผมเคลื่อนไหวการเมืองอ่อนลงมาก แน่นอนว่าวินาทีนั้นผมย่อมเข้าใจความคิดและความคาดหวังที่เขามีต่อผม และผมยอมรับว่าผมเคลื่อนไหวเบาลง ระมัดระวังตัวมากขึ้น การถูกคดีความมั่นคงทั้ง 112 116 และถูกอายัดบัญชี ถูกติดตาม ถูกเรียกไปปรับทัศนคติในค่ายทหารหลายครั้ง ทำให้ผมทบทวนการเคลื่อนไหวของตนเองอย่างจริงจัง
แล้ววันหนึ่งทนายความที่คอยเก็บคอยแก้ปัญหาอยู่ข้างหลังก็ไปยืนอยู่บนเวทีการต่อสู้ที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในการเมืองไทย ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่อานนท์อาสาเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันทำให้เพดานทางการเมืองถูกขยับ ผมฟังสิ่งที่อานนท์ปราศรัยอย่างตั้งใจและแอบเป็นห่วงว่าเขาจะรักษาแนวเนื้อหาอย่างไรเพื่อไม่ให้ทนายที่คร่ำหวอดกับคดี ม.112 โดนคดีเสียเอง
อานนท์ นำภา เป็นคนที่ผมมั่นใจว่าทุกย่างก้าวของเขาได้ประเมินความเสี่ยงและเดินเข้าสู่พื้นที่ Red Zone อย่างเข้าใจและยอมรับผล หรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ไม่มีการโอดครวญ
สำหรับผมแล้ว อานนท์ นำภา เป็นคนที่ผมนับถือที่สุดคนหนึ่งในการต่อสู้รอบนี้ เป็นคนที่กล้าหาญและมีสติ สุภาพและยึดถือหลักการ
ถ้าเขาติดคุก สิ่งหนึ่งที่ผมจะทำคือ เอารูปของเขาใส่กรอบและติดไว้ที่บ้าน หรือห้องทำงาน เพื่อเป็นการเตือนใจว่านักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผมนับถือได้รับเกียรติขึ้นไปอยู่บนฝาผนัง
https://www.facebook.com/nuling/posts/pfbid02j5CTKG9BakcrmNK5R5gxbPaWWNhGLjrU4WSbLKeMvFu4NFgFRrAaNCmRT4PWezCLl
ผู้เลี้ยงสุกร วอน ‘เกษตร-พาณิชย์’ เร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกต่ำ ชี้ต้นทุนพุ่งแบกแทบไม่ไหว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4199989
ผู้เลี้ยงสุกร วอน “เกษตร-พาณิชย์” เร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกต่ำ ชี้ต้นทุนพุ่งแบกแทบไม่ไหว
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ วอนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการแก้ปัญหาราคาหมูในประเทศตกต่ำด่วนที่สุด หลังกลไกราคาและกลไกตลาดถูกบิดเบือนจากการระบาดอย่างหนักของ “หมูเถื่อน” ทำให้เกษตรกรไม่มีอำนาจต่อรอง หวังภาครัฐช่วยเหลือก่อนแบกขาดทุนไม่ไหวต้องทิ้งอาชีพ
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุกรอยากขอร้องให้ทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่เห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร และให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลราคาสุกรอย่างจริงจัง รวมถึงแนวทางการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ปี 2566 เพื่อต่อชีวิตผู้เลี้ยงหมูให้สามารถขายหมูได้ในราคาที่เป็นธรรม
“ผู้เลี้ยงสุกร ขอให้กรมปศุสัตว์และกรมการค้าภายใน เร่งตั้งคณะทำงานที่มีผู้เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายทั้งสมาคมผู้เลี้ยงสุกร และผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่ของการจำหน่ายเนื้อสุกรทั้งหมด มาร่วมหารือเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ คือ ผู้เลี้ยง เป็นการด่วนเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียนเป็นเวลานาน หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ผู้เลี้ยงหมูคงต้องเลิกกิจการแน่” นายนิพัฒน์กล่าวและเสริมว่า ภาครัฐสามารถเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วได้โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์
นายนิพัฒน์กล่าวว่า นอกจากนี้ Pig Board ยังเห็นชอบให้ขยายผลระบบฐานข้อมูล Big Data ด้านปศุสัตว์ โดยขยายขอบเขตการใช้งานสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงสุกรของไทยสามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งระบบ สนับสนุนการกำหนดราคาขายสุกรมีชีวิตตามโครงสร้างต้นทุนการผลิต เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรในการรักษาเสถียรภาพราคา ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำหนักขณะนี้ คือ กลไกราคาถูกบิดเบือนเนื่องจากการลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” มาแทรกแซงตลาด ซึ่งขายในราคาต่ำกว่าหมูไทยมาก ส่งผลให้เกษตรกรขายหมูขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ขาดเงินทุนหมุนเวียนอย่างหนัก จำเป็นต้องขายหมูในราคาที่ขาดทุนให้พ่อค้าเพื่อนำเงินมาบริหารจัดการฟาร์ม
นายนิพัฒน์กล่าวว่า หลังไทยเริ่มควบคุมโรคระบาด ASF ได้ ผู้เลี้ยงสุกรมีความมั่นใจมากขึ้นในการนำหมูเข้าเลี้ยงหวังสร้างอาหารปลอดภัยและมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคของคนไทย แต่ต้องประสบปัญหาหลายด้านต่อเนื่อง เริ่มจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารปรับสูงขึ้นจากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ ตามด้วยปัญหา “หมูเถื่อน” ที่การปราบปรามเริ่มจริงจังช่วงปลายปี 2565 ทำให้ราคาในประเทศบิดเบือน อีกทั้งมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจำนวนมาก ในช่วงที่ผลผลิตหมูไทยจากการฟื้นฟูฟาร์มออกสู่ตลาด ยิ่งกดให้ราคาต่ำลง
“ปัจจุบันราคาประกาศหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยอยู่ที่ 64-66 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงประมาณ 54-60 บาทเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนสูงประมาณ 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรพยายามทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดทั้งยอมจับหมูขนาดเล็ก หรือจับหมูออกขายก่อนกำหนด ไปทำหมูหันและหมูย่าง เพื่อความอยู่รอด” นายนิพัฒน์กล่าว
ซัพพลาย “อสังหาภาคใต้” เหลือขาย 6.5 หมื่นล้าน “ภูเก็ต-สงขลา-สุราษฎร์” น่าห่วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4199675
ซัพพลาย “อสังหาภาคใต้” เหลือขาย 6.5 หมื่นล้าน “ภูเก็ต-สงขลา-สุราษฎร์” น่าห่วง
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ของ 4 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีหน่วยพร้อมขาย 17,719 หน่วย มูลค่า 75,841 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 5,627 หน่วย มูลค่า 23,376 ล้านบาท บ้านจัดสรร 12,092 หน่วย มูลค่า 52,465 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,905 หน่วย มูลค่า 12,695 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 2,715 หน่วย มูลค่า 10,694 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,004 หน่วย มูลค่า 65,147 ล้านบาท
นายวิชัยกล่าวว่า โดยภูเก็ตมีการเสนอขายถึง 7,507 หน่วย ลดลง 4.8% มูลค่า 36,662 ล้านบาท ลดลง 7.4% เป็นบ้านจัดสรร 3,290 หน่วย มูลค่า 17,629 ล้านบาท อาคารชุด 4,217 หน่วย มูลค่า 19,033 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีเปิดขายใหม่ 1,604 หน่วย เพิ่มขึ้น 237% มูลค่า 4,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.5 % ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มี 1,465 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5 % มูลค่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5 %และหน่วยเหลือขาย 6,042 หน่วย ลดลง 9.1 % มูลค่า 30,262 ล้านบาท ลดลง 10.3% คาดปี นี้มีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาด 2,406 หน่วย มูลค่า 6,759 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่ 2,789 หน่วย มูลค่า 12,146 ล้านบาท มีเหลือขาย 5,520 หน่วย มูลค่า 27,621 ล้านบาท
ส่วนสงขลามีที่อยู่อาศัยเสนอขาย 5,388 หน่วย เพิ่มขึ้น 37.7 % มูลค่า 20,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.2 % เป็นบ้านจัดสรร 4,534 หน่วย มูลค่า 18,820 ล้านบาท อาคารชุด 854 หน่วย มูลค่า 1,960 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีเปิใหม่1,782 หน่วย เพิ่มขึ้น 552.7% มูลค่า 6,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 555.6% มีหน่วยขายใหม่ 604 หน่วย เพิ่มขึ้น 16.8 % มูลค่า 2,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9 % เหลือขาย 4,784 หน่วย เพิ่มขึ้น 40.9 % มูลค่า 18,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.6 % คาดการณ์ปีนี้จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 2,673 หน่วย มูลค่า 9,281 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 1,229 หน่วย มูลค่า 4,209 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 5,050 หน่วย มูลค่า 19,589 ล้านบาท