น้ำหรือของเหลว คือ ธาตุอะไรในมหาภูตรูป 4?

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/25

ตอนที่ ๒๕
สนทนาธรรมที่ โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ.๒๕๓๖
 
ส. ถ้าเราจะไปสนใจเรื่องอื่น เราไม่มีทางที่จะมีความรู้เพิ่มขึ้น เพราะเรามัวแต่ เรื่องนี้ เรื่องนั้น เรื่องโน้น ไม่มีวันจบ แต่เรื่องที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฏกที่เป็นคำสอน ที่จะทำให้ปัญญาของเราเกิดรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วเราไม่สนใจเรื่องนี้ และเราไปยกเรื่องอื่นขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันจบ เรื่องที่ควรจะเป็นสาระประโยชน์ก็ไม่ได้

ถ. ต่อไปนี้ ถ้ามีการสนทนาในนอกประเด็น นอกปัญหา ก็คงจะต้องรีบตัดบทไปก่อน

ส. ก็แล้วแต่คนนั้นว่า เขาต้องการอะไร ถ้าเขาต้องการจิตนิ่ง จิตนิ่งเป็นอย่างไรที่ต้องการ ทำไมถึงต้องการจิตนื่ง ต้องมีเหตุผล เรื่องของปัญญาและเป็นเรื่องของเหตุผลทั้งหมด ตอบได้ อธิบายได้

ถ. เขาอาจจะใช้คำพูดผิดหรือเปล่า

ส. ไม่เป็นไร ก็ให้เข้าใจถูกต้องว่า จิตนิ่งของเขาที่เขาต้องการ คือจิตประเภทไหน อย่างไร ทำไมถึงต้องการจิตนิ่ง นิ่งแล้วเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร

ถ. หมายความว่า ดูตัวเองเท่านั้นเอง

ส. ถ้าสมมุติว่า มีคนหนึ่งตระหนี่มาก แล้วเขาเกิดกุศลจิต บริจาคเงินช่วยเหลือเด็กยากจน ขาดอาหาร เราพลอยยินดีที่คนนี้มีกุศลจิต ซึ่งเขาแต่ก่อนไม่เคยมีเลย ขณะนั้น เรายินดีในกุศล จิตของเราเป็นกุศล

ส. ธรรมหมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เพราะฉะนั้นอะไรบ้างที่เป็นธรรม ลองคิด กว้างแสนกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงและให้ตอบทีละอย่าง ถ้ากว้างๆ ตอบได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แต่พอให้ยกตัวอย่างว่าอะไรบ้าง ลองยกตัวอย่างจะได้เข้าใจว่า ที่ฟังเข้าใจอย่างไร

ถ. น้ำเป็นของเหลว

ส. เห็นไหม จะตอบไปในทางแนวที่ศึกษาตามโรงเรียนว่า น้ำเป็นของเหลว ของเหลวอันนี้รู้ได้ทางไหน

ถ. ทางตา

ส. ทางตา เหลวอย่างไร

ถ. เห็น

ส. เห็นทางตาไม่เหลว    ทางตาเห็น นี่แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเข้าใจธรรมว่า ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เราคิดเองหมด แต่ว่าถ้าเราศึกษาแล้วจะรู้ว่าตรงกันข้ามกับที่เราเคย คิดเคยเข้าใจ ดูจริงๆ เวลานี้ทุกคนกำลังเห็น แน่นอน การเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะเป็นของจริง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นของจริงหรือเปล่า จริง เป็นธรรมหรือเปล่า ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นในขณะนี้ มีจริงๆ ไม่ใช่เราต้องเป็นนึก ไม่ต้องนึก ลืมตาขึ้นมาก็เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรม ต้องตรง แล้วก็ต้องไม่มีมีข้อที่จะไปบิดเบือน หรือสงสัย หรือถ้ามีอะไรก็ถามกันเลย ว่าทำไมถึงว่าจริง ทำไมถึงว่าเป็นธรรม แต่ถ้าเราใช้หลักที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เห็นในขณะนี้เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นธรรม แล้วถ้าพรุ่งนี้มีคนถามว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร สำหรับพรุ่งนี้ไม่ใช่ที่นี่ ถ้าบังเอิญไปเจอเพื่อนๆ และก็มีเพื่อนถามว่า เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร จะตอบว่าเป็นหรือว่าไม่เป็น เป็น กี่วันๆ ก็ต้องตอบว่าเป็น ไม่ใช่ตอบว่าเป็นเฉพาะที่นี่ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมหรือเปล่า นี่คือความไม่แน่นอน เมื่อกี้นี้เราบอกแล้วว่า ธรรม หมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ย้อนถามกลับไปว่า แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้เป็นธรรมหรือเปล่า เมื่อกี้พูดถึงเรื่องธรรม หมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เห็นในขณะนี้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ถามให้แน่ใจว่า เห็น เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น และขณะที่เห็น ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วยทางตาในขณะนี้เป็นของจริง ไม่ได้นึกคิดขึ้นมา ไม่ได้สร้าง เเต่พอเห็นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น ปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่อทีแรกบอกแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีจริงๆ ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งนั้นมีสภาพลักษณะของตนๆ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง อย่างลักษณะที่แข็ง ใครจะไปเปลี่ยนสภาพที่แข็ง ให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ให้เป็นเผ็ดก็ไม่ได้ เวลาที่เผ็ดกระทบลิ้นปรากฏ จะไปเปลี่ยนเผ็ดให้เป็นหวานก็ไม่ได้ นี่คือธรรม เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำอะไรได้ นี่ต้องเข้าใจ ส่วนใหญ่คนที่คิดว่าจะทำ ผิด แต่ธรรมมีจริงสามารถอบรม เจริญปัญญา ให้รู้จริง ให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่ไม่ใช่ให้เราไปทำไม่มีกิเลส หรือไปทำไม่โลภ ไปทำไม่โกรธ ไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดถ้าคิดว่าจะทำ

ถ. คือเรารู้มันผิด แล้วเราละตรงนี้ได้

ส. ไม่มีทาง เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้ แต่ปัญญาทำกิจของปัญญา โลภะทำกิจของโลภะ โทสะทำกิจของโทสะ สภาพธรรมแต่ละชนิดมีกิจการงานเฉพาะของเขา แลกเปลี่ยนกันไม่ได้ อย่างโลภะความติดข้อง จะไปทำกิจของสติก็ไม่ได้ การระลึกถูกต้องไม่ได้ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นลักษณะของปัญญา เป็นสภาพที่รู้จริง ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญา เป็นอวิชชา เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ แม้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับธรรม ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงของธรรมได้ เพราะฉะนั้นอวิชชาทำอะไรไม่ได้เลย ความเป็นตัวตน ความเห็นผิดว่าเป็นเรา จะเป็นกิเลสอะไรก็ไม่ได้ ต้องเป็นปัญญา ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อบรมขึ้น จนกว่าสมบูรณ์ สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ แต่เราทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเรา มีแต่อวิชชา การไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา เริ่มเข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจ เป็นการเริ่มต้นของปัญญา ที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ทางตามีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏ มีเสียง มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีโลภ มีโกรธ มีหลง เหล่านี้เป็นสภาพธรรม ซึ่งปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้นได้ แต่ไม่มีเราซึ่งจะทำ ถ้าใครคิดว่าจะทำ อันนั้นไม่ถูก เพราะเหตุว่าเป็นตัวตน แต่ตัวตนไม่มีเลย มีแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง นี่เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ ไป ค่อยๆ ฟัง ตลอดชีวิต แล้วก็ชาติหนึ่งก็ยังไม่พอ เพราะว่าจะจบสิ้นต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องมีการศึกษา มีการปฏิบัติ มีการฟัง มีการเข้าใจธรรมไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ มีใครที่สงสัยเรื่องธรรมหรือเปล่า คำว่า ธรรม คำเดียว สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ยกตัวอย่างอีก ต้องไปตามลำดับ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น ได้ยินก็เป็น เพราะฉะนั้น น้ำไหล เป็นสิ่งที่เราเห็นทางตาเป็นไปได้ไหม น้ำไหลไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ทางตา หูได้ยินเสียง ได้ยินเสียง หลังจากได้ยินแล้ว คิด อันนี้สำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ว่า เราอยู่ในโลกของความคิดตลอดเวลา ทันทีที่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา เราคิดถึงคน โดยที่มีรูปร่างสัณฐาน ให้เราจำได้ว่าเป็นคนนั้น คนนี้ พอเห็นปุ๊บจำได้เลย เพราะว่ามีสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง คือสัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่จำ สภาพธรรมอันนี้เขาจะเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ว่าจิตเกิดขึ้นขณะไหน จะต้องมีเจตสิก คือสัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วเขาจะจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ จำลักษณะสูงต่ำของเสียง จะจำกลิ่น จำรส แล้วก็จะเป็นการคิดนึกเรื่องราวของสิ่งที่จำได้ นี่แสดงให้เห็นว่าจิต เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก แล้วเราก็ไม่รู้เรื่องจิตเลย แต่เราพูดเรื่องทางสายกลาง เราพูดเรื่องอะไรตั้งหลายอย่าง ซึ่งไม่ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ว่า ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดกว่านั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้องศึกษา ต้องฟังมากๆ และต้องรู้ว่าการศึกษาพระธรรม หรือพุทธศาสนานั้นก็คือ การศึกษาเพื่อให้รู้ ให้เข้าใจ พระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไม่เหมือนคนอื่น ต้องลึกซึ้งต้องตรง ต้องถูก ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอริยสัจจธรรมได้ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เป็นธาตุแต่ละชนิด ซึ่งเป็นสัจจะ เป็นความจริง และเป็นอริยะ คือประเสริฐ สำหรับผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญา จนสามารถรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรม บุคคลนั้นก็เป็นอริยบุคคล เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนถึงระดับขั้นที่ประเสริฐ คือ รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่ต้องเริ่มจากการฟัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่