พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การสนทนาธรรม เป็นมงคล
ประจักษ์พร้อมกันหมด หรือ ประจักษ์ทีละทวาร >>> ฟังคลิปเสียง >>>
https://www.dhammahome.com/audio/topic/3663
อ. ทรงเกียรติ์ : อยากจะทราบว่า ทางจักขุทวารวิถี เมื่อดับไปแล้ว มโนทวารวิถีก็เกิดขึ้น รับรูปารมณ์ที่ต่อจากจักขุทวารวิถีไป ในเมื่อมีปัญญารู้ลักษณะของมโนทวารวิถีทางจักขุทวารวิถีแล้ว ปัญจทวารวิถีอื่นๆ เช่น ทางโสตทวารวิถี หรือฆานทวารวิถีรู้ได้หมดพร้อมกันหรือเปล่า หรือรู้ได้ทีละทวาร
อ. สุจินต์ : แล้วแต่ขณะนั้นสภาพธรรมใดปรากฏ ถ้าถึงขั้นประจักษ์แจ้ง ก็ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่ใช่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมอื่น ซึ่งไม่ปรากฏในขณะนั้น ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณต้องเป็นมโนทวารวิถี ประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรม และลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วแต่ว่าขณะนั้นอารมณ์ใดทางปัญจทวารหรือทางมโนทวารจะปรากฏ แต่ไม่ใช่จะปรากฏทั้งหมด ไม่ใช่จิตทั้ง ๘๙ หรือเจตสิกทั้ง ๕๒ หรือรูปทั้ง ๒๘
อ. ทรงเกียรติ์ : ในเมื่อประจักษ์ลักษณะของโสตทวารแล้ว ทางจักขุทวารจะต้องประจักษ์ด้วยหรือเปล่า หรือจะต้องประจักษ์ปัญญาอบรมต่อไปอีก ถึงจะประจักษ์ได้
อ. สุจินต์ : ในขณะนั้นสภาพธรรมใดปรากฏให้ประจักษ์ ก็ประจักษ์ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ส่วนสภาพธรรมใดที่ยังไม่ปรากฏในขณะนั้นก็ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะประจักษ์ เป็นไปได้ไหมคะ ในขณะนี้อะไรกำลังเป็นอารมณ์ ตาเห็น บางครั้งหูไม่ได้ยิน เสียงไม่ได้กำลังปรากฏ กลิ่นกำลังปรากฏหรือเปล่าในขณะนี้ รสกำลังปรากฏหรือเปล่า สุขหรือทุกข์ เวทนากำลังปรากฏหรือเปล่า ตามปกติตามความเป็นจริงในขณะนี้
นี่คือขณะที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่ในขณะที่ปัญญาที่ได้อบรมแล้วประจักษ์แจ้ง ก็ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กำลังเป็นอารมณ์ของขณะที่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งในขณะนี้นั่นเอง
ขณะที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมใดกำลังปรากฏเป็นอารมณ์ คือ ในขณะนี้บ้าง กำลังปรากฏกับอกุศลในขณะนี้ ถ้าขณะนั้นสติปัฏฐานไม่เกิด แต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิดแทนอกุศลเหล่านั้น ก็คือประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ในขณะนี้เท่านั้น ถ้าสภาพธรรม เช่น กลิ่นก็ตาม หรือรสก็ตาม ในขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ แต่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็คือประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่กลิ่น และไม่ใช่รส เพราะเหตุว่ากลิ่น และรสในขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ
เพราะฉะนั้น อารมณ์ตามปกติเป็นอารมณ์ของอกุศล และบางขณะสติปัฏฐานเกิด ก็อารมณ์ตามปกตินั่นเองเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน และในขณะที่ปัญญาประจักษ์แจ้งก็ไม่ได้ประจักษ์แจ้งอารมณ์อื่น จากอารมณ์ตามธรรมดาที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาจึงไม่พอ เพียงแค่นี้ไม่พอ แค่นี้ไม่พอ แค่นี้ไม่พอ จนกว่าจะบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าเป็นเสกขบุคคล ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาต่อไปจนบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
สภาพธรรมตามปกติในขณะนี้จริงๆ ถ้ากุศลกำลังเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ สติปัฏฐานไม่เกิด ก็เป็นอารมณ์ตามปกติอย่างนี้ ถ้าสติปัฏฐานเกิดระลึกบ้าง ก็เป็นรู้อารมณ์ตามปกติแทนอกุศลเท่านั้นเอง และถ้าเป็นการประจักษ์แจ้งก็คือประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ตามความเป็นจริง
อ. ทรงเกียรติ์ ถาม อ. สุจินต์ ว่า "ประจักษ์พร้อมกันหมด? หรือ ประจักษ์ทีละทวาร?"
ประจักษ์พร้อมกันหมด หรือ ประจักษ์ทีละทวาร >>> ฟังคลิปเสียง >>> https://www.dhammahome.com/audio/topic/3663
อ. ทรงเกียรติ์ : อยากจะทราบว่า ทางจักขุทวารวิถี เมื่อดับไปแล้ว มโนทวารวิถีก็เกิดขึ้น รับรูปารมณ์ที่ต่อจากจักขุทวารวิถีไป ในเมื่อมีปัญญารู้ลักษณะของมโนทวารวิถีทางจักขุทวารวิถีแล้ว ปัญจทวารวิถีอื่นๆ เช่น ทางโสตทวารวิถี หรือฆานทวารวิถีรู้ได้หมดพร้อมกันหรือเปล่า หรือรู้ได้ทีละทวาร
อ. สุจินต์ : แล้วแต่ขณะนั้นสภาพธรรมใดปรากฏ ถ้าถึงขั้นประจักษ์แจ้ง ก็ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่ใช่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมอื่น ซึ่งไม่ปรากฏในขณะนั้น ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณต้องเป็นมโนทวารวิถี ประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรม และลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วแต่ว่าขณะนั้นอารมณ์ใดทางปัญจทวารหรือทางมโนทวารจะปรากฏ แต่ไม่ใช่จะปรากฏทั้งหมด ไม่ใช่จิตทั้ง ๘๙ หรือเจตสิกทั้ง ๕๒ หรือรูปทั้ง ๒๘
อ. ทรงเกียรติ์ : ในเมื่อประจักษ์ลักษณะของโสตทวารแล้ว ทางจักขุทวารจะต้องประจักษ์ด้วยหรือเปล่า หรือจะต้องประจักษ์ปัญญาอบรมต่อไปอีก ถึงจะประจักษ์ได้
อ. สุจินต์ : ในขณะนั้นสภาพธรรมใดปรากฏให้ประจักษ์ ก็ประจักษ์ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ส่วนสภาพธรรมใดที่ยังไม่ปรากฏในขณะนั้นก็ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะประจักษ์ เป็นไปได้ไหมคะ ในขณะนี้อะไรกำลังเป็นอารมณ์ ตาเห็น บางครั้งหูไม่ได้ยิน เสียงไม่ได้กำลังปรากฏ กลิ่นกำลังปรากฏหรือเปล่าในขณะนี้ รสกำลังปรากฏหรือเปล่า สุขหรือทุกข์ เวทนากำลังปรากฏหรือเปล่า ตามปกติตามความเป็นจริงในขณะนี้
นี่คือขณะที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่ในขณะที่ปัญญาที่ได้อบรมแล้วประจักษ์แจ้ง ก็ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กำลังเป็นอารมณ์ของขณะที่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งในขณะนี้นั่นเอง
ขณะที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมใดกำลังปรากฏเป็นอารมณ์ คือ ในขณะนี้บ้าง กำลังปรากฏกับอกุศลในขณะนี้ ถ้าขณะนั้นสติปัฏฐานไม่เกิด แต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิดแทนอกุศลเหล่านั้น ก็คือประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ในขณะนี้เท่านั้น ถ้าสภาพธรรม เช่น กลิ่นก็ตาม หรือรสก็ตาม ในขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ แต่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็คือประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่กลิ่น และไม่ใช่รส เพราะเหตุว่ากลิ่น และรสในขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ
เพราะฉะนั้น อารมณ์ตามปกติเป็นอารมณ์ของอกุศล และบางขณะสติปัฏฐานเกิด ก็อารมณ์ตามปกตินั่นเองเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน และในขณะที่ปัญญาประจักษ์แจ้งก็ไม่ได้ประจักษ์แจ้งอารมณ์อื่น จากอารมณ์ตามธรรมดาที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาจึงไม่พอ เพียงแค่นี้ไม่พอ แค่นี้ไม่พอ แค่นี้ไม่พอ จนกว่าจะบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าเป็นเสกขบุคคล ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาต่อไปจนบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
สภาพธรรมตามปกติในขณะนี้จริงๆ ถ้ากุศลกำลังเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ สติปัฏฐานไม่เกิด ก็เป็นอารมณ์ตามปกติอย่างนี้ ถ้าสติปัฏฐานเกิดระลึกบ้าง ก็เป็นรู้อารมณ์ตามปกติแทนอกุศลเท่านั้นเอง และถ้าเป็นการประจักษ์แจ้งก็คือประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ตามความเป็นจริง