จิตปรมัตถ์ แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๐๐๑

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.dhammahome.com/cd/topic/18/1

ส.   พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงสภาพธรรมทั้งปวงให้บุคคลอื่นได้ฟัง ได้พิจารณา ได้อบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทำให้เกิดปัญญา ความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรียนไปเท่าไรก็ยังไม่รู้ๆ แต่เมื่อฟังแล้วสามารถพิจารณา และศึกษา แล้วเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ถูกต้องขึ้น แล้วก็ชัดเจนขึ้น

เพราะฉะนั้น เมื่อกี้ที่กำลังเห็น และเวลาที่กุศลจิตไม่เกิด อกุศลจิตย่อมเกิดแล้ว พอที่จะทราบไหมว่า เป็นอกุศลอะไร   เรื่องคิดมีมากสำหรับให้พิจารณา แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น พอจะทราบไหมคะว่า อกุศลอะไรเกิดแล้ว  ลักษณะมีค่ะ แต่ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ ก็เป็นเรื่องอีก ก็เป็นเรื่องของอกุศลทั้งหลาย โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อิสสาบ้าง มัจฉริยะบ้าง ต่างๆ นานา แต่สภาพธรรมมีจริงๆ เกิดชั่วขณะตามเหตุตามปัจจัย แล้วดับไปรวดเร็วเหลือเกิน

นี่เป็นเหตุที่จะต้องเจริญสติที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะจริงๆ ทราบหรือยังคะ อะไร

ตอบ โลภะ

สุ. แต่ลักษณะนั้นเห็นไหมคะ ลักษณะของโลภะปรากฏไหม ไม่ เพราะฉะนั้นลักษณะอะไร ถ้าความพอใจก็เป็นลักษณะของโลภะที่ปรากฏ แต่ว่าในขณะนั้นลักษณะโลภะปรากฏเป็นความพอใจไหม หรือลักษณะของสภาพธรรมอะไรปรากฏ ความไม่รู้ โมหะ อวิชชา แม้ว่าเป็นอกุศลก็ผ่านไปโดยความไม่รู้ เพราะเหตุว่าอวิชชาไม่สามารถจะรู้ลักษณะของอวิชชาได้ แต่ขณะใดที่ไม่รู้ ลักษณะของความไม่รู้มี ให้รู้ว่าในขณะนั้นไม่รู้ ใช่ไหมคะ กำลังเห็น ไม่รู้ว่า หลังจากเห็นแล้วเป็นอะไร หรือใครรู้ ชั่วขณะจิตที่เห็นดับไปแล้ว อกุศลเกิดแล้วถ้ากุศลไม่เกิด การนึกถึงทานยังไม่เกิด สติยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพของการเห็น หรือว่าสภาพธรรมอื่นที่มี ที่ปรากฏในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น หลังจากการเห็นดับไปแล้ว เป็นสภาพไม่รู้ในขณะนั้นซึ่งเป็นโมหมูลจิตหรือโลภมูลจิต แต่ถ้าลักษณะของโลภมูลจิตไม่ปรากฏ ย่อมเป็นลักษณะของความไม่รู้ จริงไหมคะ หรือท่านผู้ใดรู้หลังจากเห็น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นลักษณะของกุศลจิต

สภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วพิสูจน์ได้ แต่ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจชัด เมื่อเข้าใจชัดแล้วอย่าทำ แต่ให้รู้ว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ เพราะว่าถ้าจะทำ สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดและปรากฏในขณะนั้น ถ้าคิดเป็นสภาพธรรมที่มีจริง สติสามารถที่จะระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงสภาพคิด เป็นจิตที่กำลังรู้คำ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดมามีชีวิตแล้ว จะมีจิตเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ซึ่งจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏทุกขณะไป ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ซึ่งท่านผู้ฟังก็คงทราบแล้วว่า จุดประสงค์ของการฟังและการศึกษาธรรมนั้น เพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะที่แท้จริงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น การที่จะฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ละเอียดขึ้น ที่ต้องกล่าวถึงจุดประสงค์บ่อยๆ ก็เพื่อให้ท่านผู้ฟังได้ทราบว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ก็จะต้องฟังธรรมและพิจารณาจนกว่าจะมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นการศึกษาพร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่เมื่อสติปัฏฐานไม่สามารถที่จะมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เนืองๆ เพราะเหตุว่ายังเป็นผู้ที่กำลังอบรมเจริญสติปัฏฐานอยู่ ยังไม่ใช่ผู้ได้อบรมเจริญจนกระทั่งเป็นพละ มีกำลังจนกระทั่งสติสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ก็จะต้องทราบว่า แม้ขณะที่สติปัฏฐานไม่เกิด แต่ความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานและความเป็นผู้มั่นคงในการที่จะเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่ผู้ที่ต้องการอย่างอื่นนั้น จะทำให้สติเกิดเป็นไปในกุศลประการต่างๆ โดยไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าถ้าฟังโดยไม่พิจารณาให้แยบคาย ก็อาจจะมีความต้องการกุศล เพราะว่าทุกคนไม่ชอบอกุศล ความเป็นตัวตนมีอยู่ที่ทำให้รังเกียจในอกุศลด้วยความเป็นตัวตน แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้ว่า แม้อกุศลใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น หรือแม้กุศลที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบแต่ละขณะ ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นกุศล กุศลนั้นก็เกิดไม่ได้

เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลก็มีการสะสมมาวิจิตรต่างๆ กัน บางคนก็มีอกุศลมาก บางคนก็มีกุศลมาก แต่ผู้ที่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน แล้วเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ที่มั่นคงในการเจริญสติปัฏฐาน รู้ว่า แม้สติปัฏฐานจะไม่เกิด แต่ก็มีสังขารขันธ์ซึ่งเป็นความเข้าใจจากการฟัง อุปการะเกื้อกูลให้กุศลขั้นอื่นๆ เกิด

เพราะฉะนั้น แม้กุศลขั้นอื่นๆ นั้นก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อเป็นอย่างนี้ กุศลนั้นๆ จึงจะเป็นบารมีที่จะทำให้อุปการะเกื้อกูลที่สติจะระลึกรู้ในสภาพธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งในอริยสัจธรรม ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทเป็นขั้นๆ เพราะบารมีเต็มเปี่ยมด้วยการเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน และสติปัฏฐานนั่นเองเกื้อกูลให้กุศลขั้นต่างๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งถึงความสมบูรณ์ ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่ต้องการบารมี หรือต้องการเจริญกุศล

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เพื่อที่จะให้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน แม้ในขั้นของการฟัง แม้แต่ในขั้นของการที่จะเกิดกุศลขั้นต่างๆ เพื่อที่จะได้เกื้อกูลให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น และน้อมศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าผู้ที่สติปัฏฐานยังไม่มีกำลัง จะเห็นได้ว่า ความเป็นตัวตนยังมีกำลังมาก ไม่ว่าจะในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่รังเกียจอกุศล ในขณะที่ต้องการกุศล ก็เป็นไปตามกำลัง คือ การยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา เป็นกุศลของเรา เป็นอกุศลของเรา เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่จะดับความเป็นตัวตน ความเป็นเรา ความเป็นของเราได้ ก็ด้วยการพิจารณาจนมีความเข้าใจที่มั่นคง และเจริญสติปัฏฐาน และแม้สติปัฏฐานไม่เกิด ก็รู้ว่ามีปัจจัยของกุศลขั้นอื่นๆ ที่จะเกิด โดยที่ว่าไม่เป็นผู้ที่ติดในกุศล มิฉะนั้นแล้วโลภะนี้จะทำให้มีความต้องการ มีความพอใจ มีความอยากได้ในกุศล ถ้าเป็นอย่างนั้น กุศลนั้นไม่เป็นบารมี เพราะเหตุว่ายังเป็นช่องรั่วที่จะทำให้กุศลเหล่านั้นไม่ถึงความสมบูรณ์เต็มที่ ที่จะทำให้สติปัฏฐานสามารถที่จะประจักษ์ได้ว่า กุศลนั้นๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล

ที่ท่านผู้ฟังที่เจริญสติปัฏฐานแล้ว แล้วก็ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ นี้ ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลบุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเพราะสังขารขันธ์ สภาพธรรมที่เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต ที่เป็นศรัทธา ที่เป็นปัญญา ที่เป็นวิริยะ ที่เป็นโสภณเจตสิกอื่นๆ ปรุงแต่งทำให้เกิดกุศลขั้นการฟังต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเกื้อกูลให้สติเกิดขึ้นตามขั้นของความเข้าใจ และเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งจะมีการศึกษาจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏพร้อมสติ ซึ่งเป็นไตรสิกขา

เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังปรมัตถธรรม จุดประสงค์ของการฟังเรื่องจิต เพื่อที่จะให้เป็นปัจจัยเกื้อกูลให้เข้าใจยิ่งขึ้นในลักษณะของจิตที่กำลังมีในขณะนี้ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก ซึ่งเป็นเรื่องจิต ที่ทรงแสดงไว้มากในพระไตรปิฎก แต่จุดประสงค์จริงๆ นั้น เพื่อให้สติสามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏ

ข้อความในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค อันธวรรคที่ ๗ จิตตสูตรที่ ๒ ข้อ ๑๘๐ และข้อ ๑๘๑ มีข้อความว่า

เทวดาทูลถามว่า  "โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมยิ้มไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  "โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมยิ้มไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่ง คือ จิต ฯ"  
แสดงให้เห็นถึงธาตุรู้ สภาพรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วยังไม่เพียงแต่เห็น หรือได้ยิน หรือได้กลิ่น หรือลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังคิดนึกต่างๆ นานาที่แสนวิจิตร

เพราะฉะนั้น แต่ละคน โลกของแต่ละคนก็เป็นไปตามอำนาจจิตของแต่ละคน จิตของบางคนก็สะสมกุศลไว้มาก ไม่ว่าจะเห็นบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ที่มากไปด้วยอกุศลธรรม แต่จิตของบุคคลนั้นก็ยังสามารถที่จะเกิดเมตตา หรือกรุณา หรืออุเบกขาได้ ในขณะที่คนอื่น อีกโลกหนึ่งของเขา เป็นโลกของความชิงชัง หรือความไม่แช่มชื่น หรือว่าความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้น แต่ละคนอยู่ในโลกของตัวเองแต่ละโลกทุกๆ ขณะ ตามความเป็นจริง
ดูเหมือนว่าอยู่ร่วมโลก หรือว่าโลกเดียวกันนะคะ แต่ถ้าทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นรูปธรรม มีปรากฏได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จริง แต่ว่าถ้าไม่มีจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่เพราะจิตรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง โลกของแต่ละคนก็เป็นไปตามอำนาจจิตของแต่ละคน โลกไหนจะดี โลกที่สะสมกุศลมากๆ พร้อมที่จะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือโลกที่ชิงชัง โกรธแค้น ขุ่นเคือง ซึ่งแม้ว่าจะเห็นบุคคลเดียวกัน จะรู้เรื่องบุคคลเดียวกัน โลกของแต่ละคนก็ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของแต่ละคนที่สะสมมาต่างๆ กัน

สิ่งที่ปรากฏทางตา มีนะคะ ทำให้ดูเหมือนว่า อยู่ร่วมกันในโลกนี้มากมายหลายคน แล้วแต่กาละและเทศะ แต่ว่าถ้าประจักษ์ชัดในลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนั้นจะรู้ได้ว่า ชั่วขณะนั้นซึ่งเป็นเพียงการเห็น เป็นเฉพาะโลกของการเห็น ซึ่งไม่มีคน ไม่มีสัตว์เลย ไม่มีวัตถุสิ่งต่างๆ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นเพียงเห็น ยังไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐานและเรื่องราวใดๆ ของสิ่งที่เห็น

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าทั้งหมดนี้ ที่เข้าใจว่าเป็นโลกซึ่งเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนมากมายหลายคน หลายวัตถุสิ่งของต่างๆ ในโลก เป็นโลกของความคิดนึกถึงสิ่งที่เห็นที่กำลังปรากฏ แต่ว่าในขณะที่เห็นนั้นเป็นโลกหนึ่งคือโลกของสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ใช่โลกของความคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ละคนก็มีจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวๆ ๆ ๆ สืบต่อกันไปทีละขณะ จนปรากฏเหมือนกับว่า เป็นโลกที่กว้างใหญ่และประกอบด้วยผู้คนสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ให้ทราบว่า ถ้าจะเข้าใจโลกจริงๆ ให้รู้ว่าปรากฏเพียงแต่ละอย่าง และแต่ละขณะจิตเท่านั้นเอง แต่เพราะการเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็เลยเป็นโลกที่ไม่แตกสลาย เป็นโลกที่ปรากฏเสมือนยั่งยืน และประกอบด้วยสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุสิ่งของมากมายหลายอย่าง แต่ตามความเป็นจริงแล้ว โลกก็คือการเกิดขึ้นของจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เพียงชั่วขณะเดียว แล้วก็ดับไปแต่ละขณะเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่