คำถามข้อนี้เกี่ยวกับวิปัสสนา ในฐานะที่ผมลองทำสมาธิ เจริญสติ สมาธิ และปัญญา จนเคยเข้าฌาน 1 ได้ และฌานได้เสื่อมไปแล้ว และเคยได้อ่านปริยัติ และอภิธรรมมานิดหน่อย อยาก
ถามว่าในระดับปรมัตถ์ธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา
ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้ทันเจตสิกหรือครับ?
ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล
จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง
ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่ หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมานที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่า พระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว
คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง
ใครพอเข้าใจเรื่องอภิธรรม จิต เจตสิก ปรมัตถธรรม ช่วยยืนยันสิ่งที่ผมเข้าใจทีครับ
ถามว่าในระดับปรมัตถ์ธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้ทันเจตสิกหรือครับ?
ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง
ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่ หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมานที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่า พระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง