ต้องขอบคุณคุณลุงผู้ถามในคลิปด้วย เพราะทำให้เกิดความกระจ่างในเรื่องปฏิจสมุปบาทมากขึ้นว่ามีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
บางท่านอาจจะคุ้นชินกับการสอนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการซักถามจากผู้ฟัง
แต่อยากให้ลองฟังคลิปสนทนาธรรมที่มีการไล่เลียงซักถามถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๑
https://www.dhammahome.com/cd/topic/51/1
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๒
https://www.dhammahome.com/cd/topic/51/2
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ ตอน ๑
https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1 (คำถามของคุณลุง เริ่มต้นในคลิป 2 นี้)
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ ตอน ๒
https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/2
___________________________________
https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1
อ.สุจินต์ มีข้อสงสัยอะไรมั้ยคะ ในเรื่องนี้... เชิญค่ะ
ผู้ถาม : ก่อนถึงวาระที่จะตาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไรครับ วิญญาณ คืออะไรครับ นามรูป คืออะไร ตรงนี้ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็นอภิสังขาร เป็นเจตนา...
อ.สุจินต์ : ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปปาท หมายความถึงอภิสังขาร ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิก ดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะว่าเป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้ ทุกชีวิตที่มีการเกิดและคงต้องมีการ เกิดอีกๆ ไม่จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ
วิญญาณซึ่งได้แก่ปฏิสนธิจิตนั้น ขณะที่เกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั่นเองจะมีเจตสิกกับกัมมชรูปเกิด และเกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าถึงกาลที่เป็นสฬายตนะหรืออายตนะที่จะรู้อารมณ์อื่น นอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต
ผู้ฟัง ระหว่างเกิดกับตาย ระหว่างนี้ทั้งหมดก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
อ.สุจินต์ : วันนี้มีอกุศลจิตไหมคะ
ผู้ฟัง สำหรับผมมีมากมายเลยครับ
อ.สุจินต์ : มีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าไม่ใช่กุศลที่เป็นการศึกษาธรรมให้เข้าใจหนทาง ที่จะดับ ขณะนั้นต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้แม้เป็นกามาวจรกุศล เป็นไป ในทาน เป็นไปในศีล แต่ไม่ใช่การศึกษาธรรมให้เข้าใจลักษณะของธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ฟัง ตรงนี้เข้าใจครับ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นโมหะ
อ.สุจินต์ : ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ นะคะ นี่เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิดต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ฟัง อ้อ ไม่เสมอ เพราะบางครั้งเป็นกุศล
อ.สุจินต์ : แม้กุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรม หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเป็นไป ในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ
ผู้ฟัง เข้าใจครับ ต่อไปอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ ปรุงแต่ง และสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไม่เอาตอนตาย ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ จะหมายความว่าอย่างไร ตามปกติ
อ.สุจินต์ : เริ่มจากปฏิสนธิจิต ต่อจากนั้นก็วิบากจิตอื่นๆ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตจะเกิดไม่ได้เลย
ผู้ฟัง : วิญญาณตัวนี้คือวิบากจิต ต่อไปบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถามว่า วิบากจิตอย่างไรจึงให้เกิดนามรูป
อ.สุจินต์ : จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย เจตสิกนั้นคือนาม เพราะฉะนั้น วิบากจิตก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิด และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดเป็นปัจจัยให้รูปเกิด
ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจตรงนี้ครับ
อ.สุจินต์ : ทุกขณะที่จิตเกิด จิตนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เว้นจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ถ้ากล่าวกว้างออกไป อรูปฌานวิบากก็ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด และจุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปเกิด แต่ถ้าพูดถึงชีวิตปกติธรรมดาของทุกคน ก็เฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด
ผู้ฟัง สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ
อ.สุจินต์ : ถ้าพูดถึงจิตเป็นปัจจัย ต้องเป็นจิตตชรูปเท่านั้น ต้องเท้าความไปถึงตอนเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทุกคนมีกรรมที่ได้ทำแล้ว เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นสัตว์มีรูปร่างต่างๆ กัน เป็นสัตว์บกสัตว์น้ำอย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปโดยกรรมซึ่งทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้น แต่แม้กระนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กรรมก็ทำให้รูปนั้นๆ เกิดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ขณะแรกที่สุดซึ่งเหมือนกับเปิดทางที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ก็คือ อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ได้กระทำแล้วในอดีต และสังขารที่ได้ กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือวิญญาณเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ในขณะนั้นยังไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอุตุชรูป ไม่มีอาหารชรูปเลย
ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นที่อาศัยของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเป็นที่อาศัยเกิดของกัมมชรูปด้วย เพราะถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูปเกิดไม่ได้
เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลยถ้าเป็นกัมมชรูป รูปใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทั้งนั้น
ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด ยังไม่มีจิตตชรูป ขณะแรกขณะเดียววิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นามรูป นามหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และรูปหมายถึงกัมมชรูป อย่างเดียวเท่านั้น
ผู้ฟัง วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เข้าใจแล้ว ๒ รูป คือ กัมมชรูปกับจิตตชรูป ต่อไปอาหารชรูปและอุตุชรูป....
อ.สุจินต์ : เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจเร็วนะคะ ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกขณะเดียว มีเจตสิกเกิด ร่วมด้วยคือนาม มีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย กัมมชรูปประเภทเดียวเท่านั้น
ปฏิสนธิจิตมี ๓ ขณะย่อย หรือ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับ และภังคขณะ ขณะที่ดับ
ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดนั้นเอง เจตสิกเกิดร่วมด้วยและ กัมมชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นเพียงสหชาตปัจจัยที่ทำให้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกัน แต่กัมมชรูปนั้นไม่ได้เป็นจิตตชรูป ต้องเป็นกัมมชรูป เพราะว่ากรรมทำให้รูปนั้นเกิดที่จะเป็นบุคคลนั้น จะเป็นสัตว์ในน้ำ บนบก เป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต และในภังคขณะของปฏิสนธิจิต เมื่อมีปฏิสนธิจิตเป็นที่อาศัยของกัมมชรูปแล้ว ต่อจากนั้น กัมมชรูปมีสิทธิเกิดตลอดไป ถึงแม้แต่นิโรธสมาบัตินะคะ ซึ่งดับจิตเจตสิก กัมมชรูปก็เกิด
นี่แสดงให้เห็นว่า กัมมชรูปนี่ค่ะ อาศัยปฏิสนธิจิตเป็นทางเกิดขึ้นของกรรมที่จะทำให้รูปนั้นเกิด และเมื่ออาศัยปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของกรรมที่จะทำให้กัมมชรูปเกิดทุกๆ อนุขณะของจิต ไม่เว้นเลย นอกจากอีก 17 ขณะ จะถึงจุติจิต กัมมชรูปจึงไม่เกิด เพราะฉะนั้น กัมมชรูปนี้จะดับพร้อมกับจุติจิต ด้วยเหตุนี้ ร่างกายซึ่งไม่มีใจครอง จึงไม่ถือว่าเป็นสัตว์บุคคลนั้นอีกต่อไป ดับทั้งจิตเจตสิกและกัมมชรูป
ผู้ถาม : ขออนุญาตถามสืบต่อจากตรงนี้อ่ะครับว่า กัมมชรูปในตอนเกิดเนี้ยน่ะครับ กับตลอดชีวิตที่มีอยู่เนียะ เป็นกัมมชรูปลักษณะเดียวกัน หรือว่ามีปัจจัยปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
อ. สุจินต์ : กัมมชรูปที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างต่างๆ ก็แล้วแต่ ก็เกิดเพราะกรรมนั้นเป็นปัจจัย แต่ภายหลังก็มีกรรมอื่นๆ เป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิดด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีตาต่างกันตามกรรมปลีกย่อยซึ่งให้ผลในภายหลัง หรือว่าระหว่างที่ยังมีชีวิติอยู่นะคะ กัมมชรูปก็เกิดทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ได้ ถ้าเป็นโรคซึ่งเกิดเพราะกรรม ก็ไม่มีทางรักษาตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้รูปร่างกายเป็นไปต่างๆ หรือแม้จะถึงกับเปลี่ยนภาวรูปก็ได้
ผู้ถาม : ขอถามต่ออีกหน่อยนะครับ เอาตรงเนี้ยะอ่ะ กัมมชรูปที่เกิดระยะหลังๆ เนี่ยนะครับ ที่กรรมเปลี่ยนๆ ที่เรียกว่าเปลี่ยนเนี่ยะ มันเกิดจากวิญญาณหรือเปล่าครับ
อ. สุจินต์ : เกิดจากเจตนาสิคะ ถ้าพูดถึงกรรมเป็นปัจจัย ต้องหมายถึงเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม นี่ขณะจิตขณะแรก ยังไม่มีจิตตชรูปนะคะ แต่ว่าในปฏิสนธิจิตขณะแรกเนี่ยน่ะค่ะ เมื่อกี้พูดถึงเฉพาะกัมมชรูป ซึ่งเกิดทุกอนุขณะของปฏิสนธิจิต คือตั้งแต่อุปาทขณะ ก็มีกัมมชรูปเกิด ฐิติขณะก็มีกัมมชรูปเกิด และภังคขณะก็มีกัมมชรูปเกิด แต่ว่ายังมีอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นอุตุชรูป เกิดในฐิติขณะของปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่า มหาภูตรูปมี 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นใหญ่เป็นประธานนะคะ รูปใดๆ ก็ตามที่จะปราศจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เสียงก็ต้องมีมหาภูตรูป กลิ่นก็ต้องมีมหาภูตรูป เพราะเหตุว่า รูปที่เป็นมหาภูตรูป มีเพียง 4 ที่เหลือเป็นอุปาทายรูป คือรูปที่อาศัยมหาภูตรูป มหาภูตรูปมีธาตุ 4 คือ ธาตุดิน 1 ธาตุน้ำ 1 ธาตุไฟ 1 ธาตุลม 1 ธาตุไฟนี่ค่ะ เป็นอุตุ เป็นอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้รูปอื่นเกิด เพราะฉะนั้น ธาตุไฟทำให้รูปเกิดในฐิติขณะของปฏิสนธิจิตนะคะ นี่เป็นอุตุชรูป
เมื่อ อ.สุจินต์ โดนลูกศิษย์ไล่บี้ถามเรื่อง ปฏิจสมุปบาท
บางท่านอาจจะคุ้นชินกับการสอนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการซักถามจากผู้ฟัง
แต่อยากให้ลองฟังคลิปสนทนาธรรมที่มีการไล่เลียงซักถามถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๑ https://www.dhammahome.com/cd/topic/51/1
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๒ https://www.dhammahome.com/cd/topic/51/2
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ ตอน ๑ https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1 (คำถามของคุณลุง เริ่มต้นในคลิป 2 นี้)
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ ตอน ๒ https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/2
___________________________________
https://www.dhammahome.com/cd/topic/52/1
อ.สุจินต์ มีข้อสงสัยอะไรมั้ยคะ ในเรื่องนี้... เชิญค่ะ
ผู้ถาม : ก่อนถึงวาระที่จะตาย อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไรครับ วิญญาณ คืออะไรครับ นามรูป คืออะไร ตรงนี้ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็นอภิสังขาร เป็นเจตนา...
อ.สุจินต์ : ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปปาท หมายความถึงอภิสังขาร ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิก ดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะว่าเป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้ ทุกชีวิตที่มีการเกิดและคงต้องมีการ เกิดอีกๆ ไม่จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ
วิญญาณซึ่งได้แก่ปฏิสนธิจิตนั้น ขณะที่เกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั่นเองจะมีเจตสิกกับกัมมชรูปเกิด และเกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าถึงกาลที่เป็นสฬายตนะหรืออายตนะที่จะรู้อารมณ์อื่น นอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต
ผู้ฟัง ระหว่างเกิดกับตาย ระหว่างนี้ทั้งหมดก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
อ.สุจินต์ : วันนี้มีอกุศลจิตไหมคะ
ผู้ฟัง สำหรับผมมีมากมายเลยครับ
อ.สุจินต์ : มีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าไม่ใช่กุศลที่เป็นการศึกษาธรรมให้เข้าใจหนทาง ที่จะดับ ขณะนั้นต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้แม้เป็นกามาวจรกุศล เป็นไป ในทาน เป็นไปในศีล แต่ไม่ใช่การศึกษาธรรมให้เข้าใจลักษณะของธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ฟัง ตรงนี้เข้าใจครับ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นโมหะ
อ.สุจินต์ : ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ นะคะ นี่เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิดต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ผู้ฟัง อ้อ ไม่เสมอ เพราะบางครั้งเป็นกุศล
อ.สุจินต์ : แม้กุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรม หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเป็นไป ในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ
ผู้ฟัง เข้าใจครับ ต่อไปอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ ปรุงแต่ง และสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไม่เอาตอนตาย ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ จะหมายความว่าอย่างไร ตามปกติ
อ.สุจินต์ : เริ่มจากปฏิสนธิจิต ต่อจากนั้นก็วิบากจิตอื่นๆ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตจะเกิดไม่ได้เลย
ผู้ฟัง : วิญญาณตัวนี้คือวิบากจิต ต่อไปบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถามว่า วิบากจิตอย่างไรจึงให้เกิดนามรูป
อ.สุจินต์ : จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย เจตสิกนั้นคือนาม เพราะฉะนั้น วิบากจิตก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิด และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดเป็นปัจจัยให้รูปเกิด
ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจตรงนี้ครับ
อ.สุจินต์ : ทุกขณะที่จิตเกิด จิตนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เว้นจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ถ้ากล่าวกว้างออกไป อรูปฌานวิบากก็ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด และจุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปเกิด แต่ถ้าพูดถึงชีวิตปกติธรรมดาของทุกคน ก็เฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด
ผู้ฟัง สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ
อ.สุจินต์ : ถ้าพูดถึงจิตเป็นปัจจัย ต้องเป็นจิตตชรูปเท่านั้น ต้องเท้าความไปถึงตอนเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทุกคนมีกรรมที่ได้ทำแล้ว เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นสัตว์มีรูปร่างต่างๆ กัน เป็นสัตว์บกสัตว์น้ำอย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปโดยกรรมซึ่งทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้น แต่แม้กระนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กรรมก็ทำให้รูปนั้นๆ เกิดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ขณะแรกที่สุดซึ่งเหมือนกับเปิดทางที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ก็คือ อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ได้กระทำแล้วในอดีต และสังขารที่ได้ กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือวิญญาณเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ในขณะนั้นยังไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอุตุชรูป ไม่มีอาหารชรูปเลย
ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นที่อาศัยของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเป็นที่อาศัยเกิดของกัมมชรูปด้วย เพราะถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูปเกิดไม่ได้
เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลยถ้าเป็นกัมมชรูป รูปใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทั้งนั้น
ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด ยังไม่มีจิตตชรูป ขณะแรกขณะเดียววิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นามรูป นามหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และรูปหมายถึงกัมมชรูป อย่างเดียวเท่านั้น
ผู้ฟัง วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เข้าใจแล้ว ๒ รูป คือ กัมมชรูปกับจิตตชรูป ต่อไปอาหารชรูปและอุตุชรูป....
อ.สุจินต์ : เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจเร็วนะคะ ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกขณะเดียว มีเจตสิกเกิด ร่วมด้วยคือนาม มีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย กัมมชรูปประเภทเดียวเท่านั้น
ปฏิสนธิจิตมี ๓ ขณะย่อย หรือ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับ และภังคขณะ ขณะที่ดับ
ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดนั้นเอง เจตสิกเกิดร่วมด้วยและ กัมมชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นเพียงสหชาตปัจจัยที่ทำให้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกัน แต่กัมมชรูปนั้นไม่ได้เป็นจิตตชรูป ต้องเป็นกัมมชรูป เพราะว่ากรรมทำให้รูปนั้นเกิดที่จะเป็นบุคคลนั้น จะเป็นสัตว์ในน้ำ บนบก เป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต และในภังคขณะของปฏิสนธิจิต เมื่อมีปฏิสนธิจิตเป็นที่อาศัยของกัมมชรูปแล้ว ต่อจากนั้น กัมมชรูปมีสิทธิเกิดตลอดไป ถึงแม้แต่นิโรธสมาบัตินะคะ ซึ่งดับจิตเจตสิก กัมมชรูปก็เกิด
นี่แสดงให้เห็นว่า กัมมชรูปนี่ค่ะ อาศัยปฏิสนธิจิตเป็นทางเกิดขึ้นของกรรมที่จะทำให้รูปนั้นเกิด และเมื่ออาศัยปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของกรรมที่จะทำให้กัมมชรูปเกิดทุกๆ อนุขณะของจิต ไม่เว้นเลย นอกจากอีก 17 ขณะ จะถึงจุติจิต กัมมชรูปจึงไม่เกิด เพราะฉะนั้น กัมมชรูปนี้จะดับพร้อมกับจุติจิต ด้วยเหตุนี้ ร่างกายซึ่งไม่มีใจครอง จึงไม่ถือว่าเป็นสัตว์บุคคลนั้นอีกต่อไป ดับทั้งจิตเจตสิกและกัมมชรูป
ผู้ถาม : ขออนุญาตถามสืบต่อจากตรงนี้อ่ะครับว่า กัมมชรูปในตอนเกิดเนี้ยน่ะครับ กับตลอดชีวิตที่มีอยู่เนียะ เป็นกัมมชรูปลักษณะเดียวกัน หรือว่ามีปัจจัยปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
อ. สุจินต์ : กัมมชรูปที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างต่างๆ ก็แล้วแต่ ก็เกิดเพราะกรรมนั้นเป็นปัจจัย แต่ภายหลังก็มีกรรมอื่นๆ เป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิดด้วยค่ะ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีตาต่างกันตามกรรมปลีกย่อยซึ่งให้ผลในภายหลัง หรือว่าระหว่างที่ยังมีชีวิติอยู่นะคะ กัมมชรูปก็เกิดทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ได้ ถ้าเป็นโรคซึ่งเกิดเพราะกรรม ก็ไม่มีทางรักษาตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้รูปร่างกายเป็นไปต่างๆ หรือแม้จะถึงกับเปลี่ยนภาวรูปก็ได้
ผู้ถาม : ขอถามต่ออีกหน่อยนะครับ เอาตรงเนี้ยะอ่ะ กัมมชรูปที่เกิดระยะหลังๆ เนี่ยนะครับ ที่กรรมเปลี่ยนๆ ที่เรียกว่าเปลี่ยนเนี่ยะ มันเกิดจากวิญญาณหรือเปล่าครับ
อ. สุจินต์ : เกิดจากเจตนาสิคะ ถ้าพูดถึงกรรมเป็นปัจจัย ต้องหมายถึงเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม นี่ขณะจิตขณะแรก ยังไม่มีจิตตชรูปนะคะ แต่ว่าในปฏิสนธิจิตขณะแรกเนี่ยน่ะค่ะ เมื่อกี้พูดถึงเฉพาะกัมมชรูป ซึ่งเกิดทุกอนุขณะของปฏิสนธิจิต คือตั้งแต่อุปาทขณะ ก็มีกัมมชรูปเกิด ฐิติขณะก็มีกัมมชรูปเกิด และภังคขณะก็มีกัมมชรูปเกิด แต่ว่ายังมีอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นอุตุชรูป เกิดในฐิติขณะของปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่า มหาภูตรูปมี 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นใหญ่เป็นประธานนะคะ รูปใดๆ ก็ตามที่จะปราศจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เสียงก็ต้องมีมหาภูตรูป กลิ่นก็ต้องมีมหาภูตรูป เพราะเหตุว่า รูปที่เป็นมหาภูตรูป มีเพียง 4 ที่เหลือเป็นอุปาทายรูป คือรูปที่อาศัยมหาภูตรูป มหาภูตรูปมีธาตุ 4 คือ ธาตุดิน 1 ธาตุน้ำ 1 ธาตุไฟ 1 ธาตุลม 1 ธาตุไฟนี่ค่ะ เป็นอุตุ เป็นอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้รูปอื่นเกิด เพราะฉะนั้น ธาตุไฟทำให้รูปเกิดในฐิติขณะของปฏิสนธิจิตนะคะ นี่เป็นอุตุชรูป