ในการศึกษาพระอภิธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาท วันนี้จึงขอพูดคุยด้วยเรื่อง เจตนากรรม
เพราะอวิชชา ความไม่รู้ ๘ ประการได้แก่ ทุกเข อญาณัง ทุกขะสมุทเย อญาณัง ทุกขนิโรเธ อญาณัง ปุพพันตะ อญาณัง อปรันตะ อญาณัง ปุพพันตะอะปะรันเต อญาณัง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปานัง ธัมมานัง อยายะ อญาณัง จึงทำให้เกิดสังขาร ๖ ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อันเป็น สหชาตะกัมมะปัจจัย ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร อันเป็นนานักขณิกกัมมะปัจจัย
-ในภพก่อนๆ เพราะความไม่รู้ จึงเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร ในตอรนนั้น สังขาร ๓ ในตอนนั้น คือ กายสังขาร ได้แก่ กายสุจริต กายทุจริต วจีสังขารได้แก่ วจีสุจริต วจีทุจริต และจิตตสังขาร ได้แก่ มโนสุจริต และมโนทุจริต ในมโนสุจริต ได้แก่ มหากุศลเจตนา ๘ รุปกุศลเจตนา ๕ และอรูปกุศลเจตนา ๔
-ในภพนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะมีวิปาก ที่สมควรได้รับ คือ วิญญาน นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
-ด้วยกิเลสที่สะสมไว้ด้วยความไม่รู้ในกาลก่อน จึงมี ตัณหา มีอุปทาน และมีกัมมภวะซึ่งเป็นเจตนาที่สำเร็จลงแล้วในปัจจุบัน ก็เป็น สหชาตะกัมมะปัจจัย ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
-และแน่นอน สร้างภพชาติรอเป็น อุปปัติภวะ อัน มีชาติชรามรณะ พร้อมอนิฏฐผล ๕ รอไว้แล้ว
-การเรียนพระอภิธรรม เพื่อความเข้าใจเรื่องเหล่านี้นี้เอง ในส่วนหนึ่ง จึงทำให้ผู้เรียนมีความรู้ในขั้นสุตตะมะยะปัญญา และสามารถจินตามยปัญญาได้ในระดับหนึ่ง
-ดังนั้นแม้จะไม่ได้นั่ง นอน ยืน เดิน ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เพื่อฝึกสติ แต่ด้วยความเข้าใจก็สามารถโยนิโสมนสิการ การกระทำไว้ในใจอย่างแยบคายได้เมื่อ เวทนาเกิด มีสติในระดับหนึ่งตามรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้น และปกป้องจิตของตนเท่าที่ทำได้ไม่ให้เกิด สหชาตกัมมะปัจจัย ขึ้นให้ได้มากที่สุดตามความสามารถของตน
-เมื่อไม่มีเจตนา เกิดขึ้น ด้วยความรู้ อุปปัตติภวะ ก็ไม่เกิดรอ ชาติ ชรา มรณะ ก็ไม่มี
-แต่เนื่องจากการนอนเนื่องของอาสวะ ทั้งหลาย ก็จึงยังไม่สามารถทำให้ไม่มีเจตนาเกิดได้ในทุกขณะ ดังนั้น จึงต้องฝึกสติปัฏฐาน เพื่อมีสติ มีมหาสติ เกิดสัมปชัญญะ ด้วย อาตาปี หรือ ความเพียรชอบ ต่อไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์
-นี้แหละผู้เรียนพระอภิธรรมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
-ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่เกิดขึ้นได้เมื่อได้อ่านกระทู้นี้ทุกท่านครับ
เจตนากรรม อันเป็น สหชาตะกัมมะปัจจัย
เพราะอวิชชา ความไม่รู้ ๘ ประการได้แก่ ทุกเข อญาณัง ทุกขะสมุทเย อญาณัง ทุกขนิโรเธ อญาณัง ปุพพันตะ อญาณัง อปรันตะ อญาณัง ปุพพันตะอะปะรันเต อญาณัง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปานัง ธัมมานัง อยายะ อญาณัง จึงทำให้เกิดสังขาร ๖ ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อันเป็น สหชาตะกัมมะปัจจัย ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร อันเป็นนานักขณิกกัมมะปัจจัย
-ในภพก่อนๆ เพราะความไม่รู้ จึงเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร ในตอรนนั้น สังขาร ๓ ในตอนนั้น คือ กายสังขาร ได้แก่ กายสุจริต กายทุจริต วจีสังขารได้แก่ วจีสุจริต วจีทุจริต และจิตตสังขาร ได้แก่ มโนสุจริต และมโนทุจริต ในมโนสุจริต ได้แก่ มหากุศลเจตนา ๘ รุปกุศลเจตนา ๕ และอรูปกุศลเจตนา ๔
-ในภพนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะมีวิปาก ที่สมควรได้รับ คือ วิญญาน นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
-ด้วยกิเลสที่สะสมไว้ด้วยความไม่รู้ในกาลก่อน จึงมี ตัณหา มีอุปทาน และมีกัมมภวะซึ่งเป็นเจตนาที่สำเร็จลงแล้วในปัจจุบัน ก็เป็น สหชาตะกัมมะปัจจัย ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
-และแน่นอน สร้างภพชาติรอเป็น อุปปัติภวะ อัน มีชาติชรามรณะ พร้อมอนิฏฐผล ๕ รอไว้แล้ว
-การเรียนพระอภิธรรม เพื่อความเข้าใจเรื่องเหล่านี้นี้เอง ในส่วนหนึ่ง จึงทำให้ผู้เรียนมีความรู้ในขั้นสุตตะมะยะปัญญา และสามารถจินตามยปัญญาได้ในระดับหนึ่ง
-ดังนั้นแม้จะไม่ได้นั่ง นอน ยืน เดิน ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เพื่อฝึกสติ แต่ด้วยความเข้าใจก็สามารถโยนิโสมนสิการ การกระทำไว้ในใจอย่างแยบคายได้เมื่อ เวทนาเกิด มีสติในระดับหนึ่งตามรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้น และปกป้องจิตของตนเท่าที่ทำได้ไม่ให้เกิด สหชาตกัมมะปัจจัย ขึ้นให้ได้มากที่สุดตามความสามารถของตน
-เมื่อไม่มีเจตนา เกิดขึ้น ด้วยความรู้ อุปปัตติภวะ ก็ไม่เกิดรอ ชาติ ชรา มรณะ ก็ไม่มี
-แต่เนื่องจากการนอนเนื่องของอาสวะ ทั้งหลาย ก็จึงยังไม่สามารถทำให้ไม่มีเจตนาเกิดได้ในทุกขณะ ดังนั้น จึงต้องฝึกสติปัฏฐาน เพื่อมีสติ มีมหาสติ เกิดสัมปชัญญะ ด้วย อาตาปี หรือ ความเพียรชอบ ต่อไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์
-นี้แหละผู้เรียนพระอภิธรรมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
-ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่เกิดขึ้นได้เมื่อได้อ่านกระทู้นี้ทุกท่านครับ