เมื่อเรียนเรื่อง ปัจจยสังคหวิภาค ในตอน สังขาร ๓ เป็นปัจจัยอุปการะแก่วิญญาน (ปฏิจจสมุปบาท ข้ามภพข้ามชาติ )
ได้มีการกล่าวถึง สังขาร ๓ เป็นปัจจัยให้แก่วิญญาน
ว่า อปุญญาภิสังขาร อกุศลเจตนา ๑๑ เว้น อุทธัจจะเจตสิก ส่งผลดวงเดียว คือ อเหตุกอกุศลจิต ๑ ส่งผลในปฏิสนธิกาล (ในปฏิสนธิวิญญาน ๑๙(เป็นผล))
ว่า อปุญญาภิสังขาร อกุศลเจตนา ๑๒ ส่งผลได้ ๗ ดวง คือ อกุศลวิปากจิต ๗ ส่งผลในปวัตติกาล (ในปวัตติวิญญาน ๓๒ (เป็นผล))
เป็นต้น
ต่อมาก็แสดง อุกัฏฐะ กับ โอมกะ
ทีนี้พอแสดง อุกัฏฐะ ว่าจะเป็นได้ต้องมีคุณธรรม ๓ ประการ ได้แก่ ธัมมนิยลัทถวัตถุ วัตถุที่ได้มาบริสุทธิ์ แรงกล้าด้วยเจตนา ๓ ปุพพะ มุญจะ และอะปะระ และ บุญกิริยวัตถุ ๑๐ อย่าง ก็เลยสงสัยว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างเป็นเช่นไร ที่จะทำให้เจตนาเป็นอุกัฏฐะ และถ้าเป็นมหากุศลก็เป็นมหากุศลดวงที่ ๑ ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญานเป็นติเหตุได้ในกาลต่อไป
--และเมื่อไปค้นในพระไตรปิฎกกลับเจอคำว่า วิเวก และธรรมที่เนิ่นช้า เข้าเห็นว่า ดีมีประโยชน์เลยนำมาให้อ่านกัน
การแสดงพระสัทธรรมในวันนี้ เรื่องบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่ทำให้กุศลที่เกิดเป็นมหากุศลญานสัมปยุตดวงที่ ๑
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ บุญกิริยาวัตถุ 10 หมายถึง ที่ตั้งแห่งการกระทำความดี ๑๐ อย่าง หมายถึง กุศลจิตที่มีกำลังจนทำให้มีการกระทำออกมาทางกาย วาจาหรือทางใจ ได้แก่ ...๑.ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้วัตถุเพื่อสงเคราะห์หรือบูชาแก่ผู้อื่น
๒.ศีลมัย บุญสำเร็จจากการงดเว้นจากทุจริต หรือประพฤติสุจริตทางกาย วาจา
๓.ภาวนามัย บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลส (สมถภาวนา) และการอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสทั้งปวง(วิปัสสนาภาวนา)
๔.อปจายนมัย บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
๕.เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จจากการขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
๖.ปัตติทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
๗.ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
๘.ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม
๙.ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริง
ที่มา https://www.dhammahome.com/webboard/topic18789.html
ว่าด้วยวิเวก ๓ อย่าง
[๗๐๑] ชื่อว่า วิเวก ในคำว่า ผู้สงัด มีสันติบท แสวงหาคุณใหญ่ดังนี้ วิเวกมี
๓ อย่าง คือ กายวิเวก ๑ จิตวิเวก ๑ อุปธิวิเวก ๑.
...จิตวิเวกเป็นไฉน?
...(เมื่อภิกษุนั้น) เป็นพระโสดาบัน มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกัน
กับสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น
...เป็นพระสกทาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างหยาบๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราค-
*สังโยชน์เป็นต้นนั้น
...เป็นพระอนาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กาม-*ราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างละเอียดๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์ เป็นต้นนั้น
...เป็นพระอรหันต์ มีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่า จิตวิเวก.
...อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่า อุปธิ. อมตนิพพาน
เรียกว่าอุปธิวิเวก. ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้น
ตัณหา เป็นที่สำรอกตัณหา เป็นที่ดับตัณหา เป็นที่ออกไปจากตัณหาเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่า
อุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตวิเวก ย่อมมีแก่
บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมด
อุปธิ ถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
ว่าด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า
[๗๐๕] คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลส
ที่เป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ธรรมเครื่องเนิ่น
ช้านั่นแหละ ชื่อว่าส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ได้แก่ ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ
ตัณหา และส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ ทิฏฐิ.
รากเหง้าของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหาเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิ
มานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเหง้าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=29&item=700
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
---ก็เพิ่งรู้นะครับ ว่าการแสดงธรรมแบบนี้เรียกว่า ธรรมเทสนามัย เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุหนึ่งใน ๑๐ อย่าง เป็นการสร้างมหากุศลให้เกิดขึ้นได้อย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นสหชาตะกัมมะปัจจัย ส่งให้เป็นพลวนานักขณิกกัมมะปัจจัยในภพในกาลต่อๆไป
---และก็เพิ่งรู้นะครับว่า การอนุโมทนา ก็เป็น บุญกิริยาวัตถุ หนึ่งใน ๑๐ อีกเหมือนกัน
---จขกท อาจตั้งกระทู้นี้ไม่ดีนัก แต่หากท่านสมาชิกท่านใดค้นคว้าเพิ่มเติมเกิดความเข้าใจ เกิดมหากุศลญานสัมปยุตได้ จขกท ก็ขออนุโมทนา ครับ
---ส่วนท่านใดเกิด อกุศลจิต ก็ต้องขออโหสิกรรมด้วยนะครับ
---จขกท หวังว่า ทุกท่านคงจะเกิด มหากุศลไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งในแปดนะครับ เพื่อเป็นสหชาตกัมมปัจจัย ส่งผลเป็น พลวนานักขณิกกัมมะปัจจัย ในกาลต่อๆไป
อุกัฏฐะ
ได้มีการกล่าวถึง สังขาร ๓ เป็นปัจจัยให้แก่วิญญาน
ว่า อปุญญาภิสังขาร อกุศลเจตนา ๑๑ เว้น อุทธัจจะเจตสิก ส่งผลดวงเดียว คือ อเหตุกอกุศลจิต ๑ ส่งผลในปฏิสนธิกาล (ในปฏิสนธิวิญญาน ๑๙(เป็นผล))
ว่า อปุญญาภิสังขาร อกุศลเจตนา ๑๒ ส่งผลได้ ๗ ดวง คือ อกุศลวิปากจิต ๗ ส่งผลในปวัตติกาล (ในปวัตติวิญญาน ๓๒ (เป็นผล))
เป็นต้น
ต่อมาก็แสดง อุกัฏฐะ กับ โอมกะ
ทีนี้พอแสดง อุกัฏฐะ ว่าจะเป็นได้ต้องมีคุณธรรม ๓ ประการ ได้แก่ ธัมมนิยลัทถวัตถุ วัตถุที่ได้มาบริสุทธิ์ แรงกล้าด้วยเจตนา ๓ ปุพพะ มุญจะ และอะปะระ และ บุญกิริยวัตถุ ๑๐ อย่าง ก็เลยสงสัยว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างเป็นเช่นไร ที่จะทำให้เจตนาเป็นอุกัฏฐะ และถ้าเป็นมหากุศลก็เป็นมหากุศลดวงที่ ๑ ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญานเป็นติเหตุได้ในกาลต่อไป
--และเมื่อไปค้นในพระไตรปิฎกกลับเจอคำว่า วิเวก และธรรมที่เนิ่นช้า เข้าเห็นว่า ดีมีประโยชน์เลยนำมาให้อ่านกัน
การแสดงพระสัทธรรมในวันนี้ เรื่องบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่ทำให้กุศลที่เกิดเป็นมหากุศลญานสัมปยุตดวงที่ ๑
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ว่าด้วยวิเวก ๓ อย่าง
[๗๐๑] ชื่อว่า วิเวก ในคำว่า ผู้สงัด มีสันติบท แสวงหาคุณใหญ่ดังนี้ วิเวกมี
๓ อย่าง คือ กายวิเวก ๑ จิตวิเวก ๑ อุปธิวิเวก ๑.
...จิตวิเวกเป็นไฉน?
...(เมื่อภิกษุนั้น) เป็นพระโสดาบัน มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกัน
กับสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น
...เป็นพระสกทาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างหยาบๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราค-
*สังโยชน์เป็นต้นนั้น
...เป็นพระอนาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กาม-*ราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างละเอียดๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์ เป็นต้นนั้น
...เป็นพระอรหันต์ มีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่า จิตวิเวก.
...อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่า อุปธิ. อมตนิพพาน
เรียกว่าอุปธิวิเวก. ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้น
ตัณหา เป็นที่สำรอกตัณหา เป็นที่ดับตัณหา เป็นที่ออกไปจากตัณหาเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่า
อุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตวิเวก ย่อมมีแก่
บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมด
อุปธิ ถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
ว่าด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า
[๗๐๕] คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลส
ที่เป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ธรรมเครื่องเนิ่น
ช้านั่นแหละ ชื่อว่าส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ได้แก่ ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ
ตัณหา และส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ ทิฏฐิ.
รากเหง้าของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหาเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิ
มานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเหง้าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
---ก็เพิ่งรู้นะครับ ว่าการแสดงธรรมแบบนี้เรียกว่า ธรรมเทสนามัย เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุหนึ่งใน ๑๐ อย่าง เป็นการสร้างมหากุศลให้เกิดขึ้นได้อย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นสหชาตะกัมมะปัจจัย ส่งให้เป็นพลวนานักขณิกกัมมะปัจจัยในภพในกาลต่อๆไป
---และก็เพิ่งรู้นะครับว่า การอนุโมทนา ก็เป็น บุญกิริยาวัตถุ หนึ่งใน ๑๐ อีกเหมือนกัน
---จขกท อาจตั้งกระทู้นี้ไม่ดีนัก แต่หากท่านสมาชิกท่านใดค้นคว้าเพิ่มเติมเกิดความเข้าใจ เกิดมหากุศลญานสัมปยุตได้ จขกท ก็ขออนุโมทนา ครับ
---ส่วนท่านใดเกิด อกุศลจิต ก็ต้องขออโหสิกรรมด้วยนะครับ
---จขกท หวังว่า ทุกท่านคงจะเกิด มหากุศลไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งในแปดนะครับ เพื่อเป็นสหชาตกัมมปัจจัย ส่งผลเป็น พลวนานักขณิกกัมมะปัจจัย ในกาลต่อๆไป