JJNY : เดือด! ตะโกนด่า'ประยุทธ์'│‘เพื่อไทย’ยันมีนโยบายลดเหลื่อมล้ำ│‘ศิริกัญญา’ชงแก้ระบบปรับค่าแรงขั้นต่ำ│รัสเซียเสียทหาร

เดือด! ตะโกนด่า 'ประยุทธ์' ชู3นิ้ว จนท.โหดปิดปาก-ลากตัวออก โวยนักข่าวถ่ายภาพ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7555998
 
 
บ้านโป่งเดือด กลุ่มเห็นต่างราชบุรีดักตะโกนด่า ‘ประยุทธ์’ ชู 3 นิ้ว จนท.โหดปิดปาก กระชาก-ลากออกนอกพื้นที่ แถมยังโวยห้ามนักข่าวถ่ายภาพ
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 มี.ค. 66 ที่ศาลเจ้าแม่เบิกไพร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางสักการะเจ้าแม่เบิกไพร ณ ศาลเจ้าแม่เบิกไพร อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ ก่อนที่เวลา 11.30 น.พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมายังศาลาประชาคมเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง เพื่อตรวจติดตามแนวทางในการพัฒนาอำเภอบ้านโป่ง
  
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางถึงประมาณ 10 นาที เกิดเหตุชุลมุนขึ้นระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน และประชาชนผู้เห็นต่างเป็นสุภาพสตรีสูงอายุ 1 คน จะมายืนดักขบวนนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงออก พร้อมตะโกนด่าและตำหนิการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบ 2 นาย พยายามเข้าสกัด และเข้าไปนำตัวหญิงสูงอายุเพื่อนำตัวออกไป
  
โดยดึงตัวเข้าไปยังซอกรถตู้ และเอาร่มกาง เพื่อกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเก็บภาพ และบางช่วงได้เอามือปิดปาก เพื่อไม่ให้หญิงสูงอายุตะโกนใส่ขบวนรถนายกรัฐมนตรี แต่ช่วงหนึ่งมือของเจ้าหน้าที่หลุดจากป้าของหญิงสูงวัย ช่วงที่ขบวนรถของ พล.อ.ประยุทธ์ผ่านพอดี หญิงสูงวัยจึงตะโกนด่า
 
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงได้ลากตัวขึ้นไปยังรถตู้ตำรวจ เพื่อออกนอกพื้นที่ไป ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปเพื่อห้ามปรามและถ่ายภาพ เจ้าหน้าที่กลับมองหน้าพร้อมจับและผลักแขน พร้อมมองมาที่บัตรประจำตัวคล้องคอ ก่อนจะอ้างแบบกำปั้นทุบดินว่า “จะพาป้าไปหาหมอ” โดยมีกองเชียร์สนับสนุนว่า”ป้าเขาจะเป็นลม” 
  
ขณะที่หญิงอีกราย สวมเสื้อยืดสีดำซึ่งอยู่ในวงล้อมของเจ้าหน้าที่ และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ชู 3 นิ้ว แสดงความเห็นต่าง เจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน พยายามห้ามไม่ให้เคลื่อนไหว​ โดยและขอให้หญิงอะไรดังกล่าวออกนอกพื้นที่ อย่าทำให้เสียชื่อคนบ้านโป่ง แต่หญิงที่สวมเสื้อยืดสีดำไม่ยอม เจ้าหน้าที่จึงใช้ร่มกางช่วงที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีผ่าน รวมทั้งกันไม่ให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ 
 
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปบันทึกภาพ เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ได้เข้ามาสอบถามว่าถ่ายทำไม และพยายามขอดูบัตรสื่อมวลชนและกันไม่ให้ถ่าย


 
‘เพื่อไทย’ ยัน มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ลั่นนโยบายดีๆ ใครๆ ก็พูดได้ แต่พรรคที่ทำได้คือ พท.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3870280
  
‘เพื่อไทย’ ชี้ ต้องสร้างรายได้ภายใต้ 8 ปีที่ผ่านมา ยัน มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทั้งเอสเอ็มอี-การศึกษา ลั่นนโยบายดีๆ ใครๆ ก็พูดได้ แต่พรรคที่ทำได้คือ พท.
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 เวทีแรกของแคมเปญ “มติชน: เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย” ซึ่งจัดที่โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) ภายใต้หัวข้อ “ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง” ที่มีตัวแทนจาก 8 พรรคการเมืองร่วมขึ้นเวทีประชันนโยบาย
 
โดยรอบที่ 2 เป็นการดีเบตในหัวข้อ “เตรียมนโยบายและมาตรการอะไรบ้าง เพื่อจะแก้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย-คนจน ธุรกิจขนาดใหญ่-ผู้ค้าขายรายย่อย” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรค พท.ชัดเจนว่าหน้าที่ของเราคือการสร้างรายได้ภายใต้ 8 ปีที่เศรษฐกิจถดถอย ล้าหลัง สิ่งสำคัญคือเราแก้ทุกมิติ เศรษฐกิจจะเติบโตได้ รากฐานหรือคนที่อยู่มีรายได้น้อยจะต้องได้รับการดูแลก่อน เมื่อรดน้ำที่รากจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน จะมีการจ้างงานได้มากขึ้น รัฐบาลจะมีภาษีเพิ่มมากขึ้นและภาษีนี้จะกลับมาดูแลเรื่องสวัสดิการต่างๆ ให้ยกขึ้น วันนี้ทุกคนพูดถึงเรื่องการใช้เงินเพื่อสวัสดิการ แต่ที่มาของเงินต้องมาจากรายได้ ซึ่งเรื่องของความเหลื่อมล้ำนั้น มีผลศึกษาว่าการที่ทำให้เศรษฐกิจของชนชั้นบนเพิ่มขึ้น 1% ภาพรวมของจีดีพีถอยลงไป 0.8 แต่ในทางตรงข้ามหากมารองรับในส่วนล่าง 20% จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.48 ฉะนั้น หน้าที่ของเราการแก้ปัญหาของรากฐานหรือผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่แก้เพื่อคนมีรายได้น้อยแต่เป็นการยกระดับขึ้นมาทั้งในระดับเศรษฐกิจและไปทั้งประเทศ มาตรการเหล่านี้พรรค พท.คิดไว้ครบทุกมิติ เบื้องต้นเราอาจจะต้องแก้ปัญหาในระยะสั้น คือทำให้การท่องเที่ยวกลับเข้ามา เรื่องที่สองคือเรื่องภาคเกษตร เราจะเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็น 3 เท่าภายใน 4 ปี ส่วนที่สาม ธุรกิจเอสเอ็มอี ปัจจัยที่สำคัญคือเรื่องของการตลาดและการเงิน วิธีการเพิ่มผลผลิต เราจะดูแลแน่นอน
 
นพ.พรหมินทร์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการส่งต่อความเหลื่อมล้ำ มันอยู่ที่เรื่องของการศึกษา เพราะ 25% ของความเหลื่อมล้ำเกิดจากการศึกษา ฉะนั้น เราจึงมีเรื่องนโยบายการศึกษาที่จะดูแล เรียนรู้เพื่อรายได้ เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่มาจัดการ อย่างไรก็ตาม การที่เราเสนอคำขวัญคิดใหญ่ ทำเป็น เพราะพรรค พท.ใช้การคิดแบบภาพรวมทุกเรื่อง ตั้งแต่ต่างประเทศมาจนถึงในประเทศนำไปถึงการทำให้เป็นจริง รวมถึงเราหาคำตอบ ซึ่งยืนยันว่าเราหาคำตอบได้ และเราจะแก้ทุกมิติ รวมถึงแสวงหาศักยภาพซ้อนเร้นที่ถูกลืม นอกจากนี้เราจะหยิบซอฟต์พาวเวอร์จากครอบครัวมาสร้างรายได้ เราเห็นความสำคัญของการศึกษา เรียนรู้เพื่อสร้างรายได้ เราจึงจะยกระดับไปพร้อมๆ กันตั้งแต่ข้างล่าง แล้วความเหลื่อมล้ำจะหายไป นโยบายดีๆ ใครๆ ก็พูดได้ แต่พรรคที่ทำได้คือพรรค พท.
 


‘ศิริกัญญา’ ชง แก้ระบบปรับค่าแรงขั้นต่ำ ให้ปรับเพิ่มทุกปี ไม่ต้องรอเลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3870331

‘ศิริกัญญา’ ชง แก้ระบบปรับค่าแรงขั้นต่ำ ให้ปรับเพิ่มทุกปี ไม่ต้องรอเลือกตั้ง เสริมแกร่ง ศก.ฐานราก ไม่ต้องให้ใครต้องเสียสละเพื่อประเทศเดินหน้า
 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 เวทีแรกของแคมเปญ “มติชน: เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย” ซึ่งจัดที่โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) ภายใต้หัวข้อ “ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง” ที่มีตัวแทนจาก 8 พรรคการเมืองร่วมขึ้นเวทีประชันนโยบาย
  
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในหัวข้อ ค่าแรงขั้นต่ำที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี ว่า พรคก้าวไกลมีแนวทางจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน แต่ประเด็นที่สำคัญคือค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นทุกปี โดยพิจารณาจากเงินเฟ้อ หรืออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ว่าอันไหนจะขึ้นมากกว่ากัน เพราะแรงงานในระบบเบื่อเหลือเกินที่จะต้องรอให้ค่าแรงขั้นต่ำถูกกำหนดจากแต่ละพรรคการเมือง หรือรอให้มีการเลือกตั้งว่าค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเท่าไหร่ เราจึงต้องวางระบบให้ค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถเพิ่มขึ้นทุกปี ถึงวันที่จะต้องมีการประชุมไตรภาคี ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ มีข้อเสนอวางบนโต๊ะทันที ว่าปีนี้ค่าแรงขั้นต่ำควรจะเป็นเท่าไหร่ เพื่อยุติการนำเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมาใช้เป็นนโยบายหาเสียง เพิ่มอำนาจต่อรองให้แรงงานทุกคน
 
นอกจากนี้ ต้องกำหนดให้แรงงานเรียนรู้เพิ่มทักษะ หรือปรับเปลี่ยนอาชีพได้ พรรคก้าวไกลจึงมีโปรแกรมฝึกอบรมทั้งแบบออฟไลน์และแบบออนไลน์ เพิ่มทักษะของตัวเองให้คนที่อยากจะเปลี่ยนอาชีพ และเป็นการเพิ่มค่าตอบแทนได้อย่างยั่งยืน

น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลมีนโยบายที่จะลดผลกระทบให้กับเอสเอ็มอีจากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยการงดจ่ายประกันสังคม 6 เดือน และการนำค่าแรงมาลดหย่อนภาษีได้สองเท่า เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปพร้อมกันได้ และให้แรงงานมีอำนาจต่อรองกับนายจ้างได้ ทำให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง โดยไม่ต้องมีใครเสียสละเพื่อให้ประเทศเติบโตได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่