ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงและสังคมก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว
สถิติการเกิดที่ลดลง:
• ในช่วงปี 2506-2526 ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยปีละประมาณ 1,000,000 คน โดยในปี 2514 มีจำนวนสูงสุดถึง 1,200,000 คน
• ตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีเด็กเกิดใหม่ 544,570 คน และในปี 2565 ลดลงเหลือ 502,107 คน 
• คาดว่าในปี 2568 จำนวนเด็กเกิดใหม่จะต่ำกว่า 500,000 คน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 700,000 คน 
ผลกระทบต่อสังคม:
• การลดลงของอัตราการเกิดทำให้สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด 
• คาดการณ์ว่าในปี 2643 (ค.ศ. 2100) หากอัตราการเกิดยังคงต่ำเช่นนี้ ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 32 ล้านคน 
สาเหตุของการลดลง:
• คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไม่อยากมีลูก เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความไม่มั่นคงทางการเงิน และความเหลื่อมล้ำในสังคม 
• การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยม ทำให้การมีลูกไม่ใช่เป้าหมายหลักของหลายครอบครัว
แนวทางการแก้ไข:
• รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณานโยบายสนับสนุนการมีบุตร เช่น การให้สวัสดิการที่เหมาะสม การสนับสนุนด้านการศึกษา และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตร
• การปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
สังคมในปัจจุบันมีสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการเติบโตของคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจน หลายคนที่เคยสัมผัสกับสถานการณ์เหล่านี้ต่างให้เหตุผลคล้ายกันว่า “ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จะให้เด็กเกิดมาลำบากทำไม” นี่สะท้อนถึงความท้าทายในการดำรงชีวิต ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และโครงสร้างสังคมที่ไม่เอื้อให้คนรุ่นใหม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผลกระทบในระยะเวลาอันใกล้ (5-10 ปี):
1. วิกฤตสถาบันการศึกษา:
• จำนวนเด็กนักเรียนนักศึกษาจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
• หลายคณะในมหาวิทยาลัยอาจต้องปิดตัว เนื่องจากไม่มีนักศึกษาเข้าเรียนเพียงพอ
• อาคารเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกสร้างไว้จะถูกปล่อยทิ้งร้าง
2. วิกฤตอสังหาริมทรัพย์:
• บ้านและคอนโดที่ถูกพัฒนาขึ้นจะกลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อหรือผู้เช่าเพียงพอ
• ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจเข้าสู่สภาวะซบเซาอย่างรุนแรง
3. วิกฤตพื้นที่เชิงพาณิชย์:
• ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าจะเงียบเหงา ขาดผู้คนเดินทางไปใช้บริการ
• พื้นที่ให้เช่าทางการค้าจะลดความน่าสนใจ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวลงเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้อาจสร้างความตื่นตระหนก (panic) ให้แก่สังคมในวงกว้าง แม้ยังไม่ถึง 60 ปีที่ประชากรไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคนตามการคาดการณ์ แต่ปัญหาเหล่านี้อาจเริ่มส่งผลกระทบชัดเจนในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับตัวและแก้ไขอย่างจริงจัง
การลดลงของอัตราการเกิดเป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไข เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและสร้างสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
อึ้ง ! คนไทยไม่ค่อยมีลูก เผย 3 วิกฤตที่ส่งผลกระทบ
สถิติการเกิดที่ลดลง:
• ในช่วงปี 2506-2526 ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยปีละประมาณ 1,000,000 คน โดยในปี 2514 มีจำนวนสูงสุดถึง 1,200,000 คน
• ตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีเด็กเกิดใหม่ 544,570 คน และในปี 2565 ลดลงเหลือ 502,107 คน 
• คาดว่าในปี 2568 จำนวนเด็กเกิดใหม่จะต่ำกว่า 500,000 คน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 700,000 คน 
ผลกระทบต่อสังคม:
• การลดลงของอัตราการเกิดทำให้สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด 
• คาดการณ์ว่าในปี 2643 (ค.ศ. 2100) หากอัตราการเกิดยังคงต่ำเช่นนี้ ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 32 ล้านคน 
สาเหตุของการลดลง:
• คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไม่อยากมีลูก เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความไม่มั่นคงทางการเงิน และความเหลื่อมล้ำในสังคม 
• การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยม ทำให้การมีลูกไม่ใช่เป้าหมายหลักของหลายครอบครัว
แนวทางการแก้ไข:
• รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณานโยบายสนับสนุนการมีบุตร เช่น การให้สวัสดิการที่เหมาะสม การสนับสนุนด้านการศึกษา และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตร
• การปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
สังคมในปัจจุบันมีสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการเติบโตของคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจน หลายคนที่เคยสัมผัสกับสถานการณ์เหล่านี้ต่างให้เหตุผลคล้ายกันว่า “ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จะให้เด็กเกิดมาลำบากทำไม” นี่สะท้อนถึงความท้าทายในการดำรงชีวิต ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และโครงสร้างสังคมที่ไม่เอื้อให้คนรุ่นใหม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผลกระทบในระยะเวลาอันใกล้ (5-10 ปี):
1. วิกฤตสถาบันการศึกษา:
• จำนวนเด็กนักเรียนนักศึกษาจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
• หลายคณะในมหาวิทยาลัยอาจต้องปิดตัว เนื่องจากไม่มีนักศึกษาเข้าเรียนเพียงพอ
• อาคารเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกสร้างไว้จะถูกปล่อยทิ้งร้าง
2. วิกฤตอสังหาริมทรัพย์:
• บ้านและคอนโดที่ถูกพัฒนาขึ้นจะกลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อหรือผู้เช่าเพียงพอ
• ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจเข้าสู่สภาวะซบเซาอย่างรุนแรง
3. วิกฤตพื้นที่เชิงพาณิชย์:
• ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าจะเงียบเหงา ขาดผู้คนเดินทางไปใช้บริการ
• พื้นที่ให้เช่าทางการค้าจะลดความน่าสนใจ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวลงเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้อาจสร้างความตื่นตระหนก (panic) ให้แก่สังคมในวงกว้าง แม้ยังไม่ถึง 60 ปีที่ประชากรไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคนตามการคาดการณ์ แต่ปัญหาเหล่านี้อาจเริ่มส่งผลกระทบชัดเจนในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับตัวและแก้ไขอย่างจริงจัง
การลดลงของอัตราการเกิดเป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไข เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและสร้างสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต