เศรษฐกิจไทยในสังคมชราภาพ: บริบทใหม่ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเหลือมล้ำทางรายได้
การเข้าถึงเงินทุนและการพัฒนาทักษะแรงงานเฉพาะด้านจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่อไปภายใต้สังคมชราภาพ
การเข้าสู่สังคมชราภาพของประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโต ทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มที่จะโตได้ช้าลง โครงสร้างลักษณะอาชีพของแรงงานไทยในอนาคตอาจซ้ำเติมให้ปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้น บทความนี้นำเสนอการศึกษาผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมชราภาพต่อเศรษฐกิจ รวมถึงนำเสนอแนวนโยบายที่อาจมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
สถานการณ์ทางด้านประชากรของประเทศไทย
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 10 (ผู้สูงอายุ หมายถึงประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ ไปแล้ว ในทศวรรษที่ผ่านมาจำนวนประชากรผู้สูงอายุยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขสำรวจในปี พ.ศ. 2557 พบว่าผู้สูงอายุมีสัดส่วนถึงร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งประเทศ หรือคิดเป็นจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดประมาณ 10 ล้านคน แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว ยังจะคงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต การประมาณการโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ในปี พ.ศ. 2583 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 3 โดยสัดส่วนของประชากรเด็กจะเหลือเพียงร้อยละ 12.8 เท่านั้น นอกจากนี้ ในอีก 12 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรไทยจะเริ่ม ‘ลดลง’ และในอีก 25 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีจำนวนประชากรลดลงกว่า 1 ล้านคนจากปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้น แม้จะสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เป็นผลมาจากนโยบายที่ตั้งใจผลักดันให้เกิดขึ้น รวมถึงจากการเปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นตามระดับการพัฒนา ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จมากในการวางแผนครอบครัว ในช่วง พ.ศ. 2515 – 2538 อัตราการเติบโตของประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 3.3 มาเป็นร้อยละ 1.2 ส่งผลให้สัดส่วนบุตรต่อมารดาลดลงจาก 5.8 คน มาเป็น 2.2 คนในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนั้น ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) ของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนโยบายที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น อย่างไรก็ดี เราคงจะต้องทำความเข้าใจถึงผลกระทบต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อทำให้การพัฒนาประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บทความนี้รวบรวมประเด็นผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมชราภาพต่อมิติทางเศรษฐกิจ รวมถึงนำเสนอแนวนโยบายที่อาจมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
สังคมชราภาพส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?
การเข้าสู่สังคมชราภาพของประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ในเชิงปริมาณนั่นหมายถึงจำนวนปัจจัยการผลิตของประเทศที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มที่จะโตได้ช้าลงในอนาคต เนื่องจากสัดส่วนคนทำงานลดลง ดังนั้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เราเคยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยโตในอัตรา 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ คงจะเห็นได้ยากขึ้นในอนาคต
งานวิจัยของ Bisonyabut (2013) และ Ariyasajjakorn and Manprasert (2014) คาดการณ์ไว้ว่าสัดส่วนแรงงานที่ลดลงในอนาคตอาจทำให้ Potential GDP Growth ของประเทศไทยหายไปถึงร้อยละ 1 – 1.6 กล่าวคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.5 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาจชะลอลงเป็นร้อยละ 3 – 3.5% เท่านั้นในอนาคต นั่นหมายถึงว่า คุณภาพชีวิตของคนไทยจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง 2 เท่า หากเวลาผ่านไป 70 ปี สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือประเทศไทยจะ ‘แก่ก่อนรวย’ การขาดแคลนปัจจัยการผลิตพื้นฐานในขณะที่เรายังไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจทำให้ประเทศไทย ‘ติดกับดักรายได้ปานกลาง’ ตลอดไปก็เป็นได้
นอกเหนือไปจากผลกระทบด้าน ‘จำนวนแรงงาน’ ที่ลดลงแล้ว โครงสร้างของตลาดแรงงานและลักษณะการเลือกอาชีพของผู้มีงานทำก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอาจทำให้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โครงสร้างอาชีพของแรงงานไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต?
ในปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีสัดส่วนแรงงานที่เป็น ผู้จ้างงานตนเอง (self-employed) ประมาณร้อยละ 35 ของจำนวนแรงงานทั้งหมด ทั้งนี้คนทำงานวัย 50-60 ปี มีจำนวนมากกว่าร้อยละ 50 ที่เป็นผู้จ้างงานตนเอง ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอยู่ในภาคเกษตรกรรมและค้าขาย ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มแรงงานมักจะเป็นลูกจ้างเมื่อมีอายุน้อย และมีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพจ้างงานตนเองหรือเป็นนายจ้างเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนั้น ในกลุ่มแรงงานที่มีอายุสูงก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้จ้างงานตนเองเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015) พบว่าในปี 2035 จะมีแรงงานวัย 50-60 ปีสูงขึ้นมาก และเป็นผู้จ้างงานตนเองมากกว่าร้อยละ 60 ดังนั้นผลจากการเข้าสู่สังคมชราภาพและลักษณะโครงสร้างที่เปลี่ยนไปของลักษณะการประกอบอาชีพภายในกลุ่มแรงงานเอง ล้วนช่วยส่งเสริมให้ตลาดแรงงานของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะประกอบไปด้วยแรงงานที่เป็นผู้จ้างงานตนเองมากขึ้นในอนาคต
รูปที่ 1 ลักษณะอาชีพของผู้มีงานทำตามอายุ
ที่มา: Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015)
ผลกระทบจากโครงสร้างการเลือกอาชีพของแรงงานไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต?
หากกำลังแรงงานในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเลือกอาชีพที่เป็นการจ้างงานตนเองมากขึ้น ลักษณะอาชีพดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพการผลิตต่ำกว่าการเป็นเจ้าของกิจการหรือลูกจ้าง ดังนั้นจึงสามารถส่งผลให้การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศชะลอตัวลงได้ การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเลือกอาชีพที่มีประสิทธิภาพต่ำของกำลังแรงงานไทยในอนาคต อาจส่งผลให้ผลผลิตต่อหัวโดยรวม ของประเทศลดลงได้ถึงร้อยละ 30 ในอีก 30 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ หากแรงงานส่วนใหญ่ในอนาคตมีความแตกต่างกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทักษะการทำงานหรือการถือครองสินทรัพย์ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการหารายได้ที่แตกต่างกันมากขึ้น ก็อาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต จากข้อมูลการสำรวจฯ พบว่าแรงงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง (self-employed) ซึ่งได้แก่ผู้จ้างงานตนเองและเจ้าของกิจการจะมีรายได้แตกต่างกันมากกว่าหากเปรียบเทียบกับการกระจายตัวของรายได้ภายในผู้มีงานทำที่เป็นลูกจ้าง
รูปที่ 2 การกระจายตัวของรายได้ผู้มีงานทำตามลักษณะอาชีพ
ที่มา: Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015)
พื้นที่การกระจายตัวของรายได้ผู้จ้างงานตนเองแสดงให้เห็นว่าแรงงานส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มีรายได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ย และมีความแตกต่างของรายได้ภายในกลุ่มสูง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความสามารถของแรงงาน สินทรัพย์ที่ถือครอง และขนาดของธุรกิจ ดังนั้นจากข้อมูลโครงสร้างรายได้ของแรงงานเราจึงพบว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้โดยรวมจะเป็นผลมาจากความแตกต่างของรายได้แรงงานภายในกลุ่มผู้ที่เป็นเจ้านายตัวเองเป็นส่วนใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำภายในกลุ่มแรงงานผู้ที่เป็นเจ้านายตัวเองมีค่ามากกว่าความเหลื่อมล้ำภายในกลุ่มที่เป็นลูกจ้างถึง 4 เท่าตัว
นอกจากผลกระทบทางตรงดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ผลกระทบทางอ้อมจากการตึงตัวของอุปทานในตลาดแรงงานส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กิจการขนาดเล็กมีต้นทุนเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพต่ำอาจถูกผลักออกจากระบบและกลายมาเป็นผู้จ้างงานตนเองที่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งจะส่งผลในทางลบเพิ่มเติมไปยังผลิตภาพการผลิตของประเทศที่ลดลงและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ จะทำให้ผลในทางลบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรต่อผลผลิตต่อหัว ประสิทธิภาพการผลิต และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โดยผ่านแรงจูงใจให้แรงงานกลายมาเป็นผู้จ้างงานตนเองเนื่องจากมีต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลง
เราจะรับมือกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปอย่างไรในทางเศรษฐศาสตร์?
เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เราก็ต้องไปแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งหมายถึงต้องใช้เวลาและเป็นมาตรการระยะยาว ประเทศญี่ปุ่นได้เตรียมการมากกว่า 30 ปีที่จะรับมือกับเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้วนโยบายที่จะรับมือกับการเศรษฐกิจชราภาพมักจะเกี่ยวข้องกับการขยายอายุการเกษียณการทำงาน การเพิ่มการลงทุน การพัฒนาทุนมนุษย์ และการยกระดับนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระยะยาว
1.การขยายอายุเกษียณการทำงาน
2.การเพิ่มผลิตภาพการผลิตของประเทศ
3.การพัฒนาระบบการเงิน
อ่านต่อได้ที่ :
https://goo.gl/NW9YTS
เป็นบทความที่น่าสนใจดีน้า ลองไปอ่านดูจ้า
▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ เศรษฐกิจไทยในสังคมชราภาพ: บริบทใหม่ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเหลือมล้ำทางรายได้ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂
การเข้าถึงเงินทุนและการพัฒนาทักษะแรงงานเฉพาะด้านจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่อไปภายใต้สังคมชราภาพ
การเข้าสู่สังคมชราภาพของประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโต ทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มที่จะโตได้ช้าลง โครงสร้างลักษณะอาชีพของแรงงานไทยในอนาคตอาจซ้ำเติมให้ปัญหารุนแรงมากยิ่งขึ้น บทความนี้นำเสนอการศึกษาผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมชราภาพต่อเศรษฐกิจ รวมถึงนำเสนอแนวนโยบายที่อาจมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
สถานการณ์ทางด้านประชากรของประเทศไทย
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 10 (ผู้สูงอายุ หมายถึงประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ ไปแล้ว ในทศวรรษที่ผ่านมาจำนวนประชากรผู้สูงอายุยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขสำรวจในปี พ.ศ. 2557 พบว่าผู้สูงอายุมีสัดส่วนถึงร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งประเทศ หรือคิดเป็นจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดประมาณ 10 ล้านคน แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว ยังจะคงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต การประมาณการโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ในปี พ.ศ. 2583 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 3 โดยสัดส่วนของประชากรเด็กจะเหลือเพียงร้อยละ 12.8 เท่านั้น นอกจากนี้ ในอีก 12 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรไทยจะเริ่ม ‘ลดลง’ และในอีก 25 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีจำนวนประชากรลดลงกว่า 1 ล้านคนจากปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้น แม้จะสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็เป็นผลมาจากนโยบายที่ตั้งใจผลักดันให้เกิดขึ้น รวมถึงจากการเปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นตามระดับการพัฒนา ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จมากในการวางแผนครอบครัว ในช่วง พ.ศ. 2515 – 2538 อัตราการเติบโตของประชากรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 3.3 มาเป็นร้อยละ 1.2 ส่งผลให้สัดส่วนบุตรต่อมารดาลดลงจาก 5.8 คน มาเป็น 2.2 คนในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนั้น ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) ของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนโยบายที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น อย่างไรก็ดี เราคงจะต้องทำความเข้าใจถึงผลกระทบต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อทำให้การพัฒนาประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บทความนี้รวบรวมประเด็นผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมชราภาพต่อมิติทางเศรษฐกิจ รวมถึงนำเสนอแนวนโยบายที่อาจมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
สังคมชราภาพส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?
การเข้าสู่สังคมชราภาพของประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ในเชิงปริมาณนั่นหมายถึงจำนวนปัจจัยการผลิตของประเทศที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มที่จะโตได้ช้าลงในอนาคต เนื่องจากสัดส่วนคนทำงานลดลง ดังนั้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เราเคยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยโตในอัตรา 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ คงจะเห็นได้ยากขึ้นในอนาคต
งานวิจัยของ Bisonyabut (2013) และ Ariyasajjakorn and Manprasert (2014) คาดการณ์ไว้ว่าสัดส่วนแรงงานที่ลดลงในอนาคตอาจทำให้ Potential GDP Growth ของประเทศไทยหายไปถึงร้อยละ 1 – 1.6 กล่าวคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.5 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาจชะลอลงเป็นร้อยละ 3 – 3.5% เท่านั้นในอนาคต นั่นหมายถึงว่า คุณภาพชีวิตของคนไทยจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง 2 เท่า หากเวลาผ่านไป 70 ปี สิ่งที่น่ากังวลใจก็คือประเทศไทยจะ ‘แก่ก่อนรวย’ การขาดแคลนปัจจัยการผลิตพื้นฐานในขณะที่เรายังไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจทำให้ประเทศไทย ‘ติดกับดักรายได้ปานกลาง’ ตลอดไปก็เป็นได้
นอกเหนือไปจากผลกระทบด้าน ‘จำนวนแรงงาน’ ที่ลดลงแล้ว โครงสร้างของตลาดแรงงานและลักษณะการเลือกอาชีพของผู้มีงานทำก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอาจทำให้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โครงสร้างอาชีพของแรงงานไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต?
ในปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีสัดส่วนแรงงานที่เป็น ผู้จ้างงานตนเอง (self-employed) ประมาณร้อยละ 35 ของจำนวนแรงงานทั้งหมด ทั้งนี้คนทำงานวัย 50-60 ปี มีจำนวนมากกว่าร้อยละ 50 ที่เป็นผู้จ้างงานตนเอง ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอยู่ในภาคเกษตรกรรมและค้าขาย ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มแรงงานมักจะเป็นลูกจ้างเมื่อมีอายุน้อย และมีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพจ้างงานตนเองหรือเป็นนายจ้างเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนั้น ในกลุ่มแรงงานที่มีอายุสูงก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้จ้างงานตนเองเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015) พบว่าในปี 2035 จะมีแรงงานวัย 50-60 ปีสูงขึ้นมาก และเป็นผู้จ้างงานตนเองมากกว่าร้อยละ 60 ดังนั้นผลจากการเข้าสู่สังคมชราภาพและลักษณะโครงสร้างที่เปลี่ยนไปของลักษณะการประกอบอาชีพภายในกลุ่มแรงงานเอง ล้วนช่วยส่งเสริมให้ตลาดแรงงานของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะประกอบไปด้วยแรงงานที่เป็นผู้จ้างงานตนเองมากขึ้นในอนาคต
รูปที่ 1 ลักษณะอาชีพของผู้มีงานทำตามอายุ
ที่มา: Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015)
ผลกระทบจากโครงสร้างการเลือกอาชีพของแรงงานไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต?
หากกำลังแรงงานในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเลือกอาชีพที่เป็นการจ้างงานตนเองมากขึ้น ลักษณะอาชีพดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพการผลิตต่ำกว่าการเป็นเจ้าของกิจการหรือลูกจ้าง ดังนั้นจึงสามารถส่งผลให้การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศชะลอตัวลงได้ การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเลือกอาชีพที่มีประสิทธิภาพต่ำของกำลังแรงงานไทยในอนาคต อาจส่งผลให้ผลผลิตต่อหัวโดยรวม ของประเทศลดลงได้ถึงร้อยละ 30 ในอีก 30 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ หากแรงงานส่วนใหญ่ในอนาคตมีความแตกต่างกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นทักษะการทำงานหรือการถือครองสินทรัพย์ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการหารายได้ที่แตกต่างกันมากขึ้น ก็อาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต จากข้อมูลการสำรวจฯ พบว่าแรงงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง (self-employed) ซึ่งได้แก่ผู้จ้างงานตนเองและเจ้าของกิจการจะมีรายได้แตกต่างกันมากกว่าหากเปรียบเทียบกับการกระจายตัวของรายได้ภายในผู้มีงานทำที่เป็นลูกจ้าง
รูปที่ 2 การกระจายตัวของรายได้ผู้มีงานทำตามลักษณะอาชีพ
ที่มา: Arayavechkit, Manprasert, and Pinthong (2015)
พื้นที่การกระจายตัวของรายได้ผู้จ้างงานตนเองแสดงให้เห็นว่าแรงงานส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มีรายได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ย และมีความแตกต่างของรายได้ภายในกลุ่มสูง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความสามารถของแรงงาน สินทรัพย์ที่ถือครอง และขนาดของธุรกิจ ดังนั้นจากข้อมูลโครงสร้างรายได้ของแรงงานเราจึงพบว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้โดยรวมจะเป็นผลมาจากความแตกต่างของรายได้แรงงานภายในกลุ่มผู้ที่เป็นเจ้านายตัวเองเป็นส่วนใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำภายในกลุ่มแรงงานผู้ที่เป็นเจ้านายตัวเองมีค่ามากกว่าความเหลื่อมล้ำภายในกลุ่มที่เป็นลูกจ้างถึง 4 เท่าตัว
นอกจากผลกระทบทางตรงดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ผลกระทบทางอ้อมจากการตึงตัวของอุปทานในตลาดแรงงานส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กิจการขนาดเล็กมีต้นทุนเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพต่ำอาจถูกผลักออกจากระบบและกลายมาเป็นผู้จ้างงานตนเองที่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งจะส่งผลในทางลบเพิ่มเติมไปยังผลิตภาพการผลิตของประเทศที่ลดลงและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ จะทำให้ผลในทางลบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรต่อผลผลิตต่อหัว ประสิทธิภาพการผลิต และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โดยผ่านแรงจูงใจให้แรงงานกลายมาเป็นผู้จ้างงานตนเองเนื่องจากมีต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลง
เราจะรับมือกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปอย่างไรในทางเศรษฐศาสตร์?
เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เราก็ต้องไปแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งหมายถึงต้องใช้เวลาและเป็นมาตรการระยะยาว ประเทศญี่ปุ่นได้เตรียมการมากกว่า 30 ปีที่จะรับมือกับเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้วนโยบายที่จะรับมือกับการเศรษฐกิจชราภาพมักจะเกี่ยวข้องกับการขยายอายุการเกษียณการทำงาน การเพิ่มการลงทุน การพัฒนาทุนมนุษย์ และการยกระดับนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระยะยาว
1.การขยายอายุเกษียณการทำงาน
2.การเพิ่มผลิตภาพการผลิตของประเทศ
3.การพัฒนาระบบการเงิน
อ่านต่อได้ที่ : https://goo.gl/NW9YTS
เป็นบทความที่น่าสนใจดีน้า ลองไปอ่านดูจ้า