บึ้มลูกแรกปี 68 ตูมสนั่นคาด่านตรวจหน้าโรงเรียน สีกากีเจ็บ 3
https://www.isranews.org/article/south-news/other-news/134657-kalapobombpol.html
มาแล้ว! บึ้มลูกแรกของปี 68 คนร้ายซุกระเบิดป้ายสัญญาณไฟ “หยุดตรวจ” หน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ปัตตานี ทำตำรวจสายบุรี เจ็บ 3 นาย คาดก่อเหตุป่วนครบรอบ 21 ปีไฟใต้
เมื่อเวลา 10.30 น.วันศุกร์ที่ 3 ม.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุลอบวางระเบิดทำร้ายกำลังพลของโรงพัก ระหว่างตั้งด่านตรวจบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 ฝั่งขาเข้าปัตตานี บริเวณใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ต.เตราะบอน อ.สายบุรี
แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี ในที่เกิดเหตุยังพบป้ายสัญญาณไฟ “
หยุดตรวจ” ของ สภ.สายบุรี ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดด้วย
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องไปซุกซ่อนบริเวณที่เก็บแบตเตอรี่ป้ายสัญญาณไฟ “
หยุดตรวจ” ของ สภ.สายบุรี ซึ่งตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ โดยเป็นการตั้งทิ้งไว้หลังเลิกจุดตรวจก่อนหน้านี้ ไม่ได้นำกลับโรงพัก
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ขณะจอดรถกระบะแล้วเดินไปยังป้ายสัญญาณไฟ “
หยุดตรวจ” เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ปรากฏว่าระเบิดที่คนร้ายซุกซ่อนไว้ก็ทำงาน เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น สะเก็ดระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 นาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี
ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และประสานเจ้าหน้าที่อีโอดี หรือชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด เข้าเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง
สำหรับระเบิดที่เกิดขึ้นถือเป็นระเบิดลูกแรกของปี 2568 เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพื่อแสดงสัญลักษณ์ก่อนครบรอบ 21 ปีเหตุการณ์ปล้นปืน ในวันที่ 4 ม.ค.68
“โรม” ยัน ฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้น ยอมรับเสียสมาธิโดนพิษนิติสงครามเล่นงาน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2834151
“รังสิมันต์ โรม” ยืนยัน ฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้น ยอมรับเสียสมาธิ โดนพิษนิติสงครามเล่นงาน เสียเวลากับคดีความที่เราโดน มองฝ่ายตรวจสอบอาจซวยเสียเอง
วันที่ 2 มกราคม 2568 นาย
รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบเข้มข้นของฝ่ายค้านในปี 2568 ไปพร้อมกับการรับมือกับนิติสงคราม คดี 44 สส. ที่ค้างอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ในสังคมเรียกร้องพวกเรา และมีเสียงสะท้อนว่าฝ่ายค้านทำงานไม่เต็มที่ ยังลุยไม่พอ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีขบวนการนิติสงครามเล่นงานเราตลอดเวลา ตั้งแต่พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค โดนสารพัด ต่อมาพรรคประชาชน สส. 44 คน ก็มีคดีรออยู่อีก ที่ผ่านมาไม่ใช่เราตรวจสอบไม่เต็มที่ แต่เราต้องเอาเวลาไปคิดเรื่องคดีต่างๆ เยอะเหมือนกัน ยอมรับว่าเสียสมาธิ สุดท้ายแทนที่จะโฟกัสการตรวจสอบรัฐบาล ไม่มากก็น้อยเราต้องไปเสียเวลากับคดีความที่เราโดน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้ากันเยอะๆ ว่าตกลงเราจะเหลือขุนพลต่างๆ เท่าไหร่ ต้องมีฉากทัศน์ที่เราเตรียมเอาไว้ เป็นต้น
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศของเราพอจะตรวจสอบก็ลำบาก เพราะคนตรวจสอบอาจจะซวยเสียเอง ยกตัวอย่างเหมือนปัญหากรณีเวลาวิ่งผลัด เรายังรู้ว่าเราต้องวิ่งไปตรงไหน ทีนี้ระหว่างวิ่งโดนยิงเสียก่อน บรรดาแพทย์ พยาบาล ที่เอาเปลลงไปหามคนบาดเจ็บ บางทีก็ต้องลงไปวิ่งเสียเอง หรือถ้าเปรียบเป็นเกมฟุตบอลที่กรรมการพร้อมจะตัดสินให้เราผิดตลอดเวลา บางทีมีใบแดงแถมให้ไล่ออกจากสนามอีกด้วย ซึ่งในทางการเมืองตนรู้มันไม่ใช่เกม พรรคประชาชนจะรับมือนิติสงครามอย่างไร ตอบตรงๆ ว่ามีทั้งปัจจัยที่คุมได้และคุมไม่ได้ สำหรับปัจจัยที่คุมได้คือการรวบรวมพยานหลักฐานต่อสู้คดี เราทำเต็มที่ แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าประเทศเราก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย หรือไม่ อย่างไร ถ้าจะไล่เรียงพูดถึงตัวอย่าง ตนพูดเป็นชั่วโมงก็ไม่จบ
ดังนั้น ตนคิดว่าบางอย่างเราคุมไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างที่บอก ให้มันรู้กันไปว่าประเทศนี้ฝ่ายตรวจสอบโดนเล่นงานทางกฎหมาย ซึ่งตนคิดและตั้งคำถามเหมือนกันว่า ยิ่งฝ่ายตรวจสอบโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันดีต่อประเทศไทยจริงหรือเปล่า.
วิจัยกรุงศรีคาดเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.9% ใช้จ่ายภาครัฐ-ท่องเที่ยวหนุน
https://www.thansettakij.com/business/economy/616083#google_vignette
ดร.
พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจาก 3.0% ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น การแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบางราว 14 ล้านคน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น
นอกจากนี้ ฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนยังช่วยเสริมให้การเติบโตในไตรมาสนี้เด่นชัดยิ่งขึ้น ล่าสุดวิจัยกรุงศรีจึงปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 เป็น 2.7% จากเดิมที่คาดไว้ 2.4%
สำหรับปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 2.9% เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบด้วย
• การใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้น ตามการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.5% ของ GDP และการจัดสรรงบลงทุนสูงถึง 0.91 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% จากปีงบประมาณก่อนหน้า ช่วยสนับสนุนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
• ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 40 ล้านคนใน
ปี 2568 จาก 35.6 ล้านคนในปี 2567 ปัจจัยหนุนมาจากแรงส่งด้านความต้องการเดินทางต่างประเทศ ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และอานิสงส์จากมาตรการวีซ่าฟรี
• การลงทุนโดยรวม คาดว่าจะเติบโตในระดับปานกลาง โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการเร่งลงทุนของภาครัฐ ในขณะที่การเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะพลิกเป็นบวกเล็กน้อย ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมหลัก
• การส่งออก มีแนวโน้มขยายตัว 2.7% ในปี 2568 แม้จะชะลอลงบ้างจากปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.9% ปี 2567 ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทรงตัว ความตึงเครียดทางการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศ
• การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (GDP growth) ท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปี 2567 สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2.00% ในไตรมาส 1 ปี 2568 เพื่อบรรเทาความตึงตัวของภาวะทางการเงินและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1% ซึ่งใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายของทางการ แม้จะเพิ่มขึ้นจากปี 2567 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำและเอื้อให้กนง.สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้บ้าง
"
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปี 2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในและภายนอกยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น ความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักเข้าของสินค้านำเข้าจากจีน ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงครึ่งแรกของปี รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงซึ่งจะยังคงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม"
JJNY : บึ้มลูกแรกปี 68│“โรม”รับเสียสมาธิโดนพิษนิติสงครามเล่นงาน│วิจัยกรุงศรีคาดศก.ไทยปี68 โต2.9%│สั่งฟ้องทหาร ฐานเป็นกบฏ
https://www.isranews.org/article/south-news/other-news/134657-kalapobombpol.html
มาแล้ว! บึ้มลูกแรกของปี 68 คนร้ายซุกระเบิดป้ายสัญญาณไฟ “หยุดตรวจ” หน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ปัตตานี ทำตำรวจสายบุรี เจ็บ 3 นาย คาดก่อเหตุป่วนครบรอบ 21 ปีไฟใต้
เมื่อเวลา 10.30 น.วันศุกร์ที่ 3 ม.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุลอบวางระเบิดทำร้ายกำลังพลของโรงพัก ระหว่างตั้งด่านตรวจบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 ฝั่งขาเข้าปัตตานี บริเวณใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ต.เตราะบอน อ.สายบุรี
แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี ในที่เกิดเหตุยังพบป้ายสัญญาณไฟ “หยุดตรวจ” ของ สภ.สายบุรี ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดด้วย
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องไปซุกซ่อนบริเวณที่เก็บแบตเตอรี่ป้ายสัญญาณไฟ “หยุดตรวจ” ของ สภ.สายบุรี ซึ่งตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ โดยเป็นการตั้งทิ้งไว้หลังเลิกจุดตรวจก่อนหน้านี้ ไม่ได้นำกลับโรงพัก
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สายบุรี เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ขณะจอดรถกระบะแล้วเดินไปยังป้ายสัญญาณไฟ “หยุดตรวจ” เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ปรากฏว่าระเบิดที่คนร้ายซุกซ่อนไว้ก็ทำงาน เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น สะเก็ดระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 นาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี
ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และประสานเจ้าหน้าที่อีโอดี หรือชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด เข้าเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง
สำหรับระเบิดที่เกิดขึ้นถือเป็นระเบิดลูกแรกของปี 2568 เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพื่อแสดงสัญลักษณ์ก่อนครบรอบ 21 ปีเหตุการณ์ปล้นปืน ในวันที่ 4 ม.ค.68
“โรม” ยัน ฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้น ยอมรับเสียสมาธิโดนพิษนิติสงครามเล่นงาน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2834151
“รังสิมันต์ โรม” ยืนยัน ฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้น ยอมรับเสียสมาธิ โดนพิษนิติสงครามเล่นงาน เสียเวลากับคดีความที่เราโดน มองฝ่ายตรวจสอบอาจซวยเสียเอง
วันที่ 2 มกราคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบเข้มข้นของฝ่ายค้านในปี 2568 ไปพร้อมกับการรับมือกับนิติสงคราม คดี 44 สส. ที่ค้างอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ในสังคมเรียกร้องพวกเรา และมีเสียงสะท้อนว่าฝ่ายค้านทำงานไม่เต็มที่ ยังลุยไม่พอ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีขบวนการนิติสงครามเล่นงานเราตลอดเวลา ตั้งแต่พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค โดนสารพัด ต่อมาพรรคประชาชน สส. 44 คน ก็มีคดีรออยู่อีก ที่ผ่านมาไม่ใช่เราตรวจสอบไม่เต็มที่ แต่เราต้องเอาเวลาไปคิดเรื่องคดีต่างๆ เยอะเหมือนกัน ยอมรับว่าเสียสมาธิ สุดท้ายแทนที่จะโฟกัสการตรวจสอบรัฐบาล ไม่มากก็น้อยเราต้องไปเสียเวลากับคดีความที่เราโดน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้ากันเยอะๆ ว่าตกลงเราจะเหลือขุนพลต่างๆ เท่าไหร่ ต้องมีฉากทัศน์ที่เราเตรียมเอาไว้ เป็นต้น
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศของเราพอจะตรวจสอบก็ลำบาก เพราะคนตรวจสอบอาจจะซวยเสียเอง ยกตัวอย่างเหมือนปัญหากรณีเวลาวิ่งผลัด เรายังรู้ว่าเราต้องวิ่งไปตรงไหน ทีนี้ระหว่างวิ่งโดนยิงเสียก่อน บรรดาแพทย์ พยาบาล ที่เอาเปลลงไปหามคนบาดเจ็บ บางทีก็ต้องลงไปวิ่งเสียเอง หรือถ้าเปรียบเป็นเกมฟุตบอลที่กรรมการพร้อมจะตัดสินให้เราผิดตลอดเวลา บางทีมีใบแดงแถมให้ไล่ออกจากสนามอีกด้วย ซึ่งในทางการเมืองตนรู้มันไม่ใช่เกม พรรคประชาชนจะรับมือนิติสงครามอย่างไร ตอบตรงๆ ว่ามีทั้งปัจจัยที่คุมได้และคุมไม่ได้ สำหรับปัจจัยที่คุมได้คือการรวบรวมพยานหลักฐานต่อสู้คดี เราทำเต็มที่ แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าประเทศเราก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย หรือไม่ อย่างไร ถ้าจะไล่เรียงพูดถึงตัวอย่าง ตนพูดเป็นชั่วโมงก็ไม่จบ
ดังนั้น ตนคิดว่าบางอย่างเราคุมไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างที่บอก ให้มันรู้กันไปว่าประเทศนี้ฝ่ายตรวจสอบโดนเล่นงานทางกฎหมาย ซึ่งตนคิดและตั้งคำถามเหมือนกันว่า ยิ่งฝ่ายตรวจสอบโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันดีต่อประเทศไทยจริงหรือเปล่า.
วิจัยกรุงศรีคาดเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.9% ใช้จ่ายภาครัฐ-ท่องเที่ยวหนุน
https://www.thansettakij.com/business/economy/616083#google_vignette
ดร. พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจาก 3.0% ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น การแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบางราว 14 ล้านคน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น
นอกจากนี้ ฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนยังช่วยเสริมให้การเติบโตในไตรมาสนี้เด่นชัดยิ่งขึ้น ล่าสุดวิจัยกรุงศรีจึงปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 เป็น 2.7% จากเดิมที่คาดไว้ 2.4%
สำหรับปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 2.9% เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบด้วย
• การใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้น ตามการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.5% ของ GDP และการจัดสรรงบลงทุนสูงถึง 0.91 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% จากปีงบประมาณก่อนหน้า ช่วยสนับสนุนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
• ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 40 ล้านคนใน
ปี 2568 จาก 35.6 ล้านคนในปี 2567 ปัจจัยหนุนมาจากแรงส่งด้านความต้องการเดินทางต่างประเทศ ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และอานิสงส์จากมาตรการวีซ่าฟรี
• การลงทุนโดยรวม คาดว่าจะเติบโตในระดับปานกลาง โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการเร่งลงทุนของภาครัฐ ในขณะที่การเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะพลิกเป็นบวกเล็กน้อย ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมหลัก
• การส่งออก มีแนวโน้มขยายตัว 2.7% ในปี 2568 แม้จะชะลอลงบ้างจากปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.9% ปี 2567 ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทรงตัว ความตึงเครียดทางการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศ
• การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (GDP growth) ท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปี 2567 สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2.00% ในไตรมาส 1 ปี 2568 เพื่อบรรเทาความตึงตัวของภาวะทางการเงินและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1% ซึ่งใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายของทางการ แม้จะเพิ่มขึ้นจากปี 2567 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำและเอื้อให้กนง.สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้บ้าง
"ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปี 2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในและภายนอกยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น ความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักเข้าของสินค้านำเข้าจากจีน ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงครึ่งแรกของปี รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงซึ่งจะยังคงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม"