ชัยธวัช แฉไลน์หลุด ปลัดฯสั่งเข้ม มอนิเตอร์ปชน. ลงหาเสียงอบจ. ข้องใจตามอยู่พรรคเดียว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4982069
‘ชัยธวัช’ แฉไลน์หลุด ‘ปลัดอำเภอ’ สั่ง ‘กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน’ รายงานการหาเสียง อบจ.พรรคประชาชน ถาม ‘นายกฯ-อนุทิน’ รู้เห็นหรือไม่ สงสัย ทำไมติดตามพรรคประชาชนแค่พรรคเดียว
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 นาย
ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ทวีตข้อความ พร้อมภาพแชตไลน์ ปลัดอำเภอคนหนึ่ง ไลน์ไปในกลุ่มกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน สั่งการให้ติดตามการหาเสียง อบจ.พรรคประชาชน ผ่านแอพพลิเคชั่น x โดยระบุว่า
“2 วันนี้ เริ่มงานปีใหม่ด้วยการมาช่วยหาเสียงให้ทีม อบจ.เชียงใหม่-ลำพูนของพรรคประชาชน การเลือกตั้ง อบจ. คราวนี้นอกจากจะผิดปกติที่จัดเลือกตั้งวันเสาร์ ทำให้หลายคนติดงานไม่สะดวกไปใช้สิทธิ์แล้ว ยังน่ากังวลว่า อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครบางคนหรือบางพรรคด้วย
อย่างเช่น เช้าวันนี้มีปลัดอำเภอส่งข้อความไปในกลุ่มไลน์ของกำนันและผู้ใหญ่บ้านตำบลหนึ่ง แจ้งว่า
“ทางท่านนายอำเภอxxxได้มี ว0 [คำสั่ง] ให้ทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ลงพื้นที่หรือมอบหมายผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตร [กำนัน] ติดตาม/บันทึกภาพฯ กิจกรรมของพรรคประชาชน รายงานให้ทราบครับ”
คำถามคือ (1) ทำไมถึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ติดตามและบันทึกภาพกิจกรรมหาเสียง อบจ. ของพรรคประชาชนแค่พรรคเดียวเท่านั้น และ (2) ท่านนายกฯ แพรทองธาร, คุณอนุทิน รมว. มหาดไทย รวมทั้งผู้ช่วยหาเสียงผู้มากบารมีเหนือนายกฯ มีส่วนรู้เห็น หรือสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทำการดังกล่าวด้วยหรือไม่”
https://x.com/Chaithawat_MFP/status/1874724923832484175
วิโรจน์ ขู่หลังวาเลนไทน์ รัฐบาลฝันร้ายแน่ ล็อกเป้าคมนาคม ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ก็ไม่รอด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9574000
วิโรจน์ ชี้ เป็นฝ่ายป้อนอาวุธหนัก ศึกซักฟอกรัฐบาล ขู่หลังวาเลนไทน์ เตรียมพบความโหดร้าย ฮึ่มรัฐมนตรีคมนาคม นามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่รอด โดนหนักแน่
เมื่อวันที่ 2 ม.ค.2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของคณะกรรมการพรรคประชาชน ว่า ตนไม่ทราบข้อมูลเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เป็นคณะกรรมการ แต่ให้เรียกว่า ฝ่ายป้อนอาวุธหนัก ชี้เป้า ส่งประเด็นสำคัญให้กับคณะกรรมการ และล็อกเป้าขุนพลซักฟอกเป้าหมาย
ส่วนใครจะได้ขึ้นอภิปราย ก็อยู่ที่คณะกรรมการคัดเลือก ขอให้จับตาว่า ถ้าหมดห้วงเวลาแห่งความรักในช่วงวันที่ 14 ก.พ.เมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความจริงอันโหดร้ายของรัฐบาล เมื่อนั้นก็ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่า ความผิดสำเร็จแล้วทำอะไรก็ไม่ทัน รัฐบาลทำใจเถอะ
นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สัญญาว่าในปี 2568 ชีวิตประชาชนจะดีขึ้น ว่า ขออำนวยอวยพรให้มันเป็นอย่างที่นายกฯ พูดจริงๆ สักทีเหมือนกัน เพราะประชาชนรอมานานแล้ว พูดมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ ตั้งแต่ตอนหาเสียง แต่มันก็ไม่เป็นจริงสักครั้ง
นอกจากนี้ ปัญหาค่าไฟ ไม่แก้ที่ต้นตอ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น กฎหมายที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่ำๆ จะออก ก็ยังไม่ออกสักที และยังไม่รู้ว่า ออกกฎหมายมาแล้ว การบังคับใช้กฎหมายจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมถึงการปราบยาเสพติด ยาบ้ายังราคาถูก ถ้าปราบได้จริง ยาบ้าต้องเเพงขึ้นตามกลไกตลาด วันนี้ยาบ้าก็ยังหาง่าย และราคาถูกอยู่เหมือนเดิม การปราบยาก็ยังเป็นแค่ภาพลวงตา
รวมถึงยังมีเรื่องของกระทรวงคมนาคมด้วย แล้วก็ให้ปักธงเลยว่า อย่าคิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะรอด แล้วจะไม่โดน แต่จะโดนหนักกว่าใครด้วย ทำอะไรไว้รู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่คิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะปลอดภัย
เมื่อถามว่าจะมีปฏิบัติการโรยเกลือหลังศึกซักฟอกเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ วิโรจน์ กล่าวว่า ใช่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งข้อมูลต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว
ทนายแจมแฉ! อบรมอาสาตำรวจจีน จ่าย 38,000 จบได้ภายใน 3 วัน
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/239798
ทนายแจม สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์แฉ อบรมอาสา ตร. จีน 38,000 คอร์ส 40-50 คน อ้างต้นสังกัดใหญ่พบอบรมจบได้ภายใน 3 วัน
ทนาย
แจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ X
Sasinan Thamnithinan (JAM) ภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘
อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท ตั้งคำถามว่าทำได้หรือไม่ และจุดประสงค์ของเรื่องนี้นี้คืออะไรกันแน่
คนในรูปลักษณะคล้ายกับชุดตำรวจเลย บางคนนึกถึงคนนี้ที่เคยมีคนจีนสวมชุดตำรวจไทยทำคอนเทนท์ แค่จ่ายก็ได้สวมชุดแถมมีตำรวจมาขับรถให้ด้วย ซึ่งปรากฏว่าตอนนั้นเป็นตำรวจจริงที่สวมอ้างว่าเป็นเพื่อนกัน หรือจริงๆแล้วครั้งนี้จะกลายเป็นจีนหลอกจีน หลอกคนจีนที่อาจจะอยากมีสถานะทางสังคมหรือไม่
เราตรวจสอบเพิ่มเติมกับ ทนาย
แจม ศศินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวที่มีการนำมาโพสต์ได้จากแหล่งข่าวซึ่งเป็นตำรวจที่มีความรู้ภาษาจีน ที่ได้ข้อมูลและภาพมายืนยันว่ามีการจัดอบรมกันจริงๆ และรู้สึกว่าไม่สบายใจกับการอบรมที่เกิดขึ้นซึ่งมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่า เพิ่งจะจัดเมื่อกันปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาตามวันที่ระบุในประกาศ ที่น่าสนใจคือปรากฏว่ามีคนจีนมาร่วมอบรมราว 40 ถึง 50 คนในหนึ่งคอร์ส หากลองคูณตัวเลขคนละ 38,000 บาท ตามที่อ้าง เอาแค่ 40 คนก็จะมีจำนวนเงินถึง 1,520,000 บาท คำถามคือมีการจ่ายเงินจำนวนนี้จริงหรือไม่แล้วเอาไปทำอะไร จึงอยากให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการชี้แจง
หลังทนาย
แจมโพสต์ออกไปปรากฏว่ามีคนเข้ามาตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นการอบรมอาสาสมัครแล้วทำไมถึงต้องมีการจ่ายเงิน แบบนี้จะกลายเป็นบัตรเบ่งหรือไม่ นอกจากเรื่องของเงินและหลักสูตรการอบรม อีกประเด็นที่ทีมข่าวเราเองก็ตั้งคำถามขึ้นมา คือเรื่องของพื้นที่ กองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ครอบคลุมพื้นที่ 11 สน. เป็นพื้นที่ที่มีความต้องการอาสาสมัครตำรวจชาวจีนหรือไม่เพราะดูจะไม่ใช่พื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวที่ต้องใช้ล่ามแปลภาษาหรือการทำงานของคนจีนเป็นตัวกลาง
ทนาย
แจม ระบุว่า เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ตั้งข้อสังเกตเหมือนกันแล้วก็มีคนส่งข้อมูลมาตั้งคำถามเรื่องนี้กันเยอะมากจึงอยากให้มีการชี้แจงโดยด่วน รวมถึงในฐานะทนายความมองเรื่องของการใช้ตราแผ่นดินด้วย เพราะหากไม่ใช่คนที่มีอำนาจหน้าที่นำไปใช้ก็ถือว่ามีความผิด
ล่าสุดเราได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวปรากฏว่านอกจากภาพที่ทนายแจมโพสต์ไปแล้ว มีคลิปรีวิว คอร์สการอบรม อาสาตำรวจของหนุ่มจีนคนหนึ่งที่แหล่งข่าวแปลข้อมูลมาทำนองว่า “
คุณรู้หรือเปล่าว่าประเทศไทยจับคนเลวยังไง”
15 กุมภาพันธ์ 2568 กองบัญชาการสอบสวนกลาง "
เตรียมอาสาเจ้าหน้าที่ตำรวจ" เริ่มรับสมัครแล้วรุ่นที่สอง นักเรียน 15 คน บัตรประจำตัวรวม "
บัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจ" เพื่อนสัญชาติที่อยากเข้าร่วมติดต่อผมส่วนตัวได้ อยาก "
จับคนเลวที่ไทย" ลงชื่อเลย นอกจากนี้ยังมีภาพเพิ่มเติม ที่เราได้ข้อมูลมาบรรยากาศในห้องอบรมซึ่งถ้าไม่เบลอน่าส่วนใหญ่ก็จะเห็นว่าลักษณะคล้ายคนจีนทั้งชายและหญิงมานั่งอบรมการสวมเสื้อกั๊ก สีดำลักษณะคล้ายกับของตำรวจสืบสวนหรืออาสาตำรวจ
ภาพของเสื้อกั๊กซึ่งปักชื่อเป็นชื่อของคนจีน อ้างว่าเป็นสมาชิกแจ้งเหตุของ สน.สุทธิสาร พร้อมกับหมวกตราโล่ ส่วนด้านหลังจะเขียนว่า police ภาพชายแต่งกายเป็นเครื่องแบบตำรวจสองคนอันนี้เป็นคนไทยลักษณะคล้ายเป็นวิทยากรอบรมของโครงการการใช้วิทยุสื่อสาร และเอกสารภาพการอบรมการใช้วิทยุสื่อสาร แปลภาษาไทยจีน
https://x.com/lawyerJammy/status/1874419564106465378
บิ๊กธุรกิจส่องเศรษฐกิจไทย 2568 ปีแห่งความท้าทาย กำลังซื้อโจทย์ใหญ่ ชู ‘ท่องเที่ยว’ หัวหอกพลิกฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4981727
บิ๊กธุรกิจส่องเศรษฐกิจไทย 2568 ปีแห่งความท้าทาย กำลังซื้อโจทย์ใหญ่ ชู ‘ท่องเที่ยว’ หัวหอกพลิกฟื้น
เมื่อวันที่ 2 มกราคม นาย
ปรีชา ศุภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า มองเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังเป็นปีที่ท้าทาย ยังเผชิญกับปัญหาเดิมๆอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตรากการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจยังต่ำ รายได้ของคนยังไม่เพิ่มขึ้น สวนทางกับค่าครองชีพยังคงปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา แต่คงไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก ส่วนมาตรการอีซี่ อีรี-ซีท ผู้ที่ได้รับอานิสงส์จะเป็นกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่ารายย่อย ซึ่งภาครัฐต้องออกมาตรการให้ตรงจุดมากกว่านี้
นาย
อธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความท้าทาย เนื่องจากยังมีปัจจัยไม่แน่ไม่นอนอยู่มาก จึงยังค่อนข้างน่าห่วง โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่จะประกาศออกมา เช่น การปรับขึ้นภาษีต่างๆ คาดว่าจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะเหนื่อยหนักมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย แม้ว่าหลายคนมองว่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยก็ตาม จากการที่มีนักลงทุนย้ายฐานมายังประเทศไทย แต่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คาดการณ์ไว้ก็ได้ เพราะความไม่แน่ไม่นอนยังมีอยู่สูง
นาย
อธิปกล่าวว่า สำหรับปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3-2.4% เนื่องจากการส่งออกอาจจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ คงเหลือเพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะเป็นตัวหลักขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปี 2568 หลังมีการประเมินว่าต่างชาติจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ 40 ล้านคน ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาช่วยกระตุ้น
“
ปี 2568 ถึงนักท่องเที่ยวจะเข้ามาได้ตามเป้า 40 ล้านคน แต่ยังมีความกังวลในแง่ของรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอาจจะไม่สูง ดังนั้นภาครัฐเองก็ต้องหามาตรการเพื่อมาสนับสนุน เพื่อสร้างรายได้ให้สูงขึ้น เช่น ให้ต่างชาติมีการพำนักอยู่ระยะยาวมากขึ้น เพราะจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศมากขึ้นตามไปด้วย” นาย
อธิปกล่าว
นาง
ณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัลรีเทล เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดค้าปลีกในปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องมาจากปี 2567 โดยมีปัจจัยบวกจากโครงการอีซี่ อีรี-ซีท ที่สามารถนำยอดชำระซื้อสินค้าหรือค่าบริการหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมถึง28 กุมภาพันธ์ 2568 จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น เพราะในช่วงมกราคมเป็นช่วงของการจับจ่ายอยู่แล้ว จึงคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้มากยิ่งขึ้น
JJNY : 5in1 ชัยธวัชแฉไลน์หลุด│วิโรจน์ล็อกเป้า│ทนายแจมแฉ!อบรมอาสาตร.จีน│บิ๊กธุรกิจส่องศก.ไทย 68│ฟิลิปปินส์พบโดรนต้องสงสัย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4982069
‘ชัยธวัช’ แฉไลน์หลุด ‘ปลัดอำเภอ’ สั่ง ‘กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน’ รายงานการหาเสียง อบจ.พรรคประชาชน ถาม ‘นายกฯ-อนุทิน’ รู้เห็นหรือไม่ สงสัย ทำไมติดตามพรรคประชาชนแค่พรรคเดียว
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ทวีตข้อความ พร้อมภาพแชตไลน์ ปลัดอำเภอคนหนึ่ง ไลน์ไปในกลุ่มกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน สั่งการให้ติดตามการหาเสียง อบจ.พรรคประชาชน ผ่านแอพพลิเคชั่น x โดยระบุว่า
“2 วันนี้ เริ่มงานปีใหม่ด้วยการมาช่วยหาเสียงให้ทีม อบจ.เชียงใหม่-ลำพูนของพรรคประชาชน การเลือกตั้ง อบจ. คราวนี้นอกจากจะผิดปกติที่จัดเลือกตั้งวันเสาร์ ทำให้หลายคนติดงานไม่สะดวกไปใช้สิทธิ์แล้ว ยังน่ากังวลว่า อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครบางคนหรือบางพรรคด้วย
อย่างเช่น เช้าวันนี้มีปลัดอำเภอส่งข้อความไปในกลุ่มไลน์ของกำนันและผู้ใหญ่บ้านตำบลหนึ่ง แจ้งว่า
“ทางท่านนายอำเภอxxxได้มี ว0 [คำสั่ง] ให้ทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ลงพื้นที่หรือมอบหมายผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตร [กำนัน] ติดตาม/บันทึกภาพฯ กิจกรรมของพรรคประชาชน รายงานให้ทราบครับ”
คำถามคือ (1) ทำไมถึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ติดตามและบันทึกภาพกิจกรรมหาเสียง อบจ. ของพรรคประชาชนแค่พรรคเดียวเท่านั้น และ (2) ท่านนายกฯ แพรทองธาร, คุณอนุทิน รมว. มหาดไทย รวมทั้งผู้ช่วยหาเสียงผู้มากบารมีเหนือนายกฯ มีส่วนรู้เห็น หรือสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทำการดังกล่าวด้วยหรือไม่”
https://x.com/Chaithawat_MFP/status/1874724923832484175
วิโรจน์ ขู่หลังวาเลนไทน์ รัฐบาลฝันร้ายแน่ ล็อกเป้าคมนาคม ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ก็ไม่รอด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9574000
วิโรจน์ ชี้ เป็นฝ่ายป้อนอาวุธหนัก ศึกซักฟอกรัฐบาล ขู่หลังวาเลนไทน์ เตรียมพบความโหดร้าย ฮึ่มรัฐมนตรีคมนาคม นามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่รอด โดนหนักแน่
เมื่อวันที่ 2 ม.ค.2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของคณะกรรมการพรรคประชาชน ว่า ตนไม่ทราบข้อมูลเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เป็นคณะกรรมการ แต่ให้เรียกว่า ฝ่ายป้อนอาวุธหนัก ชี้เป้า ส่งประเด็นสำคัญให้กับคณะกรรมการ และล็อกเป้าขุนพลซักฟอกเป้าหมาย
ส่วนใครจะได้ขึ้นอภิปราย ก็อยู่ที่คณะกรรมการคัดเลือก ขอให้จับตาว่า ถ้าหมดห้วงเวลาแห่งความรักในช่วงวันที่ 14 ก.พ.เมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความจริงอันโหดร้ายของรัฐบาล เมื่อนั้นก็ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่า ความผิดสำเร็จแล้วทำอะไรก็ไม่ทัน รัฐบาลทำใจเถอะ
นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สัญญาว่าในปี 2568 ชีวิตประชาชนจะดีขึ้น ว่า ขออำนวยอวยพรให้มันเป็นอย่างที่นายกฯ พูดจริงๆ สักทีเหมือนกัน เพราะประชาชนรอมานานแล้ว พูดมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ ตั้งแต่ตอนหาเสียง แต่มันก็ไม่เป็นจริงสักครั้ง
นอกจากนี้ ปัญหาค่าไฟ ไม่แก้ที่ต้นตอ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น กฎหมายที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่ำๆ จะออก ก็ยังไม่ออกสักที และยังไม่รู้ว่า ออกกฎหมายมาแล้ว การบังคับใช้กฎหมายจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมถึงการปราบยาเสพติด ยาบ้ายังราคาถูก ถ้าปราบได้จริง ยาบ้าต้องเเพงขึ้นตามกลไกตลาด วันนี้ยาบ้าก็ยังหาง่าย และราคาถูกอยู่เหมือนเดิม การปราบยาก็ยังเป็นแค่ภาพลวงตา
รวมถึงยังมีเรื่องของกระทรวงคมนาคมด้วย แล้วก็ให้ปักธงเลยว่า อย่าคิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะรอด แล้วจะไม่โดน แต่จะโดนหนักกว่าใครด้วย ทำอะไรไว้รู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่คิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะปลอดภัย
เมื่อถามว่าจะมีปฏิบัติการโรยเกลือหลังศึกซักฟอกเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ วิโรจน์ กล่าวว่า ใช่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งข้อมูลต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว
ทนายแจมแฉ! อบรมอาสาตำรวจจีน จ่าย 38,000 จบได้ภายใน 3 วัน
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/239798
ทนายแจม สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์แฉ อบรมอาสา ตร. จีน 38,000 คอร์ส 40-50 คน อ้างต้นสังกัดใหญ่พบอบรมจบได้ภายใน 3 วัน
ทนายแจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ X Sasinan Thamnithinan (JAM) ภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท ตั้งคำถามว่าทำได้หรือไม่ และจุดประสงค์ของเรื่องนี้นี้คืออะไรกันแน่
คนในรูปลักษณะคล้ายกับชุดตำรวจเลย บางคนนึกถึงคนนี้ที่เคยมีคนจีนสวมชุดตำรวจไทยทำคอนเทนท์ แค่จ่ายก็ได้สวมชุดแถมมีตำรวจมาขับรถให้ด้วย ซึ่งปรากฏว่าตอนนั้นเป็นตำรวจจริงที่สวมอ้างว่าเป็นเพื่อนกัน หรือจริงๆแล้วครั้งนี้จะกลายเป็นจีนหลอกจีน หลอกคนจีนที่อาจจะอยากมีสถานะทางสังคมหรือไม่
เราตรวจสอบเพิ่มเติมกับ ทนายแจม ศศินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวที่มีการนำมาโพสต์ได้จากแหล่งข่าวซึ่งเป็นตำรวจที่มีความรู้ภาษาจีน ที่ได้ข้อมูลและภาพมายืนยันว่ามีการจัดอบรมกันจริงๆ และรู้สึกว่าไม่สบายใจกับการอบรมที่เกิดขึ้นซึ่งมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่า เพิ่งจะจัดเมื่อกันปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาตามวันที่ระบุในประกาศ ที่น่าสนใจคือปรากฏว่ามีคนจีนมาร่วมอบรมราว 40 ถึง 50 คนในหนึ่งคอร์ส หากลองคูณตัวเลขคนละ 38,000 บาท ตามที่อ้าง เอาแค่ 40 คนก็จะมีจำนวนเงินถึง 1,520,000 บาท คำถามคือมีการจ่ายเงินจำนวนนี้จริงหรือไม่แล้วเอาไปทำอะไร จึงอยากให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการชี้แจง
หลังทนายแจมโพสต์ออกไปปรากฏว่ามีคนเข้ามาตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นการอบรมอาสาสมัครแล้วทำไมถึงต้องมีการจ่ายเงิน แบบนี้จะกลายเป็นบัตรเบ่งหรือไม่ นอกจากเรื่องของเงินและหลักสูตรการอบรม อีกประเด็นที่ทีมข่าวเราเองก็ตั้งคำถามขึ้นมา คือเรื่องของพื้นที่ กองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ครอบคลุมพื้นที่ 11 สน. เป็นพื้นที่ที่มีความต้องการอาสาสมัครตำรวจชาวจีนหรือไม่เพราะดูจะไม่ใช่พื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวที่ต้องใช้ล่ามแปลภาษาหรือการทำงานของคนจีนเป็นตัวกลาง
ทนายแจม ระบุว่า เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ตั้งข้อสังเกตเหมือนกันแล้วก็มีคนส่งข้อมูลมาตั้งคำถามเรื่องนี้กันเยอะมากจึงอยากให้มีการชี้แจงโดยด่วน รวมถึงในฐานะทนายความมองเรื่องของการใช้ตราแผ่นดินด้วย เพราะหากไม่ใช่คนที่มีอำนาจหน้าที่นำไปใช้ก็ถือว่ามีความผิด
ล่าสุดเราได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวปรากฏว่านอกจากภาพที่ทนายแจมโพสต์ไปแล้ว มีคลิปรีวิว คอร์สการอบรม อาสาตำรวจของหนุ่มจีนคนหนึ่งที่แหล่งข่าวแปลข้อมูลมาทำนองว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่าประเทศไทยจับคนเลวยังไง”
15 กุมภาพันธ์ 2568 กองบัญชาการสอบสวนกลาง "เตรียมอาสาเจ้าหน้าที่ตำรวจ" เริ่มรับสมัครแล้วรุ่นที่สอง นักเรียน 15 คน บัตรประจำตัวรวม "บัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจ" เพื่อนสัญชาติที่อยากเข้าร่วมติดต่อผมส่วนตัวได้ อยาก "จับคนเลวที่ไทย" ลงชื่อเลย นอกจากนี้ยังมีภาพเพิ่มเติม ที่เราได้ข้อมูลมาบรรยากาศในห้องอบรมซึ่งถ้าไม่เบลอน่าส่วนใหญ่ก็จะเห็นว่าลักษณะคล้ายคนจีนทั้งชายและหญิงมานั่งอบรมการสวมเสื้อกั๊ก สีดำลักษณะคล้ายกับของตำรวจสืบสวนหรืออาสาตำรวจ
ภาพของเสื้อกั๊กซึ่งปักชื่อเป็นชื่อของคนจีน อ้างว่าเป็นสมาชิกแจ้งเหตุของ สน.สุทธิสาร พร้อมกับหมวกตราโล่ ส่วนด้านหลังจะเขียนว่า police ภาพชายแต่งกายเป็นเครื่องแบบตำรวจสองคนอันนี้เป็นคนไทยลักษณะคล้ายเป็นวิทยากรอบรมของโครงการการใช้วิทยุสื่อสาร และเอกสารภาพการอบรมการใช้วิทยุสื่อสาร แปลภาษาไทยจีน
https://x.com/lawyerJammy/status/1874419564106465378
บิ๊กธุรกิจส่องเศรษฐกิจไทย 2568 ปีแห่งความท้าทาย กำลังซื้อโจทย์ใหญ่ ชู ‘ท่องเที่ยว’ หัวหอกพลิกฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4981727
บิ๊กธุรกิจส่องเศรษฐกิจไทย 2568 ปีแห่งความท้าทาย กำลังซื้อโจทย์ใหญ่ ชู ‘ท่องเที่ยว’ หัวหอกพลิกฟื้น
เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายปรีชา ศุภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า มองเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังเป็นปีที่ท้าทาย ยังเผชิญกับปัญหาเดิมๆอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตรากการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจยังต่ำ รายได้ของคนยังไม่เพิ่มขึ้น สวนทางกับค่าครองชีพยังคงปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา แต่คงไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก ส่วนมาตรการอีซี่ อีรี-ซีท ผู้ที่ได้รับอานิสงส์จะเป็นกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่ารายย่อย ซึ่งภาครัฐต้องออกมาตรการให้ตรงจุดมากกว่านี้
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีความท้าทาย เนื่องจากยังมีปัจจัยไม่แน่ไม่นอนอยู่มาก จึงยังค่อนข้างน่าห่วง โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่จะประกาศออกมา เช่น การปรับขึ้นภาษีต่างๆ คาดว่าจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะเหนื่อยหนักมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย แม้ว่าหลายคนมองว่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยก็ตาม จากการที่มีนักลงทุนย้ายฐานมายังประเทศไทย แต่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คาดการณ์ไว้ก็ได้ เพราะความไม่แน่ไม่นอนยังมีอยู่สูง
นายอธิปกล่าวว่า สำหรับปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3-2.4% เนื่องจากการส่งออกอาจจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ คงเหลือเพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะเป็นตัวหลักขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปี 2568 หลังมีการประเมินว่าต่างชาติจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ 40 ล้านคน ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาช่วยกระตุ้น
“ปี 2568 ถึงนักท่องเที่ยวจะเข้ามาได้ตามเป้า 40 ล้านคน แต่ยังมีความกังวลในแง่ของรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอาจจะไม่สูง ดังนั้นภาครัฐเองก็ต้องหามาตรการเพื่อมาสนับสนุน เพื่อสร้างรายได้ให้สูงขึ้น เช่น ให้ต่างชาติมีการพำนักอยู่ระยะยาวมากขึ้น เพราะจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศมากขึ้นตามไปด้วย” นายอธิปกล่าว
นางณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัลรีเทล เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดค้าปลีกในปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องมาจากปี 2567 โดยมีปัจจัยบวกจากโครงการอีซี่ อีรี-ซีท ที่สามารถนำยอดชำระซื้อสินค้าหรือค่าบริการหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมถึง28 กุมภาพันธ์ 2568 จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น เพราะในช่วงมกราคมเป็นช่วงของการจับจ่ายอยู่แล้ว จึงคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้มากยิ่งขึ้น