“ชุติพงษ์”ถามคำพูดรมต.จะมีความหมายกี่โมง หลังเมียนมายังไม่ปล่อย4ลูกเรือประมงไทย
https://www.dailynews.co.th/news/4257042/
วันที่ 4 ม.ค. นาย
ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า
”สถานการณ์ลูกเรือไทยที่โดนจับ ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววได้รับการปล่อยตัว คำพูดของรัฐมนตรีจะมีความหมายกี่โมง?
ผมยังจำได้ดีว่า วันที่ 5 ธันวา ทางคุณภูมิธรรมบอก เมียนมาร์ปล่อยตัวลูกเรือไทยแล้ว ญาติและทีมแพทย์ก็ไปเตรียมรับตัว แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้กลับมา
ต่อมาวันที่ 17 ธันวา รัฐมนตรีภูมิธรรมก็ได้ออกมาบอกอีกรอบว่า 4 ลูกเรือประมงที่ถูกเมียนมาจับ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งก็คือวันนี้
แต่จนเวลานี้ ทางลูกเรือไทยก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวตามที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ภูมิธรรม เวชยชัย ได้กล่าวไว้ ซ้ำอีกครั้ง
ผมได้แต่สงสัยว่า รัฐบาลไทยได้แสดงความตั้งใจจริงให้เราเห็นว่าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงหรือไม่ ในการเอาตัวคนไทยที่ถูกยิงด้วยเรือรบและจับตัวไปขึ้นศาลกลับมาให้ได้ เพราะเห็นเอาแต่พูดให้เชื่อมั่นในรัฐบาล แต่ผลก็อย่างที่เห็น คือครอบครัวของเขาต้องรอคอยต่อไป
จนตอนนี้ ต้องถามกันแล้วว่า คำพูดของคนระดับรัฐมนตรี ที่สื่อสารกับสังคม เราจะเชื่อถืออะไรได้บ้าง
ตอนนี้ทางคุณภูมิธรรมก็ออกมาบอกว่าติดนั่นติดนี่อีก จนคนระดับรัฐมนตรีเสียคำพูดกับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?
ผมว่าอย่างน้อย รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ควรมาชี้แจงว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง กับคำว่า ”ทำเต็มที่“ เพื่อช่วยคนไทยทั้ง 4 ออกมา เพื่อให้ประชาชนเชื่อได้บ้าง
เพราะอย่างน้อย เราก็ได้เห็นความจริงใจ และจริงจัง จากผู้ที่มีหน้าที่ตรง มากกว่าการออกมาแก้ต่างไปเรื่อยๆแบบนี้ จนคนหมดความเชื่อถือในคำพูดของฝ่ายบริหารครับ“
https://www.facebook.com/alieninsf/posts/pfbid0wsjxT5jcF37f6hxtTKz7iRYuntTV3jKWZ1bzxXRCzEdp4PBC6LJmh9zBxLXrfCHl
กำไรแบงก์ปี’68 ส่อติดลบ รายจ่ายสกัดภัยการเงินพุ่ง
https://www.prachachat.net/finance/news-1727709
บล.กสิกรไทย ชี้กลุ่มหุ้น “แบงก์-ไอซีที” เสี่ยงเพิ่ม ปมต้องร่วมรับผิดลูกค้าถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนเกิดความเสียหาย หลังกระทรวงดีอีเอสเตรียมชง ครม. 7 ม.ค.นี้ แก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประเมินแบงก์ใหญ่กดดันทุกราย เหตุต้องมีค่าใช้จ่ายลงทุน “Cyber Security” เพิ่ม ซ้ำเติมสินเชื่อโตยาก ขณะที่ “NIM-รายได้ค่าธรรมเนียม” ลดลง คาดการณ์กำไรแบงก์ปีนี้ติดลบ 2%
นาย
กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 7 ม.ค. 2568 ให้ความเห็นชอบการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อยกระดับการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และเร่งรัดให้เกิดการคืนเงินแก่ผู้เสียหาย รวมไปถึงเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ กรณีไม่ดูแลและละเลยจนก่อให้เกิดอาชญากรรม
โดยประเด็นดังกล่าว ประเมินในเบื้องต้น มองเป็นภาพเชิงลบอ่อน ๆ ต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มไอซีที เพราะปัญหาเรื่องการโจรกรรมทางไซเบอร์เกิดมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจจะมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มธนาคาร คาดว่าทุกแห่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากปัญหามิจฉาชีพ ในการลงทุนพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ความปลอดภัย หรือต้องจ้างโปรแกรมเมอร์เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งจะกดดันค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่รายได้ธนาคารอาจจะไม่ดีนัก เพราะสินเชื่อโตยาก ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ก็หาย และการจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไอทีก็อาจจะทำได้ไม่มากแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายประเภท Cyber Security จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
“
คาดว่าทุกธนาคารคงโดนผลกระทบหมด โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ก็น่าจะต้องลงทุนระบบความปลอดภัยที่สูงขึ้น”
นาย
กรกชกล่าวว่า แนวโน้มกำไรธุรกิจธนาคารปี 2568 ประเมินเบื้องต้นคาดว่าน่าจะติดลบ 2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YOY) หลัก ๆ ถูกกดดันจาก NIM ที่ลดลง จากที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ลงอีก 1 ครั้ง ในขณะที่สินเชื่อจากเดิมคาดโต 3% แต่มีความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) จากสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยที่อาจจะไม่โต จะมีแค่สินเชื่อรายใหญ่เท่านั้นที่จะเติบโตได้ จึงประเมิน Base Case การเติบโตของสินเชื่อธนาคารปีนี้ราว 1-1.5% เท่านั้น
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมคงทรงตัว เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อจะลดน้อยลง บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับ ATM ที่ลดลงมาต่อเนื่อง 4-5 ปี
“
กลุ่มธนาคารปีนี้ สิ่งที่ประหยัดไปได้ คือ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองของธนาคาร (Credit Cost) ที่คาดว่าจะลดลง 15 bps เมื่อเทียบ YOY อยู่ภายใต้สมมุติฐานไม่มีลูกหนี้รายใหญ่มีปัญหา และเรื่องขาดทุนรถยึดน่าจะลดน้อยลง หลังจากปีที่แล้วแบงก์เข้มงวดและเก็บเงินดาวน์มากขึ้น ดังนั้นสรุปภาพรวมกำไรแบงก์ปีนี้อาจจะไม่ดีนัก”
นาย
กรกชกล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร แนะนำลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) จากภาพกำไรปีนี้ไม่โต จะมีจุดเด่นเดียวคือเรื่องเงินปันผล ที่น่าจะจ่ายได้ดีขึ้น สำหรับนักลงทุนที่เน้นปันผลยังพอลงทุนได้ แนะนำ SCB, TISCO หรือ KTB ที่ราคาหุ้นไม่แพง และเป็นธนาคารเดียวที่ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ในกลุ่มธนาคาร
ฝุ่น กทม. เกินมาตรฐาน 46 จุด
https://www.innnews.co.th/news/criminal/news_824590/
ฝุ่น PM2.5 กทม. เกินมาตรฐาน 46 จุด ระดับสีส้ม สูงสุดหนองแขมวัดได้ 57.6 มคก./ลบ.ม.
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครสรุปผลการตรวจวัด PM2.5 ประจำวันที่ 5 มกราคม 2568 ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 40.6 มคก./ลบ.ม.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 46 พื้นที่
โดย 5 อันดับที่ตรวจพบฝุ่น PM2.5 มากสุดคือ 1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 มีค่าเท่ากับ 57.6 มคก./ลบ.ม. 2.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ มีค่าเท่ากับ 51.6 มคก./ลบ.ม. 3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 มีค่าเท่ากับ 51.0 มคก./ลบ.ม. 4.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย มีค่าเท่ากับ 50.9 มคก./ลบ.ม. และ 5.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย มีค่าเท่ากับ 50.2 มคก./ลบ.ม. ตํ่าสุดเขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม มีค่าเท่ากับ 37.6 มคก./ลบ.ม
ทั้งนี้ในช่วงวันที่ 5 – 12 ม.ค. 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ดี-อ่อน-ดี” ขณะที่มีการเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้น ทำให้มลพิษทางอากาศสามารถแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสลับลดลง ในระยะ 6 – 7 วัน (ให้น้ำหนักไปในทางเพิ่มขึ้น) จากนั้นความเข้มข้นของฝุ่นละอองจะมีแนวโน้มลดลง
JJNY : “ชุติพงษ์” ถามคำพูด รมต. จะมีความหมายกี่โมง│กำไรแบงก์ปี’68 ส่อติดลบ│ฝุ่นกทม.เกิน 46 จุด│ไฟไหม้ตลาดในจีน ตาย-เจ็บ
https://www.dailynews.co.th/news/4257042/
วันที่ 4 ม.ค. นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า
”สถานการณ์ลูกเรือไทยที่โดนจับ ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววได้รับการปล่อยตัว คำพูดของรัฐมนตรีจะมีความหมายกี่โมง?
ผมยังจำได้ดีว่า วันที่ 5 ธันวา ทางคุณภูมิธรรมบอก เมียนมาร์ปล่อยตัวลูกเรือไทยแล้ว ญาติและทีมแพทย์ก็ไปเตรียมรับตัว แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้กลับมา
ต่อมาวันที่ 17 ธันวา รัฐมนตรีภูมิธรรมก็ได้ออกมาบอกอีกรอบว่า 4 ลูกเรือประมงที่ถูกเมียนมาจับ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งก็คือวันนี้
แต่จนเวลานี้ ทางลูกเรือไทยก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวตามที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ภูมิธรรม เวชยชัย ได้กล่าวไว้ ซ้ำอีกครั้ง
ผมได้แต่สงสัยว่า รัฐบาลไทยได้แสดงความตั้งใจจริงให้เราเห็นว่าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงหรือไม่ ในการเอาตัวคนไทยที่ถูกยิงด้วยเรือรบและจับตัวไปขึ้นศาลกลับมาให้ได้ เพราะเห็นเอาแต่พูดให้เชื่อมั่นในรัฐบาล แต่ผลก็อย่างที่เห็น คือครอบครัวของเขาต้องรอคอยต่อไป
จนตอนนี้ ต้องถามกันแล้วว่า คำพูดของคนระดับรัฐมนตรี ที่สื่อสารกับสังคม เราจะเชื่อถืออะไรได้บ้าง
ตอนนี้ทางคุณภูมิธรรมก็ออกมาบอกว่าติดนั่นติดนี่อีก จนคนระดับรัฐมนตรีเสียคำพูดกับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?
ผมว่าอย่างน้อย รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ควรมาชี้แจงว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง กับคำว่า ”ทำเต็มที่“ เพื่อช่วยคนไทยทั้ง 4 ออกมา เพื่อให้ประชาชนเชื่อได้บ้าง
เพราะอย่างน้อย เราก็ได้เห็นความจริงใจ และจริงจัง จากผู้ที่มีหน้าที่ตรง มากกว่าการออกมาแก้ต่างไปเรื่อยๆแบบนี้ จนคนหมดความเชื่อถือในคำพูดของฝ่ายบริหารครับ“
https://www.facebook.com/alieninsf/posts/pfbid0wsjxT5jcF37f6hxtTKz7iRYuntTV3jKWZ1bzxXRCzEdp4PBC6LJmh9zBxLXrfCHl
กำไรแบงก์ปี’68 ส่อติดลบ รายจ่ายสกัดภัยการเงินพุ่ง
https://www.prachachat.net/finance/news-1727709
บล.กสิกรไทย ชี้กลุ่มหุ้น “แบงก์-ไอซีที” เสี่ยงเพิ่ม ปมต้องร่วมรับผิดลูกค้าถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนเกิดความเสียหาย หลังกระทรวงดีอีเอสเตรียมชง ครม. 7 ม.ค.นี้ แก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประเมินแบงก์ใหญ่กดดันทุกราย เหตุต้องมีค่าใช้จ่ายลงทุน “Cyber Security” เพิ่ม ซ้ำเติมสินเชื่อโตยาก ขณะที่ “NIM-รายได้ค่าธรรมเนียม” ลดลง คาดการณ์กำไรแบงก์ปีนี้ติดลบ 2%
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 7 ม.ค. 2568 ให้ความเห็นชอบการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อยกระดับการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และเร่งรัดให้เกิดการคืนเงินแก่ผู้เสียหาย รวมไปถึงเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ กรณีไม่ดูแลและละเลยจนก่อให้เกิดอาชญากรรม
โดยประเด็นดังกล่าว ประเมินในเบื้องต้น มองเป็นภาพเชิงลบอ่อน ๆ ต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มไอซีที เพราะปัญหาเรื่องการโจรกรรมทางไซเบอร์เกิดมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจจะมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มธนาคาร คาดว่าทุกแห่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากปัญหามิจฉาชีพ ในการลงทุนพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ความปลอดภัย หรือต้องจ้างโปรแกรมเมอร์เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งจะกดดันค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่รายได้ธนาคารอาจจะไม่ดีนัก เพราะสินเชื่อโตยาก ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ก็หาย และการจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไอทีก็อาจจะทำได้ไม่มากแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายประเภท Cyber Security จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
“คาดว่าทุกธนาคารคงโดนผลกระทบหมด โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ก็น่าจะต้องลงทุนระบบความปลอดภัยที่สูงขึ้น”
นายกรกชกล่าวว่า แนวโน้มกำไรธุรกิจธนาคารปี 2568 ประเมินเบื้องต้นคาดว่าน่าจะติดลบ 2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (YOY) หลัก ๆ ถูกกดดันจาก NIM ที่ลดลง จากที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ลงอีก 1 ครั้ง ในขณะที่สินเชื่อจากเดิมคาดโต 3% แต่มีความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) จากสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยที่อาจจะไม่โต จะมีแค่สินเชื่อรายใหญ่เท่านั้นที่จะเติบโตได้ จึงประเมิน Base Case การเติบโตของสินเชื่อธนาคารปีนี้ราว 1-1.5% เท่านั้น
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมคงทรงตัว เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อจะลดน้อยลง บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับ ATM ที่ลดลงมาต่อเนื่อง 4-5 ปี
“กลุ่มธนาคารปีนี้ สิ่งที่ประหยัดไปได้ คือ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองของธนาคาร (Credit Cost) ที่คาดว่าจะลดลง 15 bps เมื่อเทียบ YOY อยู่ภายใต้สมมุติฐานไม่มีลูกหนี้รายใหญ่มีปัญหา และเรื่องขาดทุนรถยึดน่าจะลดน้อยลง หลังจากปีที่แล้วแบงก์เข้มงวดและเก็บเงินดาวน์มากขึ้น ดังนั้นสรุปภาพรวมกำไรแบงก์ปีนี้อาจจะไม่ดีนัก”
นายกรกชกล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร แนะนำลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) จากภาพกำไรปีนี้ไม่โต จะมีจุดเด่นเดียวคือเรื่องเงินปันผล ที่น่าจะจ่ายได้ดีขึ้น สำหรับนักลงทุนที่เน้นปันผลยังพอลงทุนได้ แนะนำ SCB, TISCO หรือ KTB ที่ราคาหุ้นไม่แพง และเป็นธนาคารเดียวที่ยังให้คำแนะนำ “ซื้อ” ในกลุ่มธนาคาร
ฝุ่น กทม. เกินมาตรฐาน 46 จุด
https://www.innnews.co.th/news/criminal/news_824590/
ฝุ่น PM2.5 กทม. เกินมาตรฐาน 46 จุด ระดับสีส้ม สูงสุดหนองแขมวัดได้ 57.6 มคก./ลบ.ม.
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครสรุปผลการตรวจวัด PM2.5 ประจำวันที่ 5 มกราคม 2568 ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 40.6 มคก./ลบ.ม.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 46 พื้นที่
โดย 5 อันดับที่ตรวจพบฝุ่น PM2.5 มากสุดคือ 1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 มีค่าเท่ากับ 57.6 มคก./ลบ.ม. 2.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ มีค่าเท่ากับ 51.6 มคก./ลบ.ม. 3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 มีค่าเท่ากับ 51.0 มคก./ลบ.ม. 4.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย มีค่าเท่ากับ 50.9 มคก./ลบ.ม. และ 5.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย มีค่าเท่ากับ 50.2 มคก./ลบ.ม. ตํ่าสุดเขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม มีค่าเท่ากับ 37.6 มคก./ลบ.ม
ทั้งนี้ในช่วงวันที่ 5 – 12 ม.ค. 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ดี-อ่อน-ดี” ขณะที่มีการเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้น ทำให้มลพิษทางอากาศสามารถแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสลับลดลง ในระยะ 6 – 7 วัน (ให้น้ำหนักไปในทางเพิ่มขึ้น) จากนั้นความเข้มข้นของฝุ่นละอองจะมีแนวโน้มลดลง