ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา พ่อค้าหน่ายใจ บ่นไปก็ทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ง่ายกว่า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7537399
ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา พ่อค้าหน่ายใจ โวยไปก็ทำอะไรไม่ได้ รอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ง่ายกว่า มั่นใจ เพื่อไทย ก้าวไกล ทำได้ แต่ไม่เชื่อมือรัฐบาลปัจจุบัน
1 มี.ค. 2566 – ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ครั้งล่าสุด ได้ประกาศปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มครัวเรือน หรือ แอลพีจี เพิ่มอีก 15 บาทต่อถัง 15 กก. โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขยับราคาขึ้นเป็น 423 บาท
ผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่สำรวจการจำหน่ายสินค้าในประเภทต่าง ๆ โดยจากการลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยกับร้านกล้วยทอด ริม ถ.รื่นรมย์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น พบว่าได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอย่างมาก
นาย
พงษ์ศักดิ์ ศิริกุล อายุ 45 ปี เจ้าของร้านขายกล้วยทอด กล่าวว่า เป็นข่าวดีของรัฐบาล แต่เป็นข่าวร้ายของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลประกาศปรับราคาขึ้น ประชาชนจะทำอะไรได้นอกจากทำใจ ทั้งที่ทุกคนอยากให้มีการตรึงราคาช่วยออกไปอีก เพราะตอนนี้ราคาก็แพงมากอยู่แล้ว
ส่วนน้ำมันปาล์มที่เคยแพงตอนนี้ลดลงแล้ว แต่ที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้คือก๊าซหุงต้ม ถามว่าร้านต้องปรับตัวใด ๆ หรือไม่ การปรับตัวคงปรับอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ทำใจอย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องปรับคือการปรับเปลี่ยนรัฐบาลมากกว่า ให้คนอื่นมาทำแทนเถอะ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่รัฐบาลปัจจุบัน 8 ปีแล้ว
ตนเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ทำได้ ไม่รู้ว่าเป็น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอื่น ๆ คิดว่าพรรคเหล่านี้ทำได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันตนว่าไม่ได้
นาย
พงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า อยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะได้รับเลือกตั้ง อยากจะให้ลงมาดูเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนให้มากขึ้น การค้าขายของพ่อค้า แม่ค้า เรื่องอุปโภคบริโภค ให้มีราคาถูกลง ส่วนก๊าซหุงต้มอยากให้มีการตรึงราคาไว้ถ้าไม่เกินถังละ 400 บาท ยังพอรับไหว
‘สมคิด’ อัด ครม.ต้องมีมารยาท หลังอนุมัติ 2 พันล.ให้ ‘อนุชา-มท.’ ปชช.ไม่ได้โง่ ฝาก กกต.จับตาดูฝ่าย รบ.ด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3850228
‘สมคิด’ อัด ครม.ต้องมีมารยาท หลังอนุมัติ 2 พันล.ให้ ‘อนุชา-มท.’ บอก อย่าใช้งบประมาณสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง เชื่อ ปชช.ไม่ได้โง่ ฝาก กกต.จับตาดูฝ่ายรัฐบาลด้วย
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นาย
สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ อนุมัติงบกลางเกือบ 2,000 ล้านบาทใน 2 โครงการ คือ โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 1,037 ล้านบาท ที่เสนอโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (สทบ.) ภายใต้การกำกับดูแลของนาย
อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอนุมัติงบช่วยเหลือผู้เสพ, ผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 826 ล้านบาท ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย มองว่าเป็นการใช้งบเพื่อให้รัฐมนตรีคนสนิทนำไปใช้เอื้อประโยชน์สร้างคะแนนความนิยมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า วันนี้สภาปิดสมัยประชุมแล้วและการเลือกตั้งก็จะมีขึ้นแน่นอน ให้รอรัฐบาลหน้า ถ้าคุณกลับมาเป็นรัฐบาลค่อยทำ จะรีบร้อนไปไหน มีเวลา 4 ปี ทำไมคุณไม่ทำ 60 วันก่อนจะมีการเลือกตั้ง คุณค่อยมาทำ จะให้คนอื่นมองแบบอื่นได้อย่างไร เขาก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ฉะนั้น ควรมีมารยาทบ้าง อย่าใช้งบประมาณต่างๆ ในการหาเสียงสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เรื่องแบบนี้ พล.อ.
ประยุทธ์ชอบทำนัก ชอบอ้างว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่เป็นสุภาพบุรุษแบบไหน ดูความเหมาะสมเรื่องงบประมาณบ้าง
เมื่อถามว่า มองว่าเงินในจำนวนนี้มากเกินไปหรือไม่ นาย
สมคิดกล่าวว่า เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ประเด็นคือทางด้านการเมืองเขาควรมีจริยธรรมบ้าง อย่าเอาเปรียบคนอื่นโดยใช้งบประมาณหลวง การใช้อะไรที่เป็นไปในทางที่ล่อแหลมหรือสร้างความนิยม เชื่อว่าชาวบ้านเขารู้ ไม่อยากจะขอร้อง อยากทำอะไรก็ทำ แต่ชาวบ้านเขาเห็นเอง เชื่อว่าประชาชนไม่ได้โง่
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะมีการตรวจสอบหรือดำเนินการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นาย
สมคิดกล่าวว่า ตนจะนำเรื่องนี้เสนอพรรค พท.ว่าจะดำเนินการอย่างไร และฝากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วยจับตาดูพรรคฝ่ายรัฐบาลด้วย ไม่ใช่ดูแต่พรรคฝ่ายค้าน ให้มันมีความเป็นธรรม
‘ศิริกัญญา’ แซะ ‘นายกฯตู่’ แจกแหลก1,000ต่อเดือนเอาเงินมาจากไหน?
https://www.dailynews.co.th/news/2050249/
“ศิริกัญญา” ชวนจับตานายกฯ ตู่อัดงบกลาง 2 พันล้านให้ รมต.คนสนิท สร้างความนิยมช่วงเลือกตั้งหรือไม่ ซัด! นายกฯ ชอบบลัฟนโยบายสวัสดิการพรรคอื่น แต่ตัวเองแจกแหลก 1,000 บาทต่อเดือน ย้อนเอาเงินมาจากไหน? หรือบลัฟกันอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 66 อนุมัติงบกลางเกือบ 2,000 ล้านบาท ใน 2 โครงการ คือ โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 1,037 ล้านบาท ที่เสนอโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (สทบ.) ภายใต้การกำกับดูแลของนาย
อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอนุมัติงบช่วยเหลือผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 826 ล้านบาท ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย จะถูกมองว่าเป็นการใช้งบเพื่อให้รัฐมนตรีคนสนิทนำไปใช้เอื้อประโยชน์สร้างคะแนนความนิยมให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า เป็นไปได้ทั้งหมด
แต่เป็นที่น่าจับตาว่า 1 ปีที่ผ่านมา มีปัญหามากมาย แต่กลับมาเร่งอนุมัติในช่วงก่อนการเลือกตั้ง จึงต้องติดตามดูต่อไปจนกว่าจะมีการยุบสภา แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่การนำมาอนุมัติในช่วงนี้ จึงเป็นเครื่องหมายคำถามว่าจะเป็นการแจกจ่ายผลประโยชน์ครั้งสุดท้ายให้กับรัฐมนตรีที่ยอมมาสวามิภักดิ์ให้กับตัวเองหรือไม่
เมื่อถามว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่าขณะนี้ยังเป็นแค่การอนุมัติโครงการ ส่วนการจะนำปฏิบัติอย่างไรก็ต้องจับตามองต่อไป ที่สำคัญคือต้องไปดูว่างบกลางถูกอนุมัติไปมากน้อยเพียงใด เพราะงบกลางไม่ใช่ให้รัฐบาลนี้ใช้เท่านั้น แต่รัฐบาลต่อไปก็ต้องมาใช้เงินก้อนนี้ด้วย เราจึงต้องมาตรวจดูว่ามีความผิดปกติของการใช้เงินอย่างใด แต่การตรวจสอบงบกลาง ก็เป็นไปค่อนข้างยาก และมีกลไกให้ตรวจสอบผ่านการติดตามมติ ครม.เท่านั้น
น.ส.
ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงการประกาศนโยบายบัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาทต่อเดือน ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการโชว์เหนือนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตอนพรรคการเมืองอื่นเสนอนโยบายสวัสดิการ พล.อ.ประยุทธ์ มักเป็นตัวตั้งตัวตีพูดจาดูแคลนด้อยค่าว่า แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำ แต่พอตัวเองทำบ้างก็กลับไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกับตัวเองที่จะออกมาพูดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จึงเป็นการบลั๊ฟแข่งกันอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อตอนที่พรรคก้าวไกล นำเสนอนโยบายสวัสดิการ เราไม่เคยละเลยที่จะพูดกับประชาชนตรง ๆ ว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าไรและหาเงินเหล่านั้นมาจากไหน โดยเราไม่ได้เสนอแค่ตัดงบประมาณของกองทัพ แต่ยังเสนอการเก็บภาษีประเภทใหม่ และเก็บภาษีเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นยาขมสำหรับพรรคการเมืองที่จะต้องหาเสียง โดยการบอกว่าจะต้องขึ้นภาษี
เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.
ประยุทธ์ ชูนโยบายบัตรสวัสดิการเป็น 1,000 บาทต่อเดือน หมายความว่าประชาชนชื่นชอบใช่หรือไม่ น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นการผูกนโยบายกับบัตรสวัสดิการชุดใหม่ที่มีคนลงทะเบียนใหม่ ซึ่งพบว่าเพิ่งจะมีการปรับข้อเสนอสวัสดิการต่าง ๆ ถ้าอยากจะปรับเป็น 1,000 บาทต่อเดือนจริง ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาล ทำไมต้องรอให้มีการเลือกตั้งถึงจะมาทำ
เมื่อถามว่า หากทำตามนโยบายที่เสนอนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าไร น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า พรรคที่เสนอนโยบายนี้จะต้องชี้แจงว่าจะต้องทำนโยบายไม่ให้เกิดภาระทางการคลัง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดเสมอว่าจะต้องเอาเงินไปลงทุน ไม่สามารถนำมาจ่ายแบบนี้ แต่สุดท้ายตัวเองก็ทำเอง ทั้งนี้ หากคูณง่าย ๆ จ่าย 1,000 บาทต่อหนึ่งคนต่อเดือน เมื่อมี 14 ล้านคน ก็เป็นเงินแสนกว่าล้านบาท หรือสองแสนล้านบาทต่อเดือน.
‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ‘ไตรรงค์’ หาเสียงแบบอนุรักษนิยม ไม่พัฒนา ปชต. เผยชาวบ้านเห็นกลไกช่วยสืบทอดอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3850173
‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ‘ไตรรงค์’ หาเสียงแบบอนุรักษนิยม ไม่พัฒนา ปชต. เผย ชาวบ้านเห็นกลไกช่วยสืบทอดอำนาจ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นาย
ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดูนิ่งเฉยต่อข้อร้องเรียนของนาย
ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สอบนาย
ไตรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำสถาบันฯมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หรือไม่ ว่า ความจริงเรื่องนี้ไม่ค่อยซีเรียส เราไม่เห็นด้วยกับการไปไล่ร้องและไล่ยุบพรรคของนาย
ศรีสุวรรณ แต่การหาเสียงแบบอนุรักษนิยม ที่บอกว่าถ้ารักเจ้า ต้องเลือกพรรคนั้นพรรคนี้ คือการบีบให้ประชาชนไม่มีการพัฒนาทางประชาธิปไตย เรายืนยันว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ควรจะมีเรื่องของใครไม่เลือก ไม่เท่ากับจงรักภักดี ขณะเดียวกัน ในวันที่มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันฯ เช่น มาตรา 112 ก็กลับมาเป็นเครื่องมือทำลายพรรรค ก.ก.
นาย
ปดิพัทธ์กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตของ กกต.ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปี 2562 เลย เพราะ 4 ปีผ่านมา แม้จะเปลี่ยนเลขาธิการ กกต. แต่องค์กรอิสระที่มาจาก คสช. ยังทำหน้าที่แบบเดิมอยู่ คือทำอย่างไรก็ได้ให้พรรคสืบทอดอำนาจได้เปรียบทางการเมือง ดังนั้น จึงเริ่มมีการออกมาบอกว่า จะประกาศผลคะแนนอย่างเป็นทางการ 5 วันหลังจากเลือกตั้ง ทั้งยังสนใจเรื่องหยุมหยิม เช่น ขนาดป้ายหาเสียง แต่กลับไม่ใส่ใจเรื่องการซื้อเสียง การจ่ายหัวคะแนนที่ไปฟังปราศรัยทั่วประเทศ ไม่จัดการเรื่องผิดกฎหมาย แต่จัดการเรื่องผิดระเบียบ วันนี้กกต ก็ไม่รับลูกทันที ว่าที่ทำการพรรค รทสช.มีปัญหา และการปราศรัยมีปัญหา แต่ทีกับคนอื่นกลับทำได้เลย ตอนนี้ กกต.กำลังทำหน้าที่เหมือนปี 2562 คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ฝั่งสืบทอดอำนาจชนะ กกต.จึงเป็นแค่หนึ่งในกลไกที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจถืออยู่
นาย
ปดิพัทธ์กล่าวว่า พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งเป้าจะได้ ส.ส.25 คน และอยากจะเป็นนายกฯต่อ เมื่อ ส.ว.ยังอยู่ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะตีความในวันที่ 3 มีนาคม จะเป็นคุณเป็นโทษต่อการเลือกตั้งในเรื่องจำนวนทะเบียนราษฎรอย่างไร ทุกอย่างจึงไม่ต่างกับปี 2562 มีเพียงเรื่องเดียวที่ต่าง คือประชาชนเห็นการสืบทอดอำนาจแล้ว เลยไม่เคยหวังพึ่งกลไกพวกนั้น มีเพียงการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กับการจับตาการโกงเลือกตั้งของประชาชน ที่จะปกป้องคะแนนเสียงเราได้
JJNY :5in1 ก๊าซหุงต้มขึ้น พ่อค้าหน่ายใจ│‘สมคิด’อัดครม.│‘ศิริกัญญา’แซะ‘ตู่’│‘ปดิพัทธ์’ชี้‘ไตรรงค์’หาเสียง│เอกชนชะลอลงทุน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7537399
ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา พ่อค้าหน่ายใจ โวยไปก็ทำอะไรไม่ได้ รอเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ง่ายกว่า มั่นใจ เพื่อไทย ก้าวไกล ทำได้ แต่ไม่เชื่อมือรัฐบาลปัจจุบัน
1 มี.ค. 2566 – ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ครั้งล่าสุด ได้ประกาศปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มครัวเรือน หรือ แอลพีจี เพิ่มอีก 15 บาทต่อถัง 15 กก. โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขยับราคาขึ้นเป็น 423 บาท
ผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่สำรวจการจำหน่ายสินค้าในประเภทต่าง ๆ โดยจากการลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยกับร้านกล้วยทอด ริม ถ.รื่นรมย์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น พบว่าได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอย่างมาก
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริกุล อายุ 45 ปี เจ้าของร้านขายกล้วยทอด กล่าวว่า เป็นข่าวดีของรัฐบาล แต่เป็นข่าวร้ายของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลประกาศปรับราคาขึ้น ประชาชนจะทำอะไรได้นอกจากทำใจ ทั้งที่ทุกคนอยากให้มีการตรึงราคาช่วยออกไปอีก เพราะตอนนี้ราคาก็แพงมากอยู่แล้ว
ส่วนน้ำมันปาล์มที่เคยแพงตอนนี้ลดลงแล้ว แต่ที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้คือก๊าซหุงต้ม ถามว่าร้านต้องปรับตัวใด ๆ หรือไม่ การปรับตัวคงปรับอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ทำใจอย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องปรับคือการปรับเปลี่ยนรัฐบาลมากกว่า ให้คนอื่นมาทำแทนเถอะ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่รัฐบาลปัจจุบัน 8 ปีแล้ว
ตนเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ทำได้ ไม่รู้ว่าเป็น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอื่น ๆ คิดว่าพรรคเหล่านี้ทำได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันตนว่าไม่ได้
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า อยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะได้รับเลือกตั้ง อยากจะให้ลงมาดูเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนให้มากขึ้น การค้าขายของพ่อค้า แม่ค้า เรื่องอุปโภคบริโภค ให้มีราคาถูกลง ส่วนก๊าซหุงต้มอยากให้มีการตรึงราคาไว้ถ้าไม่เกินถังละ 400 บาท ยังพอรับไหว
‘สมคิด’ อัด ครม.ต้องมีมารยาท หลังอนุมัติ 2 พันล.ให้ ‘อนุชา-มท.’ ปชช.ไม่ได้โง่ ฝาก กกต.จับตาดูฝ่าย รบ.ด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3850228
‘สมคิด’ อัด ครม.ต้องมีมารยาท หลังอนุมัติ 2 พันล.ให้ ‘อนุชา-มท.’ บอก อย่าใช้งบประมาณสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง เชื่อ ปชช.ไม่ได้โง่ ฝาก กกต.จับตาดูฝ่ายรัฐบาลด้วย
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ อนุมัติงบกลางเกือบ 2,000 ล้านบาทใน 2 โครงการ คือ โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 1,037 ล้านบาท ที่เสนอโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (สทบ.) ภายใต้การกำกับดูแลของนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอนุมัติงบช่วยเหลือผู้เสพ, ผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 826 ล้านบาท ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย มองว่าเป็นการใช้งบเพื่อให้รัฐมนตรีคนสนิทนำไปใช้เอื้อประโยชน์สร้างคะแนนความนิยมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า วันนี้สภาปิดสมัยประชุมแล้วและการเลือกตั้งก็จะมีขึ้นแน่นอน ให้รอรัฐบาลหน้า ถ้าคุณกลับมาเป็นรัฐบาลค่อยทำ จะรีบร้อนไปไหน มีเวลา 4 ปี ทำไมคุณไม่ทำ 60 วันก่อนจะมีการเลือกตั้ง คุณค่อยมาทำ จะให้คนอื่นมองแบบอื่นได้อย่างไร เขาก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ฉะนั้น ควรมีมารยาทบ้าง อย่าใช้งบประมาณต่างๆ ในการหาเสียงสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เรื่องแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ชอบทำนัก ชอบอ้างว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่เป็นสุภาพบุรุษแบบไหน ดูความเหมาะสมเรื่องงบประมาณบ้าง
เมื่อถามว่า มองว่าเงินในจำนวนนี้มากเกินไปหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ประเด็นคือทางด้านการเมืองเขาควรมีจริยธรรมบ้าง อย่าเอาเปรียบคนอื่นโดยใช้งบประมาณหลวง การใช้อะไรที่เป็นไปในทางที่ล่อแหลมหรือสร้างความนิยม เชื่อว่าชาวบ้านเขารู้ ไม่อยากจะขอร้อง อยากทำอะไรก็ทำ แต่ชาวบ้านเขาเห็นเอง เชื่อว่าประชาชนไม่ได้โง่
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะมีการตรวจสอบหรือดำเนินการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ตนจะนำเรื่องนี้เสนอพรรค พท.ว่าจะดำเนินการอย่างไร และฝากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วยจับตาดูพรรคฝ่ายรัฐบาลด้วย ไม่ใช่ดูแต่พรรคฝ่ายค้าน ให้มันมีความเป็นธรรม
‘ศิริกัญญา’ แซะ ‘นายกฯตู่’ แจกแหลก1,000ต่อเดือนเอาเงินมาจากไหน?
https://www.dailynews.co.th/news/2050249/
“ศิริกัญญา” ชวนจับตานายกฯ ตู่อัดงบกลาง 2 พันล้านให้ รมต.คนสนิท สร้างความนิยมช่วงเลือกตั้งหรือไม่ ซัด! นายกฯ ชอบบลัฟนโยบายสวัสดิการพรรคอื่น แต่ตัวเองแจกแหลก 1,000 บาทต่อเดือน ย้อนเอาเงินมาจากไหน? หรือบลัฟกันอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 66 อนุมัติงบกลางเกือบ 2,000 ล้านบาท ใน 2 โครงการ คือ โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 1,037 ล้านบาท ที่เสนอโดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (สทบ.) ภายใต้การกำกับดูแลของนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอนุมัติงบช่วยเหลือผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 826 ล้านบาท ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย จะถูกมองว่าเป็นการใช้งบเพื่อให้รัฐมนตรีคนสนิทนำไปใช้เอื้อประโยชน์สร้างคะแนนความนิยมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า เป็นไปได้ทั้งหมด
แต่เป็นที่น่าจับตาว่า 1 ปีที่ผ่านมา มีปัญหามากมาย แต่กลับมาเร่งอนุมัติในช่วงก่อนการเลือกตั้ง จึงต้องติดตามดูต่อไปจนกว่าจะมีการยุบสภา แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่การนำมาอนุมัติในช่วงนี้ จึงเป็นเครื่องหมายคำถามว่าจะเป็นการแจกจ่ายผลประโยชน์ครั้งสุดท้ายให้กับรัฐมนตรีที่ยอมมาสวามิภักดิ์ให้กับตัวเองหรือไม่
เมื่อถามว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าขณะนี้ยังเป็นแค่การอนุมัติโครงการ ส่วนการจะนำปฏิบัติอย่างไรก็ต้องจับตามองต่อไป ที่สำคัญคือต้องไปดูว่างบกลางถูกอนุมัติไปมากน้อยเพียงใด เพราะงบกลางไม่ใช่ให้รัฐบาลนี้ใช้เท่านั้น แต่รัฐบาลต่อไปก็ต้องมาใช้เงินก้อนนี้ด้วย เราจึงต้องมาตรวจดูว่ามีความผิดปกติของการใช้เงินอย่างใด แต่การตรวจสอบงบกลาง ก็เป็นไปค่อนข้างยาก และมีกลไกให้ตรวจสอบผ่านการติดตามมติ ครม.เท่านั้น
น.ส.ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงการประกาศนโยบายบัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาทต่อเดือน ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการโชว์เหนือนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตอนพรรคการเมืองอื่นเสนอนโยบายสวัสดิการ พล.อ.ประยุทธ์ มักเป็นตัวตั้งตัวตีพูดจาดูแคลนด้อยค่าว่า แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำ แต่พอตัวเองทำบ้างก็กลับไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกับตัวเองที่จะออกมาพูดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จึงเป็นการบลั๊ฟแข่งกันอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
เมื่อตอนที่พรรคก้าวไกล นำเสนอนโยบายสวัสดิการ เราไม่เคยละเลยที่จะพูดกับประชาชนตรง ๆ ว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าไรและหาเงินเหล่านั้นมาจากไหน โดยเราไม่ได้เสนอแค่ตัดงบประมาณของกองทัพ แต่ยังเสนอการเก็บภาษีประเภทใหม่ และเก็บภาษีเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นยาขมสำหรับพรรคการเมืองที่จะต้องหาเสียง โดยการบอกว่าจะต้องขึ้นภาษี
เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชูนโยบายบัตรสวัสดิการเป็น 1,000 บาทต่อเดือน หมายความว่าประชาชนชื่นชอบใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นการผูกนโยบายกับบัตรสวัสดิการชุดใหม่ที่มีคนลงทะเบียนใหม่ ซึ่งพบว่าเพิ่งจะมีการปรับข้อเสนอสวัสดิการต่าง ๆ ถ้าอยากจะปรับเป็น 1,000 บาทต่อเดือนจริง ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาล ทำไมต้องรอให้มีการเลือกตั้งถึงจะมาทำ
เมื่อถามว่า หากทำตามนโยบายที่เสนอนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าไร น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า พรรคที่เสนอนโยบายนี้จะต้องชี้แจงว่าจะต้องทำนโยบายไม่ให้เกิดภาระทางการคลัง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดเสมอว่าจะต้องเอาเงินไปลงทุน ไม่สามารถนำมาจ่ายแบบนี้ แต่สุดท้ายตัวเองก็ทำเอง ทั้งนี้ หากคูณง่าย ๆ จ่าย 1,000 บาทต่อหนึ่งคนต่อเดือน เมื่อมี 14 ล้านคน ก็เป็นเงินแสนกว่าล้านบาท หรือสองแสนล้านบาทต่อเดือน.
‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ‘ไตรรงค์’ หาเสียงแบบอนุรักษนิยม ไม่พัฒนา ปชต. เผยชาวบ้านเห็นกลไกช่วยสืบทอดอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3850173
‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ‘ไตรรงค์’ หาเสียงแบบอนุรักษนิยม ไม่พัฒนา ปชต. เผย ชาวบ้านเห็นกลไกช่วยสืบทอดอำนาจ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดูนิ่งเฉยต่อข้อร้องเรียนของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สอบนายไตรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำสถาบันฯมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หรือไม่ ว่า ความจริงเรื่องนี้ไม่ค่อยซีเรียส เราไม่เห็นด้วยกับการไปไล่ร้องและไล่ยุบพรรคของนายศรีสุวรรณ แต่การหาเสียงแบบอนุรักษนิยม ที่บอกว่าถ้ารักเจ้า ต้องเลือกพรรคนั้นพรรคนี้ คือการบีบให้ประชาชนไม่มีการพัฒนาทางประชาธิปไตย เรายืนยันว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ควรจะมีเรื่องของใครไม่เลือก ไม่เท่ากับจงรักภักดี ขณะเดียวกัน ในวันที่มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันฯ เช่น มาตรา 112 ก็กลับมาเป็นเครื่องมือทำลายพรรรค ก.ก.
นายปดิพัทธ์กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตของ กกต.ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปี 2562 เลย เพราะ 4 ปีผ่านมา แม้จะเปลี่ยนเลขาธิการ กกต. แต่องค์กรอิสระที่มาจาก คสช. ยังทำหน้าที่แบบเดิมอยู่ คือทำอย่างไรก็ได้ให้พรรคสืบทอดอำนาจได้เปรียบทางการเมือง ดังนั้น จึงเริ่มมีการออกมาบอกว่า จะประกาศผลคะแนนอย่างเป็นทางการ 5 วันหลังจากเลือกตั้ง ทั้งยังสนใจเรื่องหยุมหยิม เช่น ขนาดป้ายหาเสียง แต่กลับไม่ใส่ใจเรื่องการซื้อเสียง การจ่ายหัวคะแนนที่ไปฟังปราศรัยทั่วประเทศ ไม่จัดการเรื่องผิดกฎหมาย แต่จัดการเรื่องผิดระเบียบ วันนี้กกต ก็ไม่รับลูกทันที ว่าที่ทำการพรรค รทสช.มีปัญหา และการปราศรัยมีปัญหา แต่ทีกับคนอื่นกลับทำได้เลย ตอนนี้ กกต.กำลังทำหน้าที่เหมือนปี 2562 คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ฝั่งสืบทอดอำนาจชนะ กกต.จึงเป็นแค่หนึ่งในกลไกที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจถืออยู่
นายปดิพัทธ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งเป้าจะได้ ส.ส.25 คน และอยากจะเป็นนายกฯต่อ เมื่อ ส.ว.ยังอยู่ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะตีความในวันที่ 3 มีนาคม จะเป็นคุณเป็นโทษต่อการเลือกตั้งในเรื่องจำนวนทะเบียนราษฎรอย่างไร ทุกอย่างจึงไม่ต่างกับปี 2562 มีเพียงเรื่องเดียวที่ต่าง คือประชาชนเห็นการสืบทอดอำนาจแล้ว เลยไม่เคยหวังพึ่งกลไกพวกนั้น มีเพียงการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กับการจับตาการโกงเลือกตั้งของประชาชน ที่จะปกป้องคะแนนเสียงเราได้