JJNY : ยื่นซักฟอกไม่เกินสัปดาห์ที่ 2 มีค.│อดีตกกต.เตือนอย่าขี้โม้│ชี้รบ.ทำให้ GDP โตไม่ได้│จีนหนาวจัดติดลบกว่า 40 องศา

"ปกรณ์วุฒิ" ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกไม่เกินสัปดาห์ที่ 2 มีค.-อุบทีเด็ด
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_825394/
  
 
“ปกรณ์วุฒิ”ฝ่ายค้านจ่อยื่นซักฟอก ไม่เกินสัปดาห์ที่ 2 มี.ค. นี้ ขออุบไม้เด็ด เป็นเซอร์ไพรส์ ยอมรับมีเรื่อง “ทักษิณ-ชั้น 14” บอกไม่ง่ายที่จะน็อครัฐมนตรีกลางสภาได้ แต่ก็ไม่แน่ เพราะหมากรัฐบาลง่อนแง่น อาจจะมีการเปลี่ยนใจย้ายข้าง
 
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน เปิดเผยว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล กรอบกว้างๆ อยู่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม หรือเป็นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม และคงไม่ช้าไปกว่านั้น ทั้งนี้ ประเด็นในการอภิปรายนั้น มองว่า มีหลายเรื่อง ทั้งในระดับนโยบาย การบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว ส่อไปทางทุจริต
 
โดยพรรคประชาชนได้ตรวจสอบมาตั้งแต่พรรคก้าวไกล พูดมาตลอด ทั้งการเอื้อกลุ่มทุนผูกขาด เอื้อตัวบุคคล บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ล้มเหลวเปลี่ยนไปมา รวมถึงการตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง และบางเรื่องที่ยังไม่เคยพูด แต่มีข้อมูลที่ได้มาหลังบ้าน ก็อาจจะมาเจอกันในศึกซักฟอกครั้งนี้
สำหรับไม้เด็ดในการซักฟอกครั้งนี้นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่าแต่ละครั้งก็จะมีเรื่องที่สื่อให้ความสนใจ ซึ่งไม้เด็ดก็จะไม่มีการเปิดเผยก่อน เก็บเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ ส่วนบางเรื่อง อยู่ระหว่างการเช็คความถูกต้องของข้อมูล และต้องยอมรับว่า กลไกของการอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการเป็นเสียงส่วนน้อย คงหวังได้ยากในการลงมติที่จะทำให้น็อครัฐมนตรีได้แต่ช่วงนี้ก็ไม่แน่ เพราะหมากรัฐบาลง่อนแง่นอยู่ อาจจะมีการเปลี่ยนใจย้ายข้าง และเป็นส่วนหนึ่งในการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
 
แต่ทุกครั้งในการน็อคกลางสภาเกิดขึ้นน้อยมาก โดยสภาวะไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลเป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองของความร้าวฉานภายในรัฐบาล แต่สิ่งที่พรรคร่วมฝ่ายค้านต้องการ คือ อยากให้ข้อมูลกับประชาชนรับทราบว่า มีข้อบกพร่อง ปกปิดสังคมอะไรบ้าง ทำให้สังคมหันมาสนใจการเมือง การตรวจสอบอำนาจบริหารของสภาเป็นเรื่องสำคัญ
 
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวด้วยว่า แม้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเข้ามาทำงานได้เพียง 3-4 เดือน ไม่ใช่ข้ออ้างและเหตุผลเพราะอภิปรายรายบุคคล ก็จะมีทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ต้องย้ำว่า รัฐรัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาทำงาน แต่เป็นรัฐบาลที่ทำมาแล้ว 1 ปีกว่า
ดังนั้น ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็น ส่วนเรื่องของนายทักษิณ ชินวัตร จะมีหรือไม่ก็คงไม่เป็นเรื่องของนายทักษิณโดยโดยตรง แต่จะเป็นพฤติกรรมของฝ่ายบริหารที่บิดเบือนกระบวนการยุติธรรมให้กับคนบางกลุ่ม คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องใด
 
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชน ไม่ได้กังวล พร้อมยืนยัน การตรวจสอบเข้มข้นมาโดยตลอดตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ซึ่งเชื่อมั่น มั่นใจการทำงานตรวจสอบเต็มที่ อย่างเรื่องชั้น 14 ก็มีการอภิปรายในศึกซักฟอกด้วยเช่นกัน



โทษหนัก! อดีตกกต.เตือนหาเสียง อย่าขี้โม้ ขู่ปลดรมต. ชี้เข้าข่ายใช้อิทธิพลคุกคาม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9578882

อดีตกกต. เตือนหาเสียงอย่าขี้โม้ ยกเคส ผู้ช่วยหาเสียงขี้นเวทีสั่งรมต.ไม่ทำมีปลดออก ชี้เปิดกม.เข้าข่ายใช้อิทธิพลคุกคาม โทษหนักเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
 
เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2568 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า 

หาเสียง อย่าขี้โม้ 
 
การหาเสียงที่ขี้โม้ อาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ทั้งเลือกตั้งสส. และเลือกตั้งท้องถิ่นได้ ไม่ว่าคนขี้โม้นั้นจะเป็นผู้สมัครเองหรือผู้ช่วยหาเสียงก็ตาม
 
ตัวอย่างเช่น มีไอ้ขี้โม้ขึ้นเวทีในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ว่าจะทำโน่นทำนี่ สั่งรัฐมนตรี สั่ง ครม. ให้ลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมัน จะส่งกองกำลังไปทลายบ่อนนอกประเทศ รัฐมนตรีคนไหนไม่ทำงานจะปลดออก โม้ไปเรื่อย ทั้งๆที่ตัวเองเป็นแค่คนแก่ตกงาน อย่างนี้มีโอกาสเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งได้
พลิกไปดู กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 65(5) เขาห้ามผู้สมัครและผู้ใด หลอกลวง ใช้อิทธิพลคุกคาม บังคับขู่เข็ญ ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครใด
 
“การขี้โม้ให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง จัดเป็นหนึ่งในการหลอกลวง บทกำหนดโทษ อยู่ในมาตรา 126 วรรคสอง คือ จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ใครที่อยู่บนเวทีหาเสียงแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ โปรดระมัดระวังด้วย” นายสมชัย ระบุ

https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid02f4JFvYp6mhNGXjbmoqxYUh1FLctSBYCqKc6TyS1mHkFyYUSDQ3Q5hNQayVpRRCBAl


 
อาจารย์มข. ชี้รบ.ทำให้GDP โตไม่ได้ เลยโบ้ยเอกชน ปมผลิตไฟเกินต้องการ แนะหนุนรง.ใช้ไฟถูกช่วง off-peak
https://www.matichon.co.th/economy/news_4987512
 
อาจารย์มข. ชี้รบ.ทำให้GDP โตไม่ได้ เลยโบ้ยเอกชน ปมผลิตไฟเกินต้องการ แนะหนุนรง.ใช้ไฟถูกช่วง off-peak
 
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ศาสตราจารย์อภิรัฐ ศิริธราธิวัตร อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องพลังงานไฟฟ้าประเทศไทยว่า 

”ระบบพลังงานไฟฟ้าประเทศไทย: นโยบายที่ดีแต่ขาดความรู้ โดยมีรายละเอียดคือ 
 
ตนทำวิจัยด้านระบบไฟฟ้ามาร่วม 10 ปี และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับศาสตราจารย์ด้านไฟฟ้ากำลัง รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานทางไฟฟ้ามาพอควร จึงขอแสดงความเห็นในเชิงวิชาการบ้าง

1. การแก้กฎหมายเรื่องโซลาร์รูฟทอป (Solar Rooftop) ที่ทาง รมต พลังงาน พยายามจะแก้ไขให้ บุคคลทั่วไปสามารถติดตั้งโซลาร์เซลผลิตไฟฟ้าให้ใช้ในบ้านตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีมากๆ …เฉพาะกรณีที่บ้านหลังนั้นไม่ใช้ไฟ จาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เลย
 
ทั้งนี้ สิ่งที่ทุกท่านควรทราบว่า ไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซล โรงไฟฟ้าขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล ฯลฯ นั้น แม้จะมีแรงดัน 220/380 โวลต์ เช่นเดียวกับ กฟภ. หรือ กฟน. ….แต่ๆๆ ความถี่ไม่ใช่ 50 เฮิร์ต เป๊ะๆ นอกจากนั้น หากความถี่ตรงกันเป๊ะๆ แต่เมื่อจะขายไฟคืนให้ กฟภ./กฟน. นั้น…มุมของคลื่น จะต้องตรงกัน….คำถามคือถ้ามุมของคลื่นไม่ตรงกัน ก็จะทำให้เกิดปัญหาแรงดันในแต่ละเฟสไม่สมดุล ซึ่งจะก่อให้เกิดการกำจัดไฟฟ้าส่วนเกินทิ้งไปเฉยๆ (แน่นอนว่านี่คือต้นทุนค่าไฟของพวกเราทุกคน) …แต่ๆๆๆ ถ้าไฟฟ้าส่วนเกินนี้มีค่าสูงมากๆ ก็อาจจะก่อให้เกิดระบบไฟฟ้าล่ม จนไฟฟ้าดับทั้งพื้นที่ได้ อันส่งผลให้เกิดความไร้เสถียรภาพของระบบไฟฟ้า รวมทั้งความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
 
2. การชะลอการจัดซื้อพลังงาน ที่แม้ว่าจะดูแล้ว รมต. และ นายกรัฐมนตรี จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น แต่กลับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับภาคเอกชน ….ซึ่งปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้เราต้องมีความมั่นคงทางพลังงาน ทำให้รัฐบาลชุดที่ผ่านๆมา กำหนดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของประเทศ ไว้ในอัตราที่สูง ซึ่งประเทศจำเป็นต้องจัดเตรียมพลังงานเพื่อรองรับ โดย กกพ. และกระทรวงพลังงาน จำเป็นต้องคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าในอนาคต และต้องมีการทำสัญญากับเอกชนเพื่อเตรียมผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต….ดังนั้น ต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงคือ …“รัฐบาลไม่สามารถบริหารให้ประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือสร้าง GDP ได้ตามที่ควรจะเป็นครับ” !!!!!
 
ตอนนี้ก็หันรีหันขวางจะโทษใครดี ก็ต้องโทษเอกชนที่ผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการ จนเอกชนก็ได้เงินไปฟรีๆ 🤣🤣🤣..ใช่เหรอครับ ??
 
ตนเสนอว่า รัฐบาลควรพยายามให้ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าให้ได้ใกล้เคียงกับการผลิตจริง เพื่อไม่ให้เกิดการผลิตไฟฟ้าแล้วทิ้งไปเฉยๆ ถ้าจำไม่ผิดคือเราใช้ไฟจริงๆแค่ประมาณ 70% ของที่ผลิตในแต่ละวัน (ไฟฟ้าที่ทิ้งไปเฉยๆ คือต้นทุนที่พวกเราคนไทยทุกคนต้องจ่าย)
 
ดังนั้นหากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนโรงงาน โดยให้ใช้ไฟฟ้าในราคาถูก ในช่วงเวลาที่เป็น off-peak เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานไฟฟ้า จะทำให้ประชาชนทุกคนจ่ายค่าไฟถูกลง และมีการสร้างงานเพิ่มครับ
 
หรือการสร้างแบตเตอรีขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้า ดังเช่นในหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังดำเนินการในแนวทางนี้ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย ก็จะเป็นการลดต้นทุนการผลิตอีกทางหนึ่ง

https://www.facebook.com/apirat.siritaratiwat/posts/pfbid0vd2hf2ML79qBq3ZGiSnNP9CM1SvgWNWKtDmQqpGFmPPLohqbuz7mNDNYSU6eCvj2l
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่