เท้ง ลั่น ก็ลองดู หลัง ทักษิณ ประกาศทวงพื้นที่คืน เมินถูกกล่าวหาด่าเก่งขึ้น ชี้อยู่บนข้อเท็จจริง ไม่สร้างวาทกรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4969596
เท้ง ลั่น ก็ลองดู หลัง ทักษิณ ประกาศทวงพื้นที่คืน เมินถูกกล่าวหาด่าเก่งขึ้น บอกอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่สร้างวาทกรรม ถามกลับ พท.มีผลงานด้าน กม.กี่ฉบับ ขณะที่ ปชน.มีเพียบ
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ปราศรัยพาดพิงพรรคประชาชนทำงานไม่เป็น ว่า สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาชนมีผลงานเป็นรูปธรรมคือการผลักดันนโยบายต่างๆ ผ่านการเสนอกฎหมาย เรามีชุดกฎหมายในการปฏิรูปประเทศหลายชุด จำนวน 80 กว่าฉบับ ซึ่งตอนนี้เรากำลังรณรงค์แคมเปญที่จะสื่อสารต่อประชาชน ถึงเหตุผลและความจำเป็น ในทางกลับกัน ถ้าไปดูในระเบียบวาระการประชุมสภาในปัจจุบัน ตนก็อยากส่งคำถามกลับไปว่าพรรคเพื่อไทยมีชุดกฎหมายในการผลักดันนโยบายตัวเองสักกี่ฉบับ
“
แน่นอนที่สุดว่าผมเข้าใจว่าการดำเนินนโยบาย นอกจากการเสนอกฎหมาย ยังมีเรื่องงบประมาณ มีเรื่องอื่นๆ อีก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าในหลายนโยบายจะทำได้ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเช่นเดียวกัน” นาย
ณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการให้สัมภาษณ์ของนาย
ทักษิณเป็นการดิสเครดิตพรรคประชาชน เพื่อทวงคืนพื้นที่ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นการแสดงข้อคิดเห็น ใช้วาทกรรมทางการเมืองที่ปราศจากข้อเท็จจริง
“
ข้อเท็จจริงนั้น ผมคิดว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนมองเห็นแล้วว่า พรรคการเมืองใดที่ตั้งใจในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนจริงๆ ในส่วนของพรรคประชาชนเองในฐานะพรรคฝ่ายค้านไม่มีอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวจัดสรรงบประมาณ ผลักดันส่วนราชการต่างๆ สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เราได้หาเสียงไว้ในการเสนอกฎหมาย” นาย
ณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แต่การที่นาย
ทักษิณพูดแรงถึงขั้นว่าพรรคประชาชน เดี๋ยวนี้ด่าเก่งขึ้น ฝั่งพรรคประชาชนมองอย่างไร นาย
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ในส่วนของการแสดงข้อคิดเห็นของพรรคประชาชน ที่ผ่านมา ตนเชื่อมั่นว่าตัวแทนของพรรคประชาชนเราแสดงความคิดเห็นบนข้อเท็จจริง เราไม่มีการกล่าวหาพาดพิงใดๆ พูดคุย หรือสร้างวาทกรรมทางการเมืองโดยปราศจากข้อเท็จจริง ประเด็นเรื่องค่าไฟฟ้าที่วันนี้ได้มีการแถลงข่าว ก็จะเห็นได้ว่ามีการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีมีส่วนในการรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาล สามารถยกเลิกกระบวนการดังกล่าวได้ แต่ก็มีความพยายามสร้างกระแสบนโลกออนไลน์ให้ประชาชนมีความเข้าใจผิด
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า นายทักษิณจะสามารถขอคืนพื้นที่ที่พรรคประชาชนยึดมาได้ ระบุว่า “
ก็ต้องลองดู” พรรคประชาชนเองเราก็มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน
นาย
ณัฐพงษ์ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เรามี ส.ส.เขตเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายพื้นที่ เราพร้อมสู้ศึกสนามเลือกตั้งท้องถิ่นและพร้อมจะเข้าไปนายก อบจ.
เมื่อถามว่า การที่นาย
ทักษิณมาช่วยนายกรัฐมนตรีเต็มสูบ ทำให้พรรคประชาชนดร็อปลงหรือไม่ นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ดรอปลงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ที่พรรคประชาชนเดินทางมาถึงในปัจจุบันเรายิ่งมีบุคลากรมากขึ้นเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของพรรคไม่ว่าจะเป็นแกนนำที่ปัจจุบันการเป็นผู้ช่วยหาเสียงและอย่างน้อยที่สุดหากเราชนะเลือกตั้งสนาม อบจ. เราก็จะมีที่ปรึกษาที่เข้ามาช่วยนโยบายในการผลักดันเรื่องต่างๆ มากขึ้น จึงคิดว่าไม่ได้เป็นข้อด้อย หรืออุปสรรคอะไร
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนเป็นต่ออยู่แล้วใช่หรือไม่ นาย
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ในการเลือกตั้งทุกครั้งก็มีโอกาสแพ้ชนะ
“
แน่นอนที่สุดตัวผมเองมีความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาชนมีโอกาสในทุกสนาม แต่คงไม่ได้จะไปบอกว่าเราเด่นด้อยกว่าใคร แต่หากดูในผลงาน ในข้อเท็จจริง เช่น การเสนอกฎหมาย ที่ผมได้บอกไป อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เรามีจำนวนกฎหมายที่ถูกเสนอในสภามากที่สุด” นาย
ณัฐพงษ์กล่าว
ปชน. แถลงจี้ ‘อิ๊งค์’ ใช้อำนาจนายกฯ เร่งแก้ปัญหารับซื้อไฟฟ้า ทำประชาชนใช้ของแพง
https://www.matichon.co.th/region/news_4969820
ปชน. แถลงยืน ‘แพทองธาร’ มีอำนาจเต็มแต่กลับเงียบกริบ ปมรับซื้อไฟฟ้านายทุน ไล่ยุบสภา! หากโบ้ยไม่สามารถทำได้ ยกโพสต์หาเสียง ‘เพื่อไทย’ และระเบียบสมัย ‘ประยุทธ์’ ยกเลิกได้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ ลั่น ปฏิเสธวิจารณ์ไม่ได้ ‘พ่อนายกฯ’ ตีกอล์ฟกับ CEO ทุนพลังงาน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ธันวาคม นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวถึงกรณีการยกเลิกรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่เป็นการเอื้อทุนพลังงาน และการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในการยกเลิกการจัดซื้อดังกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจน ต่อตัวนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจเต็ม แต่กลับไม่ใช้ และมีทางเลือกที่ดีกว่า ถูกกว่า แต่กลับไม่ทำ ซึ่งพรรคประชาชนมองว่าปัญหาเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่ และสำคัญ แต่นายกรัฐมนตรีกลับเงียบกริบ
นาย
ณัฐพงษ์ได้โชว์แผ่นกระดาษที่มีข้อความโพสต์ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 เม.ย.66 ที่อยู่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่แสดงจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ ที่ริเริ่มในสมัยรัฐบาลของพลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี โดยล็อต 3,600 เมกะวัตต์ในการแถลงครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนในยุคพลเอกประยุทธ์โดยตรง ซึ่งมี 3 หัวข้อดังนี้
เรื่องแรก คือ พรรคประชาชนอยากมาให้ข้อเท็จจริง เพื่อลบข้อบิดเบือนที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลปัดความรับผิดชอบ ที่อ้างว่า นายกฯ ไม่มีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ซึ่งตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช.เป็นผู้กำหนดรับซื้อ และกำหนดราคาในการรับซื้อ โดยใช้วิธีการคัดเลือก ไม่ใช่ประมูล และราคาในการรับซื้อ มีการล็อกไว้ถึง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2573 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราตั้งคำถามว่าเป็นกระบวนการที่ปราศจากความโปร่งใส ขาดการแข่งขัน และอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในอีก 25 ปีข้างหน้า
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ตอบเป็นบันทึกการประชุมสภาว่า ท่านเองก็ไม่เห็นด้วยจากกระบวนการดังกล่าว ตนจึงอยากจะย้ำประเด็นที่บอกว่านายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายกับคณะกรรมการ กพช.นั้นไม่เป็นความจริง เพราะโครงการนี้ริเริ่มจากสมัยรัฐบาลของพลเอก
ประยุทธ์ การจะยกเลิกได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายของรัฐ ผ่านการออกมติ กพช.ในสมัยรัฐบาลของ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สามารถทำได้ในการยกเลิกกระบวนการดังกล่าว
ส่วนความจำเป็นเร่งด่วนที่ กพช.ออกประกาศเดินหน้าซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีเส้นตายเพียงแค่ 14 วัน คือภายในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ หากไม่ยกเลิกแล้ว เราจะไม่สามารถยกเลิกกระบวนการนี้ได้อีก ซึ่งตามระเบียบการรับซื้อของ กพช. ในข้อที่ 8 (2) มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช.ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกก่อนการลงนามในสัญญา นั่นหมายความว่าสามารถยกเลิกได้หากยังไม่มีการลงนามร่วมกัน และเหตุผลที่สามารถยกเลิกได้อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่ กพช.เป็นผู้กำหนด
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะอ้างว่า ไม่สามารถควบคุมสภาพเสียงข้างมากใน กพช. เพื่อผ่านเป็นมติได้ รัฐบาลควรจะยุบสภา เพราะองค์ประกอบ กพช. ประกอบไปด้วยคณะกรรมการ 19 คน โดย 14 ใน 19 คน คือคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งมาโดยตรง หากนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนว่า ประสงค์จะยกเลิกกระบวนการนี้ ท่านก็สามารถทำได้ แต่หากทำไม่ได้โดยอ้างว่าไม่สามารถคุมสภาพเสียงไว้ได้นั้น ก็แปลว่าท่านบริหารคณะรัฐมนตรีไม่ได้ ก็สมควรจะยุบสภา และออกและบอกกับประชาชนว่า ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งมาด้วยตัวเองไม่เห็นชอบ ตนจึงเชื่อว่า ประเด็นนี้คนไทยอยากฟังคำตอบว่า นายกฯ มีอำนาจเต็มแต่ไม่ได้ใช้ และมีแนวดำเนินอย่างไรต่อไป
เรื่องต่อมา คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดของประเทศ พรรคประชาชนเห็นด้วยอย่างยิ่ง และพร้อมให้การสนับสนุนที่จะทำให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นในอนาคต ที่ออกมาบอกว่ากระบวนการนี้ดีแล้ว ทำไมพรรคประชาชนต้องออกมาคัดค้าน ซึ่งตนอยากให้ความชัดเจนว่า เราไม่ได้คัดค้านการไปเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด เพียงแต่มีกระบวนการที่ดีกว่า และกระบวนการที่ถูกกว่า และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ในการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดดังกล่าว คือรัฐบาลมีช่องทางที่ดี และถูกกว่านี้ได้ แต่กลับไม่เลือกทำ เนื่องจากการรับซื้อพลังงาน มีการผูกสัญญาสัมปทานถึง 25 ปี และใช้วิธีการคัดเลือกปราศจากความโปร่งใส และอาจจะส่งผลให้คนไทยจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงถึง 1 แสนล้านบาทใน 25 ปีข้างหน้า
นาย
ณัฐพงษ์ได้เสนอทางเลือกที่ดีกว่า 2 ข้อ และอยากให้ความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี ว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร คือ 1.การเพิ่มโควต้าการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ใช้ไฟฟ้ากับโรงงานผู้ผลิตสินค้า หรือผู้ผลิตไฟฟ้าสะอาด ซึ่งตามแนวนโยบายของรัฐ ได้ให้โควต้าอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ ถ้ารัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาด รัฐบาลมีช่องทางเพิ่มโควต้าได้โดยตรง ที่ไม่มีการผูกมัดที่ต้องให้ประชาชนรับผิดชอบร่วมกัน เพราะเป็นการตกลงโดยตรงระหว่างผู้ขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด
อีกทั้ง หากรัฐบาลต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในครัวเรือนหรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นนั้น ในปัจจุบันเรามีโควต้าการรับซื้อโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งการไฟฟ้าไม่สามารถรับซื้อได้อีก และรัฐบาลสามารถเพิ่มโควต้าการรับซื้อจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้มากขึ้นมากกว่า 90 เมกะวัตต์ได้
นาย
ณัฐพงษ์ย้ำว่า พรรคประชาชนไม่ได้ต่อต้านหรือเห็นค้าน แต่เราสนับสนุนในการใช้พลังงานสะอาดในช่องทางที่ดีกว่าการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนด้วยกระบวนการคัดเลือกมากกว่าการเปิดประมูล มาเป็นไดเร็กต์ PPA เป็นการเพิ่มโควต้าโซลาร์รูฟท็อปเพื่อให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชน และเกิดประโยชน์กับคนส่วนมากสูงกว่า
ทั้งนี้ ในขณะที่นายกมนตรีได้แถลงไว้บนผลงาน 90 วัน ว่าจะทลายทุนผูกขาด แต่สิ่งที่พวกเราเห็นทิศทางการดำเนินการนโยบายไฟฟ้าที่เป็นเรื่องใหญ่ กระทบต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และเป็นปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน แต่รัฐบาลกลับไม่ออกมาให้ความชัดเจน สิ่งที่ตนอยากได้ความชัดเจน และเกี่ยวข้องกับประเทศในระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าและการทลายทุนผูกขาดในประเทศ คือการเปลี่ยนไปสู่ระบบสมาร์ทบิด เพื่อให้ไฟฟ้าเข้าสู่ทุกครัว ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เข้ามาสู่ตลาดของผู้ใช้ไฟฟ้า ผ่านกลไกการรับซื้อไฟฟ้าที่เป็นตลาดเสรี ไม่ต้องมีใครมากำหนดราคาตายตัว และไม่ต้องมีใครมาผูกขาดราคา
“
สิ่งที่ผมอยากได้ยิน คือวิสัยทัศน์ และแนวการดำเนินนโยบายของรัฐ ซึ่ง กพช. มีอำนาจเต็ม นายกฯ เป็นประธาน มีอำนาจเต็มที่จะกำหนดแนวนโยบายของรัฐที่จะกำหนดแนวธุรกิจพลังงานในอนาคตได้ ว่ารัฐบาลเพื่อไทยเห็นด้วยหรือไม่ ที่จะผลักดันในเรื่องระบบสมาร์ทบิด และเปิดเสรีการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในประเทศ” นาย
ณัฐพงษ์กล่าว
JJNY : 5in1 เท้งลั่นก็ลองดู│ปชน.แถลงจี้‘อิ๊งค์’│‘มายด์’อัพเดต 15 คดี│ยอดผลิตรถ ขาย ส่งออกพ.ย.วูบ│สวีเดนโวย จีนปฏิเสธคำขอ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4969596
เท้ง ลั่น ก็ลองดู หลัง ทักษิณ ประกาศทวงพื้นที่คืน เมินถูกกล่าวหาด่าเก่งขึ้น บอกอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่สร้างวาทกรรม ถามกลับ พท.มีผลงานด้าน กม.กี่ฉบับ ขณะที่ ปชน.มีเพียบ
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ปราศรัยพาดพิงพรรคประชาชนทำงานไม่เป็น ว่า สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาชนมีผลงานเป็นรูปธรรมคือการผลักดันนโยบายต่างๆ ผ่านการเสนอกฎหมาย เรามีชุดกฎหมายในการปฏิรูปประเทศหลายชุด จำนวน 80 กว่าฉบับ ซึ่งตอนนี้เรากำลังรณรงค์แคมเปญที่จะสื่อสารต่อประชาชน ถึงเหตุผลและความจำเป็น ในทางกลับกัน ถ้าไปดูในระเบียบวาระการประชุมสภาในปัจจุบัน ตนก็อยากส่งคำถามกลับไปว่าพรรคเพื่อไทยมีชุดกฎหมายในการผลักดันนโยบายตัวเองสักกี่ฉบับ
“แน่นอนที่สุดว่าผมเข้าใจว่าการดำเนินนโยบาย นอกจากการเสนอกฎหมาย ยังมีเรื่องงบประมาณ มีเรื่องอื่นๆ อีก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าในหลายนโยบายจะทำได้ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเช่นเดียวกัน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณเป็นการดิสเครดิตพรรคประชาชน เพื่อทวงคืนพื้นที่ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นการแสดงข้อคิดเห็น ใช้วาทกรรมทางการเมืองที่ปราศจากข้อเท็จจริง
“ข้อเท็จจริงนั้น ผมคิดว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนมองเห็นแล้วว่า พรรคการเมืองใดที่ตั้งใจในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนจริงๆ ในส่วนของพรรคประชาชนเองในฐานะพรรคฝ่ายค้านไม่มีอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวจัดสรรงบประมาณ ผลักดันส่วนราชการต่างๆ สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เราได้หาเสียงไว้ในการเสนอกฎหมาย” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แต่การที่นายทักษิณพูดแรงถึงขั้นว่าพรรคประชาชน เดี๋ยวนี้ด่าเก่งขึ้น ฝั่งพรรคประชาชนมองอย่างไร นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในส่วนของการแสดงข้อคิดเห็นของพรรคประชาชน ที่ผ่านมา ตนเชื่อมั่นว่าตัวแทนของพรรคประชาชนเราแสดงความคิดเห็นบนข้อเท็จจริง เราไม่มีการกล่าวหาพาดพิงใดๆ พูดคุย หรือสร้างวาทกรรมทางการเมืองโดยปราศจากข้อเท็จจริง ประเด็นเรื่องค่าไฟฟ้าที่วันนี้ได้มีการแถลงข่าว ก็จะเห็นได้ว่ามีการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีมีส่วนในการรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาล สามารถยกเลิกกระบวนการดังกล่าวได้ แต่ก็มีความพยายามสร้างกระแสบนโลกออนไลน์ให้ประชาชนมีความเข้าใจผิด
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า นายทักษิณจะสามารถขอคืนพื้นที่ที่พรรคประชาชนยึดมาได้ ระบุว่า “ก็ต้องลองดู” พรรคประชาชนเองเราก็มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน
นายณัฐพงษ์ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เรามี ส.ส.เขตเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายพื้นที่ เราพร้อมสู้ศึกสนามเลือกตั้งท้องถิ่นและพร้อมจะเข้าไปนายก อบจ.
เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณมาช่วยนายกรัฐมนตรีเต็มสูบ ทำให้พรรคประชาชนดร็อปลงหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ดรอปลงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ที่พรรคประชาชนเดินทางมาถึงในปัจจุบันเรายิ่งมีบุคลากรมากขึ้นเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของพรรคไม่ว่าจะเป็นแกนนำที่ปัจจุบันการเป็นผู้ช่วยหาเสียงและอย่างน้อยที่สุดหากเราชนะเลือกตั้งสนาม อบจ. เราก็จะมีที่ปรึกษาที่เข้ามาช่วยนโยบายในการผลักดันเรื่องต่างๆ มากขึ้น จึงคิดว่าไม่ได้เป็นข้อด้อย หรืออุปสรรคอะไร
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนเป็นต่ออยู่แล้วใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในการเลือกตั้งทุกครั้งก็มีโอกาสแพ้ชนะ
“แน่นอนที่สุดตัวผมเองมีความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาชนมีโอกาสในทุกสนาม แต่คงไม่ได้จะไปบอกว่าเราเด่นด้อยกว่าใคร แต่หากดูในผลงาน ในข้อเท็จจริง เช่น การเสนอกฎหมาย ที่ผมได้บอกไป อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เรามีจำนวนกฎหมายที่ถูกเสนอในสภามากที่สุด” นายณัฐพงษ์กล่าว
ปชน. แถลงจี้ ‘อิ๊งค์’ ใช้อำนาจนายกฯ เร่งแก้ปัญหารับซื้อไฟฟ้า ทำประชาชนใช้ของแพง
https://www.matichon.co.th/region/news_4969820
ปชน. แถลงยืน ‘แพทองธาร’ มีอำนาจเต็มแต่กลับเงียบกริบ ปมรับซื้อไฟฟ้านายทุน ไล่ยุบสภา! หากโบ้ยไม่สามารถทำได้ ยกโพสต์หาเสียง ‘เพื่อไทย’ และระเบียบสมัย ‘ประยุทธ์’ ยกเลิกได้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ ลั่น ปฏิเสธวิจารณ์ไม่ได้ ‘พ่อนายกฯ’ ตีกอล์ฟกับ CEO ทุนพลังงาน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ธันวาคม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวถึงกรณีการยกเลิกรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่เป็นการเอื้อทุนพลังงาน และการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในการยกเลิกการจัดซื้อดังกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจน ต่อตัวนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจเต็ม แต่กลับไม่ใช้ และมีทางเลือกที่ดีกว่า ถูกกว่า แต่กลับไม่ทำ ซึ่งพรรคประชาชนมองว่าปัญหาเรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่ และสำคัญ แต่นายกรัฐมนตรีกลับเงียบกริบ
นายณัฐพงษ์ได้โชว์แผ่นกระดาษที่มีข้อความโพสต์ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 เม.ย.66 ที่อยู่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่แสดงจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ ที่ริเริ่มในสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี โดยล็อต 3,600 เมกะวัตต์ในการแถลงครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนในยุคพลเอกประยุทธ์โดยตรง ซึ่งมี 3 หัวข้อดังนี้
เรื่องแรก คือ พรรคประชาชนอยากมาให้ข้อเท็จจริง เพื่อลบข้อบิดเบือนที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลปัดความรับผิดชอบ ที่อ้างว่า นายกฯ ไม่มีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ซึ่งตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช.เป็นผู้กำหนดรับซื้อ และกำหนดราคาในการรับซื้อ โดยใช้วิธีการคัดเลือก ไม่ใช่ประมูล และราคาในการรับซื้อ มีการล็อกไว้ถึง 8 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2573 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราตั้งคำถามว่าเป็นกระบวนการที่ปราศจากความโปร่งใส ขาดการแข่งขัน และอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในอีก 25 ปีข้างหน้า
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ตอบเป็นบันทึกการประชุมสภาว่า ท่านเองก็ไม่เห็นด้วยจากกระบวนการดังกล่าว ตนจึงอยากจะย้ำประเด็นที่บอกว่านายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายกับคณะกรรมการ กพช.นั้นไม่เป็นความจริง เพราะโครงการนี้ริเริ่มจากสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ การจะยกเลิกได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายของรัฐ ผ่านการออกมติ กพช.ในสมัยรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สามารถทำได้ในการยกเลิกกระบวนการดังกล่าว
ส่วนความจำเป็นเร่งด่วนที่ กพช.ออกประกาศเดินหน้าซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีเส้นตายเพียงแค่ 14 วัน คือภายในวันที่ 30 ธันวาคมนี้ หากไม่ยกเลิกแล้ว เราจะไม่สามารถยกเลิกกระบวนการนี้ได้อีก ซึ่งตามระเบียบการรับซื้อของ กพช. ในข้อที่ 8 (2) มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กพช.ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกก่อนการลงนามในสัญญา นั่นหมายความว่าสามารถยกเลิกได้หากยังไม่มีการลงนามร่วมกัน และเหตุผลที่สามารถยกเลิกได้อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่ กพช.เป็นผู้กำหนด
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะอ้างว่า ไม่สามารถควบคุมสภาพเสียงข้างมากใน กพช. เพื่อผ่านเป็นมติได้ รัฐบาลควรจะยุบสภา เพราะองค์ประกอบ กพช. ประกอบไปด้วยคณะกรรมการ 19 คน โดย 14 ใน 19 คน คือคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งมาโดยตรง หากนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนว่า ประสงค์จะยกเลิกกระบวนการนี้ ท่านก็สามารถทำได้ แต่หากทำไม่ได้โดยอ้างว่าไม่สามารถคุมสภาพเสียงไว้ได้นั้น ก็แปลว่าท่านบริหารคณะรัฐมนตรีไม่ได้ ก็สมควรจะยุบสภา และออกและบอกกับประชาชนว่า ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งมาด้วยตัวเองไม่เห็นชอบ ตนจึงเชื่อว่า ประเด็นนี้คนไทยอยากฟังคำตอบว่า นายกฯ มีอำนาจเต็มแต่ไม่ได้ใช้ และมีแนวดำเนินอย่างไรต่อไป
เรื่องต่อมา คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดของประเทศ พรรคประชาชนเห็นด้วยอย่างยิ่ง และพร้อมให้การสนับสนุนที่จะทำให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นในอนาคต ที่ออกมาบอกว่ากระบวนการนี้ดีแล้ว ทำไมพรรคประชาชนต้องออกมาคัดค้าน ซึ่งตนอยากให้ความชัดเจนว่า เราไม่ได้คัดค้านการไปเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด เพียงแต่มีกระบวนการที่ดีกว่า และกระบวนการที่ถูกกว่า และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ในการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดดังกล่าว คือรัฐบาลมีช่องทางที่ดี และถูกกว่านี้ได้ แต่กลับไม่เลือกทำ เนื่องจากการรับซื้อพลังงาน มีการผูกสัญญาสัมปทานถึง 25 ปี และใช้วิธีการคัดเลือกปราศจากความโปร่งใส และอาจจะส่งผลให้คนไทยจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงถึง 1 แสนล้านบาทใน 25 ปีข้างหน้า
นายณัฐพงษ์ได้เสนอทางเลือกที่ดีกว่า 2 ข้อ และอยากให้ความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี ว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร คือ 1.การเพิ่มโควต้าการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ใช้ไฟฟ้ากับโรงงานผู้ผลิตสินค้า หรือผู้ผลิตไฟฟ้าสะอาด ซึ่งตามแนวนโยบายของรัฐ ได้ให้โควต้าอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ ถ้ารัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาด รัฐบาลมีช่องทางเพิ่มโควต้าได้โดยตรง ที่ไม่มีการผูกมัดที่ต้องให้ประชาชนรับผิดชอบร่วมกัน เพราะเป็นการตกลงโดยตรงระหว่างผู้ขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด
อีกทั้ง หากรัฐบาลต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในครัวเรือนหรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นนั้น ในปัจจุบันเรามีโควต้าการรับซื้อโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งการไฟฟ้าไม่สามารถรับซื้อได้อีก และรัฐบาลสามารถเพิ่มโควต้าการรับซื้อจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้มากขึ้นมากกว่า 90 เมกะวัตต์ได้
นายณัฐพงษ์ย้ำว่า พรรคประชาชนไม่ได้ต่อต้านหรือเห็นค้าน แต่เราสนับสนุนในการใช้พลังงานสะอาดในช่องทางที่ดีกว่าการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนด้วยกระบวนการคัดเลือกมากกว่าการเปิดประมูล มาเป็นไดเร็กต์ PPA เป็นการเพิ่มโควต้าโซลาร์รูฟท็อปเพื่อให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชน และเกิดประโยชน์กับคนส่วนมากสูงกว่า
ทั้งนี้ ในขณะที่นายกมนตรีได้แถลงไว้บนผลงาน 90 วัน ว่าจะทลายทุนผูกขาด แต่สิ่งที่พวกเราเห็นทิศทางการดำเนินการนโยบายไฟฟ้าที่เป็นเรื่องใหญ่ กระทบต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และเป็นปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน แต่รัฐบาลกลับไม่ออกมาให้ความชัดเจน สิ่งที่ตนอยากได้ความชัดเจน และเกี่ยวข้องกับประเทศในระยะยาว ที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าและการทลายทุนผูกขาดในประเทศ คือการเปลี่ยนไปสู่ระบบสมาร์ทบิด เพื่อให้ไฟฟ้าเข้าสู่ทุกครัว ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เข้ามาสู่ตลาดของผู้ใช้ไฟฟ้า ผ่านกลไกการรับซื้อไฟฟ้าที่เป็นตลาดเสรี ไม่ต้องมีใครมากำหนดราคาตายตัว และไม่ต้องมีใครมาผูกขาดราคา
“สิ่งที่ผมอยากได้ยิน คือวิสัยทัศน์ และแนวการดำเนินนโยบายของรัฐ ซึ่ง กพช. มีอำนาจเต็ม นายกฯ เป็นประธาน มีอำนาจเต็มที่จะกำหนดแนวนโยบายของรัฐที่จะกำหนดแนวธุรกิจพลังงานในอนาคตได้ ว่ารัฐบาลเพื่อไทยเห็นด้วยหรือไม่ ที่จะผลักดันในเรื่องระบบสมาร์ทบิด และเปิดเสรีการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในประเทศ” นายณัฐพงษ์กล่าว