'สหพันธ์ขนส่งฯ' ย้ำดีเซลต้องเหลือ 30 บ.ต่อลิตร พร้อมลดค่าบรรทุกของให้
https://www.matichon.co.th/economy/news_3827873
‘สหพันธ์ขนส่งฯ’ ย้ำดีเซลต้องเหลือ 30 บ.ต่อลิตร พร้อมลดค่าบรรทุกของให้
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นาย
อภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงเป็นครั้งที่สอง อยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร หลังรอบแรกปรับตัวลดลงเหลือ 34.50 บาทต่อลิตร จากราคา 35 บาทต่อลิตร ว่า หากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร ก็ถือว่าราคาน้ำมันดีเซลมีการปรับตัวลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร ในข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบการขนส่งและลูกค้า ได้ระบุชัดเจนว่าทุกการลดลงของราคาน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร จะมีการลดค่าขนส่งลง แต่อาจจะยังไม่ได้ปรับลดลงมาสู่ราคาปกติ เพราะว่าสิ่งที่เราเสนอให้ลูกค้าคือ เราจะมีการปรับขึ้นลงราคาค่าขนส่งเป็นขั้นบันได
“
ส่วนราคาน้ำมันดีเซลที่เหมาะสมยังมองเช่นเดิมหรืออยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร เชื่อว่ารัฐบาลสามารถดึงราคาน้ำมันลงมาได้ เหมือนเมื่อก่อน หรือช่วง 7-8 เดือนที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร ถ้าทำได้ก็จะช่วยชะลอความเดือดร้อน ช่วยเยียวยาได้ แต่ในมุมของรัฐบาลกลับมองว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นแล้ว คนเริ่มกลับมาใช้จ่ายแล้ว แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ประชาชนส่วนใหญ่ยังระวังตัวในการใช้จ่ายอยู่” นาย
อภิชาติกล่าว
นายอภิชาติกล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในช่วงเข้าโหมดเลือกตั้งแล้ว จึงไม่แน่ใจว่ารัฐบาลปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงมา เพียงเพราะต้องการให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในตัวรัฐบาลหรือไม่ แต่มองในอีกมุมหนึ่งถือว่าดี แต่ถ้าจะปรับลดราคากันจริงๆ ก็ควรปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงให้มากกว่านี้ แต่รัฐบาลอ้างว่าที่ยังไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันลงไปมากกว่านี้ได้ เนื่องจากต้องนำเงินส่วนนี้ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ยังติดลบอยู่กว่าแสนล้านบาท แต่ทางผู้ประกอบการก็เข้าใจในส่วนนี้ แต่ไม่อยากให้รัฐบาลเก็บเงินเข้ากองทุนทีเดียว 100% อยากให้เก็บเพียง 50% ก่อนเพื่อช่วยให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงให้ได้มากกว่านี้ต่อไป
‘สุทิน’ สรุปซักฟอกครั้งสุดท้ายของสภาฯ ชำแหละ ‘นโยบาย’ เรียงข้อ ส่งต่อปชช.ให้คะแนน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3827923
‘สุทิน’ สรุปจบซักฟอกครั้งสุดท้ายของสภาฯชำแหละ ‘นโยบาย’ เรียงข้อ ก่อนส่งต่อปชช.ให้คะแนน อัด ‘นายกฯ’ ทำห้าวจับคนอื่น นิ่งเฉยจัดการ ตู้ห่าว เพราะต้องปกป้องหลานตัวเอง ขู่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ทำตามสัญญาหาเสียง ต้องรับกรรมวันเลือกตั้ง ลั่น พอแล้ว 8 ปีไม่ขอเจอกันอีก ด้าน ‘สุชาติ’ แนะ คนจะมาเป็นนายกฯ คนต่อไป ต้องเข้าใจระบบรัฐสภาฯ
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนาย
ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม มีการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เสนอโดย นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
ต่อมาเวลา 22.55 น. นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายสรุปภาพรวมว่า การอภิปรายครั้งนี้ เป็นการทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ของฝ่ายค้าน ที่ตรวจสอบรัฐบาลมาทุกปี แต่วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายในรอบ 4 ปี เหมือนการสอบปลายภาค โดยฝ่ายค้านจะประเมิน และประชาชนจะให้คะแนน วันนี้ตนจะไล่เรียงนโยบายของรัฐบาลที่ให้ไว้กับประชาชนว่าได้ทำหรือไม่ หรือทำแล้วล้มเหลว แล้วจะรับผิดชอบอย่างไร นายกฯ ชอบพูดว่าทำมากกว่ารัฐบาลที่แล้ว ตนจึงจะชี้แจงว่าทำมากจริงหรือไม่ โดยนโยบายของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ นโยบายหลัก 12 ข้อ และกลุ่มที่สองคือ นโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ท่านนำเสนอตัวเลขสวยหรู
แต่ประชาชนจะตายแล้ว เราจึงมีคำถามมากมายไปยังรัฐบาล ว่า ประเทศเรามีทรัพยากรมาก แต่คนไทยยังจน ต่างชาติเองก็หนีไปลงทุนประเทศอื่น สินค้าเกษตรของไทยส่งออกไปต่างประเทศแต่ไม่ได้ผงาดในเวทีโลก โควิด-19 ผ่านไปแล้วแต่เรายังเดินต้วมเตี้ยม แต่รัฐบาลกลับเลี่ยงไปตอบว่า เป็นเพราะเงินเฟ้อ และวิกฤตโควิด-19 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องทำอะไรหลายอย่าง ไม่ใช้ให้เงินแค่ 700 บาทแล้วจบ หากใครประกาศนโยบายอะไร นายกฯ ก็จะมองว่า 4 ปีข้างหน้า เงินประเทศก็มีเท่านี้ จะไปให้ค่าแรง 600 บาทต่อวันอย่างไร ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำ ก็เป็นเงินของเอกชนที่ต้องจ่าย ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ ก็หนีไม่พ้นเรื่องหนี้ คนไทยตอนนี้จนหลายระดับ ทั้งคนจนฉับพลัน คนจนเรื้อรัง และคนจนถาวร สาเหตุมาจาก ค่าครองชีพสูง แต่รายได้ตามไม่ทัน โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่คำตอบแก้ปัญหาหนี้
นาย
สุทิน กล่าวต่อว่า กลุ่มนโยบายที่สองที่รัฐบาลบอกว่าจะสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก แต่ 8 ปีที่ผ่านมาไม่ได้สร้างความมั่นคงที่ฐานรากเลย เพราะคนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นทุกวัน และท่านยังไปสร้างความเหลื่อมล้ำที่ส่วนยอด ทำให้เศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศมีทรัพย์สินพุ่งขึ้นเกินหนึ่งล้านล้านบาท ตรงข้ามกับชาวบ้านที่จนลง รัฐบาลมีนโยบายการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ แต่มีความคิดเรื่องความมั่นคงแค่การสู้รบ ทั้งที่ในบริบทโลกคือ ความมั่นคงในทรัพยากรมนุษย์ ส่วนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีกรณีศึกษาคือ คดีตู้ห่าว ที่มีเครือข่ายทำสินค้าเถื่อน ค้าอวัยวะ แทรกซึมไปในพรรคการเมือง และทำลายความมั่นคงไปถึงสถาบันฯ เบื้องสูง แต่นายกฯ กลับไม่คิดว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้
คนไทยจะอยู่อย่างไร คนไทยทำผิดนายกฯ ทำห้าว แต่พอเป็นคนต่างชาติเหล่านี้นายกฯ กลับสุขุมนุ่มลึก จนน่าสงสัย เมื่อดูหลักฐานก็พบว่าหลานของนายกฯ เอี่ยวกับเครือข่ายด้วย และโยงใยไปถึงผู้นำสูงสุดของประเทศ ฝ่ายค้านถามกันหลายคน แต่นายกฯ ตอบสั้นๆ ว่าตัวเองไม่เกี่ยว และทำไมไม่ตอบว่าจะทำอย่างไรกับหลานของท่าน ตนกำลังจะบอกว่ากรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งหมด การที่กิจการเหล่านี้รุ่งเรืองในยุคนี้ หมายความว่า คุณให้ท้ายและมีผลประโยชน์ร่วม จึงปล่อยปละละเลย คนไทยวันนี้อยู่แบบเป็นทุกข์ ว่าคนบ้าคลั่งจะมาฆ่า หรือเงินจะถูกล้วงจากบัญชีธนาคารหรือไม่ วันนี้ท่านต้องตัดสินใจคิดดีๆ ว่าจะเอาเครือข่ายของท่านไว้ หรือจะเอาชีวิตคนไทยไว้
นาย
สุทิน กล่าวว่า นโยบายการปราบปรามการทุจริต จากการจัดอันดับการทุจริตคอร์รัปชั่น ไทยก็ตกอันดับไป 25 อันดับ หมายความว่าท่านต้องยอมจำนนว่ายุคท่านเกิดการทุจริตมากที่สุด เพราะเกิดการทุจริตแลกรับผลประโยชน์ในกระทรวงมหาดไทย เหตุการณ์เรืองหลวงสุโขทัยล่มที่เกิดจากการทุจริตกินส่วนต่างค่าซ่อมบำรุงภายในกองทัพเรือ นายทหารผู้น้อยคลั่งลากปืนมากราดยิงประชาชนจากการทุจริต และอื่นๆ อีกหลายกรณี แต่นายกฯ กลับไม่ตอบชัดสักเรื่อง ท่านบอกแค่ว่าไม่โกงแม้แต่บาทเดียว นั่นคือ ท่านไม่โกงเอง ก็ให้คนอื่น และลูกหลานโกง
นาย
สุทิน กล่าวต่อว่า นโยบายปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้บริการประชาชน ที่มีการตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แต่ผลการวัดความฉลาดทางดิจิทัล (DQ) กลับลดลง อยู่ในอันดับท้ายๆ ของอาเซียน จนเกิดอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เกลื่อนไปหมด เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนั้น กระทรวงดีอีเอส และกระทรวงศึกษาธิการ ต้องร่วมกันปฏิรูปและพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพื่อระบบเศรษฐกิจใหม่ของประเทศในการส่งเสริมให้คนไทยมีรายได้เพิ่ม
ส่วนนโยบายการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย คือการจัดเตรียมคนไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่มีการแข่งขันสูง เราจึงต้องเตรียมลูกหลานเราให้ยืนสู้กับคนอื่นเขาได้ แต่ตอนนี้คะแนนสอบ PISA ไทยอยู่รั้งท้าย และผลการเรียนรู้ต่ำ ทั้งยังมีปัญหายาเสพติดทับเข้าไปอีก คุณครูเองก็มีปัญหา เพราะรายได้ต่ำ หนี้สินสูง จนศักยภาพต่ำ งบประมาณด้านการศึกษาเราให้แต่ละปีสูง แต่โรงเรียนยังบ่นว่าขาด เพราะเกิดการทุจริต และใช้เงินไม่เป็น สุดท้ายอนาคตประเทศมืด ไม่มีทางฟื้น
นาย
สุทิน กล่าวว่า นโยบายแก้ปัญหายาเสพติด ถือว่าท่านล้มเหลวที่สุด เหตุการฆ่าพ่อฆ่าแม่ เผาบ้านมีทุกวัน เหตุการณ์ที่ จ.หนองบัวลำภู คือความสุกงอมของปัญหายาเสพติด ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาท่านดื้อตาใสบอกว่าปราบเต็มที่ ทั้งที่ชาวบ้านเดือดร้อนมาก แต่ท่านไม่ได้ยิน ทหารที่ท่านเกณฑ์ไป ลองไปตรวจปัสสาวะดูว่าบริสุทธิ์กี่คน แล้วท่านจะเอาคนเหล่านี้ไปขับรถถัง ขับเครื่องบิน และออกมาเป็นผู้นำท้องถิ่นหรือ ตนตราหน้าเลยว่าท่านล้มเหลว ส่วนนโยบายการเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก และรุนแรงกว่าเดิม นโยบายข้อสุดท้ายคือ นโยบายปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ได้แก้เรื่องระบบเลือกตั้งนิดเดียว
ตอนแรกท่านบอกไม่อยากเป็นนักการเมือง แต่ตอนนี้กลับมาเป็นนักการเมือง ส่วนวิธีการของท่านมีความเป็นอารยะ หรือประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะมีการแตกพรรค และตั้งพรรคซูเปอร์เฉพาะกิจขึ้นมา ถามหน่อยว่าการเมืองตอนนี้ถอยหลังหรือไปข้างหน้า ตอนนี้ดูแล้วตกต่ำไปเรื่อยๆ ทั้งยังวางแผนจะเอาชนะกันใต้เข็มขัด ทั้งจะเลื่อนเลือกตั้ง จะคดตจะโกง ก็เดี๋ยวจะได้ดูกัน และประชาชนจะได้เห็นว่าล้มเหลว และไม่จริงใจอย่างไร ตนเสียใจที่นายกฯ สัญญากับสภาฯ แล้วไม่ทำ แต่ทำตรงกันข้าม แถมยังด้อยค่า และโจมตีเราอีก แต่เป็นกรรมที่ท่านจะต้องไปรับในช่วงการเลือกตั้ง ไม่ใช่กรรมของพวกตน สุดท้าย ตนขอนายกฯ ว่าไม่ต้องมาเจอกันอีก เวลา 8 ปี นั้นพอแล้ว
ทั้งนี้นาย
สุทิน ใช้เวลาสรุปญัตติฯ 1 ชั่วโมง 30 นาที ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติมาตรา 152 จากนั้นนาย
สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้กล่าวก่อนสั่งปิดประชุมว่า ขอบคุณสมาชิกทุกคน ทั้งฝ่ายรัฐบาล ครม. และฝ่ายค้าน ซึ่งต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ตาม มาตรา 152 และรัฐบาลก็ทำหน้าที่ตามมาตรา 164 คือการชี้แจงข้อซักถาม แต่ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ บางครั้งมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง บางครั้งก็อภิปรายต่อว่ากับบ้าง ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ก็แล้วกัน บุคคลใดที่อาสามาเป็นนายกฯ ต่อไป ต้องเข้าใจระบบรัฐสภาของเรา นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ และสั่งปิดการประชุมในเวลา 00.35 น.
JJNY : ส.ขนส่งฯ ย้ำดีเซลต้องเหลือ 30│‘สุทิน’ สรุปซักฟอกครั้งสุดท้าย│คนร้ายเหิม ป่วน 3 จุดยะลา│“มาครง” หารือรัฐมนตรีจีน!
https://www.matichon.co.th/economy/news_3827873
‘สหพันธ์ขนส่งฯ’ ย้ำดีเซลต้องเหลือ 30 บ.ต่อลิตร พร้อมลดค่าบรรทุกของให้
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงเป็นครั้งที่สอง อยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร หลังรอบแรกปรับตัวลดลงเหลือ 34.50 บาทต่อลิตร จากราคา 35 บาทต่อลิตร ว่า หากราคาน้ำมันปรับลดลงมาอยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร ก็ถือว่าราคาน้ำมันดีเซลมีการปรับตัวลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร ในข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบการขนส่งและลูกค้า ได้ระบุชัดเจนว่าทุกการลดลงของราคาน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร จะมีการลดค่าขนส่งลง แต่อาจจะยังไม่ได้ปรับลดลงมาสู่ราคาปกติ เพราะว่าสิ่งที่เราเสนอให้ลูกค้าคือ เราจะมีการปรับขึ้นลงราคาค่าขนส่งเป็นขั้นบันได
“ส่วนราคาน้ำมันดีเซลที่เหมาะสมยังมองเช่นเดิมหรืออยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร เชื่อว่ารัฐบาลสามารถดึงราคาน้ำมันลงมาได้ เหมือนเมื่อก่อน หรือช่วง 7-8 เดือนที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร ถ้าทำได้ก็จะช่วยชะลอความเดือดร้อน ช่วยเยียวยาได้ แต่ในมุมของรัฐบาลกลับมองว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นแล้ว คนเริ่มกลับมาใช้จ่ายแล้ว แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ประชาชนส่วนใหญ่ยังระวังตัวในการใช้จ่ายอยู่” นายอภิชาติกล่าว
นายอภิชาติกล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในช่วงเข้าโหมดเลือกตั้งแล้ว จึงไม่แน่ใจว่ารัฐบาลปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงมา เพียงเพราะต้องการให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในตัวรัฐบาลหรือไม่ แต่มองในอีกมุมหนึ่งถือว่าดี แต่ถ้าจะปรับลดราคากันจริงๆ ก็ควรปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงให้มากกว่านี้ แต่รัฐบาลอ้างว่าที่ยังไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันลงไปมากกว่านี้ได้ เนื่องจากต้องนำเงินส่วนนี้ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ยังติดลบอยู่กว่าแสนล้านบาท แต่ทางผู้ประกอบการก็เข้าใจในส่วนนี้ แต่ไม่อยากให้รัฐบาลเก็บเงินเข้ากองทุนทีเดียว 100% อยากให้เก็บเพียง 50% ก่อนเพื่อช่วยให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงให้ได้มากกว่านี้ต่อไป
‘สุทิน’ สรุปซักฟอกครั้งสุดท้ายของสภาฯ ชำแหละ ‘นโยบาย’ เรียงข้อ ส่งต่อปชช.ให้คะแนน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3827923
‘สุทิน’ สรุปจบซักฟอกครั้งสุดท้ายของสภาฯชำแหละ ‘นโยบาย’ เรียงข้อ ก่อนส่งต่อปชช.ให้คะแนน อัด ‘นายกฯ’ ทำห้าวจับคนอื่น นิ่งเฉยจัดการ ตู้ห่าว เพราะต้องปกป้องหลานตัวเอง ขู่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ทำตามสัญญาหาเสียง ต้องรับกรรมวันเลือกตั้ง ลั่น พอแล้ว 8 ปีไม่ขอเจอกันอีก ด้าน ‘สุชาติ’ แนะ คนจะมาเป็นนายกฯ คนต่อไป ต้องเข้าใจระบบรัฐสภาฯ
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม มีการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เสนอโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
ต่อมาเวลา 22.55 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายสรุปภาพรวมว่า การอภิปรายครั้งนี้ เป็นการทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ของฝ่ายค้าน ที่ตรวจสอบรัฐบาลมาทุกปี แต่วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายในรอบ 4 ปี เหมือนการสอบปลายภาค โดยฝ่ายค้านจะประเมิน และประชาชนจะให้คะแนน วันนี้ตนจะไล่เรียงนโยบายของรัฐบาลที่ให้ไว้กับประชาชนว่าได้ทำหรือไม่ หรือทำแล้วล้มเหลว แล้วจะรับผิดชอบอย่างไร นายกฯ ชอบพูดว่าทำมากกว่ารัฐบาลที่แล้ว ตนจึงจะชี้แจงว่าทำมากจริงหรือไม่ โดยนโยบายของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ นโยบายหลัก 12 ข้อ และกลุ่มที่สองคือ นโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ท่านนำเสนอตัวเลขสวยหรู
แต่ประชาชนจะตายแล้ว เราจึงมีคำถามมากมายไปยังรัฐบาล ว่า ประเทศเรามีทรัพยากรมาก แต่คนไทยยังจน ต่างชาติเองก็หนีไปลงทุนประเทศอื่น สินค้าเกษตรของไทยส่งออกไปต่างประเทศแต่ไม่ได้ผงาดในเวทีโลก โควิด-19 ผ่านไปแล้วแต่เรายังเดินต้วมเตี้ยม แต่รัฐบาลกลับเลี่ยงไปตอบว่า เป็นเพราะเงินเฟ้อ และวิกฤตโควิด-19 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องทำอะไรหลายอย่าง ไม่ใช้ให้เงินแค่ 700 บาทแล้วจบ หากใครประกาศนโยบายอะไร นายกฯ ก็จะมองว่า 4 ปีข้างหน้า เงินประเทศก็มีเท่านี้ จะไปให้ค่าแรง 600 บาทต่อวันอย่างไร ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำ ก็เป็นเงินของเอกชนที่ต้องจ่าย ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ ก็หนีไม่พ้นเรื่องหนี้ คนไทยตอนนี้จนหลายระดับ ทั้งคนจนฉับพลัน คนจนเรื้อรัง และคนจนถาวร สาเหตุมาจาก ค่าครองชีพสูง แต่รายได้ตามไม่ทัน โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่คำตอบแก้ปัญหาหนี้
นายสุทิน กล่าวต่อว่า กลุ่มนโยบายที่สองที่รัฐบาลบอกว่าจะสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก แต่ 8 ปีที่ผ่านมาไม่ได้สร้างความมั่นคงที่ฐานรากเลย เพราะคนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นทุกวัน และท่านยังไปสร้างความเหลื่อมล้ำที่ส่วนยอด ทำให้เศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศมีทรัพย์สินพุ่งขึ้นเกินหนึ่งล้านล้านบาท ตรงข้ามกับชาวบ้านที่จนลง รัฐบาลมีนโยบายการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ แต่มีความคิดเรื่องความมั่นคงแค่การสู้รบ ทั้งที่ในบริบทโลกคือ ความมั่นคงในทรัพยากรมนุษย์ ส่วนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีกรณีศึกษาคือ คดีตู้ห่าว ที่มีเครือข่ายทำสินค้าเถื่อน ค้าอวัยวะ แทรกซึมไปในพรรคการเมือง และทำลายความมั่นคงไปถึงสถาบันฯ เบื้องสูง แต่นายกฯ กลับไม่คิดว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้
คนไทยจะอยู่อย่างไร คนไทยทำผิดนายกฯ ทำห้าว แต่พอเป็นคนต่างชาติเหล่านี้นายกฯ กลับสุขุมนุ่มลึก จนน่าสงสัย เมื่อดูหลักฐานก็พบว่าหลานของนายกฯ เอี่ยวกับเครือข่ายด้วย และโยงใยไปถึงผู้นำสูงสุดของประเทศ ฝ่ายค้านถามกันหลายคน แต่นายกฯ ตอบสั้นๆ ว่าตัวเองไม่เกี่ยว และทำไมไม่ตอบว่าจะทำอย่างไรกับหลานของท่าน ตนกำลังจะบอกว่ากรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งหมด การที่กิจการเหล่านี้รุ่งเรืองในยุคนี้ หมายความว่า คุณให้ท้ายและมีผลประโยชน์ร่วม จึงปล่อยปละละเลย คนไทยวันนี้อยู่แบบเป็นทุกข์ ว่าคนบ้าคลั่งจะมาฆ่า หรือเงินจะถูกล้วงจากบัญชีธนาคารหรือไม่ วันนี้ท่านต้องตัดสินใจคิดดีๆ ว่าจะเอาเครือข่ายของท่านไว้ หรือจะเอาชีวิตคนไทยไว้
นายสุทิน กล่าวว่า นโยบายการปราบปรามการทุจริต จากการจัดอันดับการทุจริตคอร์รัปชั่น ไทยก็ตกอันดับไป 25 อันดับ หมายความว่าท่านต้องยอมจำนนว่ายุคท่านเกิดการทุจริตมากที่สุด เพราะเกิดการทุจริตแลกรับผลประโยชน์ในกระทรวงมหาดไทย เหตุการณ์เรืองหลวงสุโขทัยล่มที่เกิดจากการทุจริตกินส่วนต่างค่าซ่อมบำรุงภายในกองทัพเรือ นายทหารผู้น้อยคลั่งลากปืนมากราดยิงประชาชนจากการทุจริต และอื่นๆ อีกหลายกรณี แต่นายกฯ กลับไม่ตอบชัดสักเรื่อง ท่านบอกแค่ว่าไม่โกงแม้แต่บาทเดียว นั่นคือ ท่านไม่โกงเอง ก็ให้คนอื่น และลูกหลานโกง
นายสุทิน กล่าวต่อว่า นโยบายปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้บริการประชาชน ที่มีการตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แต่ผลการวัดความฉลาดทางดิจิทัล (DQ) กลับลดลง อยู่ในอันดับท้ายๆ ของอาเซียน จนเกิดอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เกลื่อนไปหมด เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนั้น กระทรวงดีอีเอส และกระทรวงศึกษาธิการ ต้องร่วมกันปฏิรูปและพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพื่อระบบเศรษฐกิจใหม่ของประเทศในการส่งเสริมให้คนไทยมีรายได้เพิ่ม
ส่วนนโยบายการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย คือการจัดเตรียมคนไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่มีการแข่งขันสูง เราจึงต้องเตรียมลูกหลานเราให้ยืนสู้กับคนอื่นเขาได้ แต่ตอนนี้คะแนนสอบ PISA ไทยอยู่รั้งท้าย และผลการเรียนรู้ต่ำ ทั้งยังมีปัญหายาเสพติดทับเข้าไปอีก คุณครูเองก็มีปัญหา เพราะรายได้ต่ำ หนี้สินสูง จนศักยภาพต่ำ งบประมาณด้านการศึกษาเราให้แต่ละปีสูง แต่โรงเรียนยังบ่นว่าขาด เพราะเกิดการทุจริต และใช้เงินไม่เป็น สุดท้ายอนาคตประเทศมืด ไม่มีทางฟื้น
นายสุทิน กล่าวว่า นโยบายแก้ปัญหายาเสพติด ถือว่าท่านล้มเหลวที่สุด เหตุการฆ่าพ่อฆ่าแม่ เผาบ้านมีทุกวัน เหตุการณ์ที่ จ.หนองบัวลำภู คือความสุกงอมของปัญหายาเสพติด ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาท่านดื้อตาใสบอกว่าปราบเต็มที่ ทั้งที่ชาวบ้านเดือดร้อนมาก แต่ท่านไม่ได้ยิน ทหารที่ท่านเกณฑ์ไป ลองไปตรวจปัสสาวะดูว่าบริสุทธิ์กี่คน แล้วท่านจะเอาคนเหล่านี้ไปขับรถถัง ขับเครื่องบิน และออกมาเป็นผู้นำท้องถิ่นหรือ ตนตราหน้าเลยว่าท่านล้มเหลว ส่วนนโยบายการเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก และรุนแรงกว่าเดิม นโยบายข้อสุดท้ายคือ นโยบายปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ได้แก้เรื่องระบบเลือกตั้งนิดเดียว
ตอนแรกท่านบอกไม่อยากเป็นนักการเมือง แต่ตอนนี้กลับมาเป็นนักการเมือง ส่วนวิธีการของท่านมีความเป็นอารยะ หรือประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะมีการแตกพรรค และตั้งพรรคซูเปอร์เฉพาะกิจขึ้นมา ถามหน่อยว่าการเมืองตอนนี้ถอยหลังหรือไปข้างหน้า ตอนนี้ดูแล้วตกต่ำไปเรื่อยๆ ทั้งยังวางแผนจะเอาชนะกันใต้เข็มขัด ทั้งจะเลื่อนเลือกตั้ง จะคดตจะโกง ก็เดี๋ยวจะได้ดูกัน และประชาชนจะได้เห็นว่าล้มเหลว และไม่จริงใจอย่างไร ตนเสียใจที่นายกฯ สัญญากับสภาฯ แล้วไม่ทำ แต่ทำตรงกันข้าม แถมยังด้อยค่า และโจมตีเราอีก แต่เป็นกรรมที่ท่านจะต้องไปรับในช่วงการเลือกตั้ง ไม่ใช่กรรมของพวกตน สุดท้าย ตนขอนายกฯ ว่าไม่ต้องมาเจอกันอีก เวลา 8 ปี นั้นพอแล้ว
ทั้งนี้นายสุทิน ใช้เวลาสรุปญัตติฯ 1 ชั่วโมง 30 นาที ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติมาตรา 152 จากนั้นนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้กล่าวก่อนสั่งปิดประชุมว่า ขอบคุณสมาชิกทุกคน ทั้งฝ่ายรัฐบาล ครม. และฝ่ายค้าน ซึ่งต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ตาม มาตรา 152 และรัฐบาลก็ทำหน้าที่ตามมาตรา 164 คือการชี้แจงข้อซักถาม แต่ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ บางครั้งมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง บางครั้งก็อภิปรายต่อว่ากับบ้าง ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ก็แล้วกัน บุคคลใดที่อาสามาเป็นนายกฯ ต่อไป ต้องเข้าใจระบบรัฐสภาของเรา นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ และสั่งปิดการประชุมในเวลา 00.35 น.