อั้นไม่ไหว! ‘ยำยำช้างน้อย’ ขึ้นราคาเป็นซองละ 3.30 บาท ‘ลีโอกระป๋อง’ จ่อขยับด้วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_3819327
อั้นไม่ไหว! บะหมี่ในตำนาน ‘ยำยำช้างน้อย’ ขึ้นราคาเป็นซองละ 3.30 บาท ส่วน ‘ลีโอกระป๋อง’ จ่อขยับด้วย
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกค้าส่งแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีผู้ผลิตสินค้าทยอยแจ้งปรับราคาสินค้า ส่วนใหญ่เป็นการขึ้นราคาต้นทุนและถอดส่วนลดออก มีบางรายยังไม่ขึ้นราคาขายปลีก แต่จะทำให้ร้านค้าปลีกค้าส่งมีกำไรจากการขายน้อยลง
ส่วนสินค้าที่แจ้งขึ้นราคาขายปลีกล่าสุด เช่น ยำยำช้างน้อย สินค้าล็อตใหม่ที่ออกสู่ตลาดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ปรับราคาขายปลีกขึ้นเล็กน้อย และไม่มีการติดป้ายราคาไว้หน้าซอง จากเดิมราคาอยู่ที่ซองละ 3 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าร้านค้าสามารถขายในราคา 4 บาทต่อซองได้ อย่างไรก็ตามบริษัทขอให้ร้านค้าขายในราคา 3 ซอง 10 บาท
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็กยี่ห้อหนึ่ง แจ้งจะขึ้นราคาในเดือนมีนาคมนี้ แต่ยังไม่บอกจะขึ้นเท่าไหร่ และยังได้รับแจ้งจากพนักงานขายของบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตเบียร์ลีโอ จะปรับราคาขายเบียร์ลีโอแบบกระป๋องทุกขนาด เนื่องจากต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะปรับเท่ากับราคาเบียร์ลีโอขวดใหญ่และขวดเล็กที่ปรับขึ้น 1 บาทต่อขวด เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566
“
ช่วงนี้บรรยากาศค้าขายฝืดมาก ยอดขายหายไปวันละเกือบ 50% แม้แต่เทศกาลวันวาเลนไทน์ที่ใกล้จะมาถึง ยังเงียบ ทุกปีจะมีร้านอาหารที่เป็นลูกค้าประจำสั่งซื้อเหล้า เบียร์ ปีนี้ไม่มีออเดอร์เลย คาดว่าบรรยากาศจะเงียบไปถึงสงกรานต์ คงมีแต่พื้นที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดูคึกคัก เพราะมีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้ามา ”แหล่งข่าวกล่าว
นาย
กิติพศ ชาญถาวรกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อ “
ยำยำ” กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทได้ปรับราคาขาย”
ยำยำ ช้างน้อย”อีกซองละ 30 สตางค์ จากซองละ 3 บาท เป็นซองละ 3.30 บาท หลังไม่ได้ปรับราคามากว่า 10 ปี เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม อีกทั้งยังมีต้นทุนค่าพลังงาน ค่าขนส่งและอื่นๆอีก ขณะที่สงครามรัสเซียกับยูเครนยังไม่มีทีท่าจะยุติ จึงทำให้ต้นทุนยังคงผันผวน
“
เรายื่นขอกรมการค้าภายใน ปรับราคาขึ้นซองละ 1 บาท แต่ได้รับอนุมัติให้ขึ้นได้ 30 สตางค์ต่อซอง ซึ่งคงไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่เราผลิตไม่มาก ไม่ใช่สินค้าหลัก ทำเพื่อรองรับตลาดกลุ่มเด็กๆ นอกจากนี้เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เราได้ออกสินค้าตัวใหม่เจาะตลาดพรีเมียม เป็นยำยำพลัส จำหน่ายในราคาซองละ 11 บาท เป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าเพิ่ม”นาย
กิติพศกล่าว
ผลวิจัยเปิดเหตุผลเชิงลึก คนกรุงเทพฯ ยี้ รธน.60 พ้องทัศนคติคนรุ่นใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819553
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร.
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เผยแพร่ผลงานวิจัยส่วนบุคคลโดยเก็บข้อมูลจากคนกรุงเทพฯ (อายุ 18 ปีขึ้นไป มี 4.48 ล้านคน ประชากรกรุงเทพฯ 5.52 ล้านคน) เก็บแบบสอบถามจำนวน 1,200 คน
ข้อคำถามว่า “
ท่านเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับ ประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ”
ผลการวิจัยพบว่า
1.คนกรุงเทพฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ จำนวน 720 คน คิดเป็นร้อยละ 60 คนกรุงเทพฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับประชาธิปไตย 159 คน คิดเป็นร้อยละ 13.25 ส่วนไม่แสดงความเห็น 321 คน คิดเป็นร้อยละ 26.75
.
2. คนกรุงเทพฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของ กปปส. คือคนที่มีแนวโน้มจะเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ
.
3. จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก คนกรุงเทพฯ ที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ นั้นมีคำอธิบาย อาทิ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้กำหนดให้นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง, เป็นรัฐธรรมนูญที่ให้สืบทอดอำนาจ คสช., เป็นรัฐธรรมนูญที่คลอดอออกมาจากท็อปบูทและกระบอกปืน, เป็นรัฐธรรมนูญที่โกงอำนาจประชาชนที่ให้มี ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี , เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน, เป็นรัฐธรรมนูญที่หลังประชามติยังมีการแก้ไขก่อนประกาศใช้, เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบกลไกสถาบันที่เป็นคุณต่อรัฐทหารไม่เป็นคุณต่อฝ่ายประชาธิปไตย , เป็นรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไขอะไรไม่ได้เลย, เป็นการโกงประชาชนตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ, เป็นรัฐธรรมนูญที่กำจัดพรรคการเมืองของประชาชน, เป็นรัฐธรรมนูญที่ขับไล่พลเอกประยุทธ์ออกจากนายกฯไม่ได้
.
คนกรุงเทพฯ ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับประชาธิปไตย นั้นมีคำอธิบายว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่พิทักษ์ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, เป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพัฒนาประเทศด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะปฏิรูปประเทศในทุกด้าน, เป็นรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนครบถ้วนทุกด้าน, เป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถเลือกสรรคนดีให้เข้าสู่ตำแหน่งองค์กรต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ แทนที่จะมีแต่สภาผัวเมีย, เป็นรัฐธรรมนูญที่มี ส.ว. ไว้ตรวจสอบและถ่วงดุลพวก ส.ส., เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ชาติเกิดความสงบและสามัคคี, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะช่วยพัฒนาชาติไทยไปสู่ความเป็นชาติประชาธิปไตยที่สมบูรณ์, เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ได้คนดีมาบริหารประเทศ, เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง, เป็นรัฐธรรมนูญที่กำจัดทุนนิยมสามานย์, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะทำลายประชานิยม
.
4. เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับทัศนคติของคน Gen Z (เผยแพร่เมื่อ 2 ตุลาคม 2565) คน Gen Z เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการนั้นมีสูงถึงร้อยละ 85.9 เห็นว่าเป็นฉบับประชาธิปไตยเพียงร้อยละ 2.5 และไม่แสดงความเห็นร้อยละ 11.6
.
ข้อมูลพื้นฐาน
งานวิจัยทัศนคติของคนกรุงเทพต่อสังคมการเมืองไทยนี้ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 3-18 ธันวาคม 2565 รวม 1,200 คน โดยเก็บแบบสอบถามจาก กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ (เขตลาดพร้าว เขตหลักสี่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตสายไหม เขตบางเขน และเขตดอนเมือง) กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง (เขตสัมพันธวงศ์ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพญาไท เขตราชเทวี เขตดินแดง เขตวังทองหลาง และเขตห้วยขวาง) กลุ่มเขตกรุงธนใต้ (เขตภาษีเจริญ เขตบางแค เขตหนองแขม เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ เขตบางขุนเทียน และเขตบางบอน)
เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 483 คน (40.25%) ชาย 546 คน (45.50%) เพศหลากหลาย 171 คน (14.25%)
อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม: Gen Z (18-25 ปี) 377 คน (31.42%), Gen Y (26-42 ปี) 549 คน (45.75%), Gen X (43-57 ปี) 167 คน (13.93%), Gen Baby boomer (58 ปีขึ้นไป) 107 คน (8.92%)
อาชีพหลักของผู้ตอบแบบสอบถาม: นักเรียนนักศึกษา 193 คน (16.08%) พนักงานเอกชน 461 คน (38.42%) รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน 143 คน (11.92%) เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ 186 คน (15.50%) ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ 115 คน (9.58%) พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน 93 คน (7.75%) อื่นๆ 9 คน (0.75%)
รายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม: ไม่มีรายได้ 109 คน (9.08%) รายได้ไม่เกิน 10,000 บาท 128 คน (10.67%) รายได้ 10,001-20,000 บาท 262 คน (21.83%) รายได้ 20,001-30,000 บาท 403 คน (33.58%) รายได้ 30,001- 40,000 บาท 198 คน (16.51%) รายได้ 40,001 บาทขึ้นไป 100 คน (8.33%)
ทีมผู้ช่วยวิจัย : นาย
สหรัฐ เวียงอินทร์ นาย
ชนวีย์ กฤตเมธาวี นาย
ศุภกาญจน์ เป็งเมืองมูล นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
"นิด้าโพล"คนเมืองคอนยังหนุน"บิ๊กตู่"นายกฯ-ส.สงเขตเลือกปชป.
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_498811/
“นิด้าโพล” คนเมืองคอนยังหนุน “บิ๊กตู่”นายกฯ รองลงมา “อุ๊งอิ๊ง” ขณะเลือก ส.ส.เขต ให้ประชาธิปัตย์ มากกว่าเพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติเล็กน้อย
“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คนนครศรีธรรมราชเลือกพรรคไหน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-8 ก.พ.ที่ผ่านมา
จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้
รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่างด้วยวิธีสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ พบว่า
ร้อยละ 29.08 จะสนับสนุนให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมา ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ,
ร้อยละ 21.07 น.ส.
แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร พรรคเพื่อไทย เพราะ ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย, ร้อยละ 10.53 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้,
ร้อยละ 8.93 นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ เป็นคนมีความรู้ความสามารถชื่นชอบแนวคิดและวิธีการทำงาน และชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล,
ร้อยละ 7.33 นาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะ สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา และเป็นคนใต้เหมือนกัน
สำหรับพรรคการเมืองที่คนนครศรีธรรมราชมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ร้อยละ 22.29 พรรคประชาธิปัตย์, ร้อยละ 21.68 พรรคเพื่อไทย, ร้อยละ 21.22พรรครวมไทยสร้างชาติ, ร้อยละ 9.16 พรรคก้าวไกล และ ร้อยละ 6.41 ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนพรรคการเมืองที่คนนครศรีธรรมราชมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อร้อยละ 22.44 พรรคเพื่อไทย,ร้อยละ 21.68 พรรคประชาธิปัตย์, ร้อยละ 20.69 พรรครวมไทยสร้างชาติ, ร้อยละ 10.00 พรรคก้าวไกล และ ร้อยละ 6.72 ยังไม่ตัดสินใจ
JJNY : อั้นไม่ไหว! ยำยำ ลีโอ│คนกรุงเทพฯ ยี้รธน.60 พ้องทัศนคติคนรุ่นใหม่│คนเมืองคอนยังหนุน"ตู่"│“จุลพันธ์” เห็นต่าง”ชวน”
https://www.matichon.co.th/economy/news_3819327
อั้นไม่ไหว! บะหมี่ในตำนาน ‘ยำยำช้างน้อย’ ขึ้นราคาเป็นซองละ 3.30 บาท ส่วน ‘ลีโอกระป๋อง’ จ่อขยับด้วย
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกค้าส่งแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีผู้ผลิตสินค้าทยอยแจ้งปรับราคาสินค้า ส่วนใหญ่เป็นการขึ้นราคาต้นทุนและถอดส่วนลดออก มีบางรายยังไม่ขึ้นราคาขายปลีก แต่จะทำให้ร้านค้าปลีกค้าส่งมีกำไรจากการขายน้อยลง
ส่วนสินค้าที่แจ้งขึ้นราคาขายปลีกล่าสุด เช่น ยำยำช้างน้อย สินค้าล็อตใหม่ที่ออกสู่ตลาดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ปรับราคาขายปลีกขึ้นเล็กน้อย และไม่มีการติดป้ายราคาไว้หน้าซอง จากเดิมราคาอยู่ที่ซองละ 3 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าร้านค้าสามารถขายในราคา 4 บาทต่อซองได้ อย่างไรก็ตามบริษัทขอให้ร้านค้าขายในราคา 3 ซอง 10 บาท
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็กยี่ห้อหนึ่ง แจ้งจะขึ้นราคาในเดือนมีนาคมนี้ แต่ยังไม่บอกจะขึ้นเท่าไหร่ และยังได้รับแจ้งจากพนักงานขายของบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตเบียร์ลีโอ จะปรับราคาขายเบียร์ลีโอแบบกระป๋องทุกขนาด เนื่องจากต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะปรับเท่ากับราคาเบียร์ลีโอขวดใหญ่และขวดเล็กที่ปรับขึ้น 1 บาทต่อขวด เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566
“ช่วงนี้บรรยากาศค้าขายฝืดมาก ยอดขายหายไปวันละเกือบ 50% แม้แต่เทศกาลวันวาเลนไทน์ที่ใกล้จะมาถึง ยังเงียบ ทุกปีจะมีร้านอาหารที่เป็นลูกค้าประจำสั่งซื้อเหล้า เบียร์ ปีนี้ไม่มีออเดอร์เลย คาดว่าบรรยากาศจะเงียบไปถึงสงกรานต์ คงมีแต่พื้นที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดูคึกคัก เพราะมีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้ามา ”แหล่งข่าวกล่าว
นายกิติพศ ชาญถาวรกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อ “ยำยำ” กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทได้ปรับราคาขาย”ยำยำ ช้างน้อย”อีกซองละ 30 สตางค์ จากซองละ 3 บาท เป็นซองละ 3.30 บาท หลังไม่ได้ปรับราคามากว่า 10 ปี เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม อีกทั้งยังมีต้นทุนค่าพลังงาน ค่าขนส่งและอื่นๆอีก ขณะที่สงครามรัสเซียกับยูเครนยังไม่มีทีท่าจะยุติ จึงทำให้ต้นทุนยังคงผันผวน
“เรายื่นขอกรมการค้าภายใน ปรับราคาขึ้นซองละ 1 บาท แต่ได้รับอนุมัติให้ขึ้นได้ 30 สตางค์ต่อซอง ซึ่งคงไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่เราผลิตไม่มาก ไม่ใช่สินค้าหลัก ทำเพื่อรองรับตลาดกลุ่มเด็กๆ นอกจากนี้เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เราได้ออกสินค้าตัวใหม่เจาะตลาดพรีเมียม เป็นยำยำพลัส จำหน่ายในราคาซองละ 11 บาท เป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าเพิ่ม”นายกิติพศกล่าว
ผลวิจัยเปิดเหตุผลเชิงลึก คนกรุงเทพฯ ยี้ รธน.60 พ้องทัศนคติคนรุ่นใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819553
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เผยแพร่ผลงานวิจัยส่วนบุคคลโดยเก็บข้อมูลจากคนกรุงเทพฯ (อายุ 18 ปีขึ้นไป มี 4.48 ล้านคน ประชากรกรุงเทพฯ 5.52 ล้านคน) เก็บแบบสอบถามจำนวน 1,200 คน
ข้อคำถามว่า “ท่านเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับ ประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ”
ผลการวิจัยพบว่า
1.คนกรุงเทพฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ จำนวน 720 คน คิดเป็นร้อยละ 60 คนกรุงเทพฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับประชาธิปไตย 159 คน คิดเป็นร้อยละ 13.25 ส่วนไม่แสดงความเห็น 321 คน คิดเป็นร้อยละ 26.75
.
2. คนกรุงเทพฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของ กปปส. คือคนที่มีแนวโน้มจะเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ
.
3. จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก คนกรุงเทพฯ ที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการ นั้นมีคำอธิบาย อาทิ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้กำหนดให้นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง, เป็นรัฐธรรมนูญที่ให้สืบทอดอำนาจ คสช., เป็นรัฐธรรมนูญที่คลอดอออกมาจากท็อปบูทและกระบอกปืน, เป็นรัฐธรรมนูญที่โกงอำนาจประชาชนที่ให้มี ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี , เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน, เป็นรัฐธรรมนูญที่หลังประชามติยังมีการแก้ไขก่อนประกาศใช้, เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบกลไกสถาบันที่เป็นคุณต่อรัฐทหารไม่เป็นคุณต่อฝ่ายประชาธิปไตย , เป็นรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไขอะไรไม่ได้เลย, เป็นการโกงประชาชนตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญ, เป็นรัฐธรรมนูญที่กำจัดพรรคการเมืองของประชาชน, เป็นรัฐธรรมนูญที่ขับไล่พลเอกประยุทธ์ออกจากนายกฯไม่ได้
.
คนกรุงเทพฯ ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับประชาธิปไตย นั้นมีคำอธิบายว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่พิทักษ์ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, เป็นรัฐธรรมนูญเพื่อพัฒนาประเทศด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะปฏิรูปประเทศในทุกด้าน, เป็นรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนครบถ้วนทุกด้าน, เป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถเลือกสรรคนดีให้เข้าสู่ตำแหน่งองค์กรต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ แทนที่จะมีแต่สภาผัวเมีย, เป็นรัฐธรรมนูญที่มี ส.ว. ไว้ตรวจสอบและถ่วงดุลพวก ส.ส., เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ชาติเกิดความสงบและสามัคคี, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะช่วยพัฒนาชาติไทยไปสู่ความเป็นชาติประชาธิปไตยที่สมบูรณ์, เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ได้คนดีมาบริหารประเทศ, เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง, เป็นรัฐธรรมนูญที่กำจัดทุนนิยมสามานย์, เป็นรัฐธรรมนูญที่จะทำลายประชานิยม
.
4. เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับทัศนคติของคน Gen Z (เผยแพร่เมื่อ 2 ตุลาคม 2565) คน Gen Z เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 เป็นฉบับเผด็จการนั้นมีสูงถึงร้อยละ 85.9 เห็นว่าเป็นฉบับประชาธิปไตยเพียงร้อยละ 2.5 และไม่แสดงความเห็นร้อยละ 11.6
.
ข้อมูลพื้นฐาน
งานวิจัยทัศนคติของคนกรุงเทพต่อสังคมการเมืองไทยนี้ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 3-18 ธันวาคม 2565 รวม 1,200 คน โดยเก็บแบบสอบถามจาก กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ (เขตลาดพร้าว เขตหลักสี่ เขตจตุจักร เขตบางซื่อ เขตสายไหม เขตบางเขน และเขตดอนเมือง) กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง (เขตสัมพันธวงศ์ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพญาไท เขตราชเทวี เขตดินแดง เขตวังทองหลาง และเขตห้วยขวาง) กลุ่มเขตกรุงธนใต้ (เขตภาษีเจริญ เขตบางแค เขตหนองแขม เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ เขตบางขุนเทียน และเขตบางบอน)
เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 483 คน (40.25%) ชาย 546 คน (45.50%) เพศหลากหลาย 171 คน (14.25%)
อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม: Gen Z (18-25 ปี) 377 คน (31.42%), Gen Y (26-42 ปี) 549 คน (45.75%), Gen X (43-57 ปี) 167 คน (13.93%), Gen Baby boomer (58 ปีขึ้นไป) 107 คน (8.92%)
อาชีพหลักของผู้ตอบแบบสอบถาม: นักเรียนนักศึกษา 193 คน (16.08%) พนักงานเอกชน 461 คน (38.42%) รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน 143 คน (11.92%) เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ 186 คน (15.50%) ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ 115 คน (9.58%) พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน 93 คน (7.75%) อื่นๆ 9 คน (0.75%)
รายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถาม: ไม่มีรายได้ 109 คน (9.08%) รายได้ไม่เกิน 10,000 บาท 128 คน (10.67%) รายได้ 10,001-20,000 บาท 262 คน (21.83%) รายได้ 20,001-30,000 บาท 403 คน (33.58%) รายได้ 30,001- 40,000 บาท 198 คน (16.51%) รายได้ 40,001 บาทขึ้นไป 100 คน (8.33%)
ทีมผู้ช่วยวิจัย : นายสหรัฐ เวียงอินทร์ นายชนวีย์ กฤตเมธาวี นายศุภกาญจน์ เป็งเมืองมูล นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
"นิด้าโพล"คนเมืองคอนยังหนุน"บิ๊กตู่"นายกฯ-ส.สงเขตเลือกปชป.
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_498811/
“นิด้าโพล” คนเมืองคอนยังหนุน “บิ๊กตู่”นายกฯ รองลงมา “อุ๊งอิ๊ง” ขณะเลือก ส.ส.เขต ให้ประชาธิปัตย์ มากกว่าเพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติเล็กน้อย
“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คนนครศรีธรรมราชเลือกพรรคไหน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-8 ก.พ.ที่ผ่านมา
จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้
รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่างด้วยวิธีสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ พบว่า
ร้อยละ 29.08 จะสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมา ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ,
ร้อยละ 21.07 น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร พรรคเพื่อไทย เพราะ ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย, ร้อยละ 10.53 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้,
ร้อยละ 8.93 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ เป็นคนมีความรู้ความสามารถชื่นชอบแนวคิดและวิธีการทำงาน และชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล,
ร้อยละ 7.33 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะ สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา และเป็นคนใต้เหมือนกัน
สำหรับพรรคการเมืองที่คนนครศรีธรรมราชมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ร้อยละ 22.29 พรรคประชาธิปัตย์, ร้อยละ 21.68 พรรคเพื่อไทย, ร้อยละ 21.22พรรครวมไทยสร้างชาติ, ร้อยละ 9.16 พรรคก้าวไกล และ ร้อยละ 6.41 ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนพรรคการเมืองที่คนนครศรีธรรมราชมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อร้อยละ 22.44 พรรคเพื่อไทย,ร้อยละ 21.68 พรรคประชาธิปัตย์, ร้อยละ 20.69 พรรครวมไทยสร้างชาติ, ร้อยละ 10.00 พรรคก้าวไกล และ ร้อยละ 6.72 ยังไม่ตัดสินใจ