แม่ค้าตามสั่ง-ข้าวหมูแดง โอด ราคาไข่แพง แทบแบกต้นทุนไม่ไหวแล้ว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7447830
แม่ค้าตามสั่ง-ข้าวหมูแดง เมืองขอนแก่น โอด ราคาไข่แพง ขึ้นต่อเนื่อง แทบจะแบกต้นทุนไม่ไหว เผย จะให้ปรับราคาจำหน่าย หวั่นลูกค้าจ่ายไม่ไหว
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ม.ค.2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ราคาไข่แพง หลังพบว่ามีการปรับขึ้นราคาอีกแผงละ 6 บาท ทำให้มีผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องใช้ไข่เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้วัตถุดิบบางรายการปรับราคาขึ้นไปแล้ว ทำให้ต้นทุนในการประกอบอาหารสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นห่วงผู้บริโภค จึงต้องแบกภาระราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาโดยตลอด
น.ส.
ศรีประนอม ธีระศิลป์ อายุ 47 ปี ร้านเจ๊หวานอาหารตามสั่ง กล่าวว่า ยอมรับว่าวัตถุดิบที่แพงขึ้นส่งผลกระทบในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ที่ร้านตอนนี้คิดค่าใส่ไข่ฟองละ 5 บาท แต่ด้วยราคาไข่ไก่ที่ปรับแพงขึ้นร้านก็ต้องพิจารณาขึ้นเป็นฟองละ 7-10 บาท ในเร็ว ๆ นี้
“
ที่จะปรับราคาขึ้นไม่ใช่เพราะไข่ไก่แพงขึ้นอย่างเดียว แต่ยังมีสินค้าตัวอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นผักแพง หมูแพง ที่สำคัญก๊าซหุงต้มที่ใช้ทุกวันก็ปรับขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคาอาหารขึ้น 5-10 บาท ก่อนหน้านี้ขายอาหารราคาเริ่มต้น 45 บาท ใส่ไข่ดาว คิดเพิ่มฟองละ 5 บาท ตอนนี้ต้องปรับเป็น 55 บาท และร้านใช้ไข่ไก่วันละ 4 แผง และใช้ไข่เป็นส่วนประกอบเกือบทุกเมนู” น.ส.
ศรีประนอม กล่าว
น.ส.
ศรีประนอม กล่าวต่อว่า เราขายอาหารตามสั่งจึงใช้ไข่แทบทุกรายการ โดยเฉพาะราดหน้าใส่ไข่ ผัดซีอิ๊ว ส่วนมากจะใช้ไข่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้หมักหมูก็ต้องใส่ไข่ตามสูตรของทางร้าน อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปว่าราคาไข่ไก่จะขึ้นอีกหรือไม่ ถ้าขึ้นอาจจะมีการปรับราคาขึ้นอีก หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นไข่ไก่เบอร์เล็กลง เพื่อที่จะลดต้นทุนลงแต่ลูกค้าจะได้กินไข่ไก่ลูกเล็กลงในราคาเท่าเดิม ซึ่งก็ต้องช่วยกันไปทั้งลูกค้าและคนขายอาหารด้วย
ด้าน น.ส.
ลักษมี อยู่มั่นคง อายุ 38 ปี เจ้าของร้านเจ๊อู๊ด ข้าวหมูแดงขอนแก่น กล่าวว่า ราคาไข่ที่ปรับขึ้นกระทบกับทางร้านแน่นอน เพราะว่าใช้ไข่ให้ลูกค้า 1 จานต่อ 1 ฟอง ปัจจุบันข้าวขาหมูเพิ่มไข่ 1 ลูก เริ่มต้นที่ 60 บาท ไม่มีไข่ 50 บาท ตอนนี้ใช้ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ ถ้าขึ้นราคาแบบไม่พัก แบบนี้คงต้องมีการปรับใช้ไข่ไก่เบอร์เล็กลง เพราะตอนนี้ยังใช้ไข่ที่สั่งมาไว้ราคาเดิมอยู่
“
ถ้าสั่งรอบใหม่ราคาไข่ต้นทุนที่แพงขึ้นอาจจะต้องมาพิจารณากันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป บางครั้งอาจจะต้องใช้ไข่ไก่เบอร์เท่าเดิมเพื่อรักษาลูกค้าเอาไว้ยอมแบกต้นทุนไว้เอง เพราะถ้าเปลี่ยนไปใช้เบอร์เล็กกว่านี้น่าจะต้องใช้ไข่นกกะทาแล้ว จะไปขึ้นราคาอาหารก็ไม่ไหวจะเป็นการผลักภาระให้ลูกค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ ก็ยอมได้กำไรน้อยลง คนขายอยู่ได้ ลูกค้าอยู่ได้เป็นแม่ค้าก็ต้องอดทนกันไป” น.ส.
ลักษมี
“พิธา” เย้ย “บิ๊กตู่” ไร้ราคา-เข้ารทสช.ก็แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_477906/
“พิธา” เย้ย “บิ๊กตู่” บอกไร้ราคา เข้ารวมไทยสร้างชาติก็แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ เตือนระวังตกหลุมที่ตัวเองเขียนมา ยันไม่ประมาทพลังดูด
นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาเล่นการเมืองเต็มตัว โดยจะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมเปิดตัวในวันที่ 9 มกราคมนี้ จะทำให้ได้เปรียบทางการเมืองหรือไม่ เพราะมีเสียง ส.ว. 250 เสียง รออยู่ในสภาแล้ว ว่า ไร้ราคา เพราะเป็นระบอบเดิม ผู้เล่นเดิม เหล้าเก่าในขวดใหม่ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า จะมาในรูปแบบนี้ ซึ่งเห็นความแตกแยกชัดเจนมาเป็นปีแล้ว และถ้าย้อนหลังไปดูการกระทำที่ผ่านมา
ชัดเจนว่า ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ และแยกกันชัดเจนแล้ว พล.อ.
ประยุทธ์ อาจจะตกหลุมรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนมา ต้องมี ส.ส. ให้ครบ 25 คน ในระยะเวลาสั้นๆ พรรคจึงจะมีสิทธิ์เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ แน่นอนว่าคงจะมีวิธีหรือการดึงอดีต ส.ส. จากพรรคอื่นมาสังกัด จึงต้องไม่ประมาทพลังดูด อย่าให้เป็นประชาธิปไตยแบบกล้วย เพื่อที่จะให้ได้ ส.ส.ครบ 25 คน เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ
พร้อมเชื่อว่า คนที่เป็นอำนาจนิยมและเผด็จการจะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตัวเองได้กลับมา แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนละครึ่ง เพียงแค่ 2 ปี โดยไม่คำนึงถึงการแก้ปัญหาต่อเนื่อง ซึ่งตนไม่ทราบว่าจะหาเสียงอย่างไร นายพิธา ย้ำว่า ไม่ให้ราคา แต่ขณะเดียวกันจะไม่ประมาท เพราะต้องรู้เขารู้เรากับวิธีการของเขา
ส่วนความเป็นไปได้หรือไม่ ขั้ววพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค หลังเลือกตั้งอาจสวิงมาจับมือกับฝ่ายค้าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลมีปัญหาขัดแย้งกันเอง นาย
พิธา กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตย เป็นปกติที่จะมีการจับขั้ว ต้องรอดู แต่ในส่วนอุดมการพรรคอื่นตนพูดแทนไม่ได้
แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลมีอุดมการชัดเจนว่า ตนมีคำตอบ สำหรับประชาชน โดยวิธีการแบบใหม่ๆ ด้วยวิธีแบบก้าวไกล ซึ่งการรวมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ปัจจุบัน เป็นคำตอบให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว ส.ว. ไม่ควรจะขวาง แต่สิ่งที่ตนยืนยันมาตลอดกับสื่อฯ คือ ไม่ร่วม กลับพรรคทหารจำแลง ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ผู้ซึ่งเป็นระบอบประยุทธ์ทั้งคู่ จะไม่จับมือร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน
เพราะไม่สามารถอยู่กับอุดมการณ์ในการสืบทอดอำนาจของทหารได้ จึงคิดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านขณะนี้เป็นคำตอบ ที่ค่อนข้างชัดกับปัญหาความท้าทายของประเทศขณะนี้
ขณะพรรคแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน เช่น เพื่อไทย มีความจำเป็นจะต้องเติมเสียง จากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง พรรคก้าวไกล จะรับได้หรือไม่ นาย
พิธา ยืนยันว่า ความสัมพันธ์พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ใช่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ยังมีพรรคเสรีรวมไทย และพรรคพลังประชาชาติ ตนคิดว่าเหนียวแน่นมาโดยตลอด
โดยพยายามโฟกัสที่ภาพใหญ่ ศัตรูตัวจริงและประชาชน คือใคร นั่นคือ ระบอบ
ประยุทธ์ ดังนั้น มองที่ภาพใหญ่ ในการแก้ไขปัญหา คิดว่าได้แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ในการทำงานด้วย ปีนี้เป็นปีที่สี่ได้รู้จักกันมากขึ้น พร้อมยืนยันในส่วนของพรรคก้าวไกล ไม่ว่าพรรคอื่นจะพูดอย่างไร ยังพอที่จะหาจุดร่วมในการทำงาน ร่วมกันในอนาคต เพื่อประเทศของเราได้
“ชูวิทย์” เหน็บ “บิ๊กตู่” ไม่เป็นนายกฯ ประเทศก็ไม่ล่มสลาย เชื่อใกล้สิ้นอำนาจ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2596261
“ชูวิทย์” ฝากถึง “บิ๊กตู่” จะเป็นนักการเมืองต้องครองใจประชาชน ใช้ความเป็นทหารปกครองไม่ได้ จี้ อย่านิ่งเฉยทุนจีนสีเทา แขวะ ถึงไม่ได้เป็นนายกฯ ประเทศก็ไม่ได้ล่มสลาย เชื่อใกล้สิ้นอำนาจวาสนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เคลื่อนไหวผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 18.24 น. วันที่ 6 ม.ค. 2566 โดยโพสต์ข้อความถึง พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากวันนี้นายกรัฐมนตรีออกอาการฉุนหลังจากที่ถูกผู้สื่อข่าวถามเรื่องมีชื่อหลานชายมาเอี่ยวในคดีตู้ห่าว ว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรี ต้องการดำรงคงอำนาจต่อไปโดยวันที่ 9 ม.ค.นี้ เตรียมไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ
นาย
ชูวิทย์ ระบุต่อไปว่า พล.อ.
ประยุทธ์ เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นทหารมาทั้งชีวิต แต่วันนี้อยากผันตัวเป็นนักการเมืองเต็มตัว ซึ่งนักการเมืองต้องเข้าถึงประชาชนทุกชนชั้น ไม่ใช่ใช้ความเป็นทหารมาปกครองบ้านเมืองได้ตลอดไป การที่เป็นทหาร แต่ไม่ได้ปกครองทหาร จึงต้องครองใจประชาชนถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะนักการเมืองย่อมต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน นี่เป็นสาเหตุที่ 8 ปี สะท้อนถึงสิ่งที่ประชาชนเบื่อหน่ายต่อตัวท่าน แต่เมื่อ พล.อ.
ประยุทธ์ ต้องการเป็นนายกฯ อีกครั้ง ควรรู้จักที่จะปกครองประชาชน จะเอาแต่ใช้วิธีทหาร จัดการเรื่องความทุกข์ร้อนของประชาชนได้อย่างไร แสดงท่าทีสั่งการ หรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อถูกถามสิ่งที่ไม่ถูกใจไม่ได้
“
วันนี้ท่านไม่ได้ต้องการชนะสงคราม แต่ต้องเอาชนะใจประชาชนให้ได้ การนิ่งเฉยของท่านจึงไม่ใช่ท่าทีของผู้นำประเทศที่ดี จะใช้นิสัยกึ่งทหาร กึ่งนักการเมือง ก็ไม่ได้ครับท่านนายกฯ ประยุทธ์ อย่าไปคิดว่าสมัยหน้าท่านจะได้คะแนนมากพอ จะอยู่ต่อด้วยการอาศัยเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ท่านแต่งตั้งขึ้นเอง หรือไปเชื่อบรรดาคนที่ล้อมรอบตัวท่าน ยกยอปอปั้นจนไม่ลืมหูลืมตา คิดว่าประเทศนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะปกครองบ้านเมืองได้ ท่านไม่เป็นนายกฯ ประเทศไทยก็ยังอยู่บนแผนที่โลก ไม่ได้ล่มสลายหายไปไหน นับแล้ววันๆ หนึ่ง ท่านคงพบคนแค่ไม่กี่คนบนหอคอยงาช้าง ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง และชะโงกมองลงมาที่คนข้างล่างบ้าง หากจะเอาแต่ให้จัดการกันเองคงไม่ไหว เพราะลูกน้องท่านไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว ประเทศไทยคงพัง เพราะท่านใช้วิธีการปกครองที่ผิด ที่สำคัญ ไม่มีใครไปบังคับท่านให้เป็นนายกฯ ท่านอยากเป็นของท่านเอง ไม่มีใครไปข่มใจให้ท่านเป็นได้ มันเป็นการตัดสินใจของท่านแท้ๆ”
ในขณะที่เรื่องบ้านเมือง ทุนจีนสีเทา นายกรัฐมนตรีจะเงียบและนั่งฟังรายงานแบบทหารระดับสูงอย่างเดียวไม่ได้ หากไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไม่มีใครไปตอแยเซ้าซี้ แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องบอกว่าควรลงมาล้วงลูกในเรื่องสำคัญๆ บ้างเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลของบ้านเมือง ไม่อย่างนั้นก็อย่าไปเป็นนักการเมืองเลย มาลองเป็นประชาชนดูว่าวันหนึ่งเมื่อท่านหมดสิ้นอำนาจวาสนา ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าคงเร็วๆ นี้ จะรู้สึกเหมือนที่ตนเองรู้สึกไหม.
JJNY : โอดราคาไข่แพง│“พิธา”เย้ย“ตู่”ไร้ราคา│“ชูวิทย์”เหน็บ“ตู่”ไม่เป็นนายกฯประเทศก็ไม่ล่มสลาย│ยูเอ็นชี้ ราคาอาหารโลกพุ่ง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7447830
แม่ค้าตามสั่ง-ข้าวหมูแดง เมืองขอนแก่น โอด ราคาไข่แพง ขึ้นต่อเนื่อง แทบจะแบกต้นทุนไม่ไหว เผย จะให้ปรับราคาจำหน่าย หวั่นลูกค้าจ่ายไม่ไหว
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ม.ค.2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ราคาไข่แพง หลังพบว่ามีการปรับขึ้นราคาอีกแผงละ 6 บาท ทำให้มีผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องใช้ไข่เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้วัตถุดิบบางรายการปรับราคาขึ้นไปแล้ว ทำให้ต้นทุนในการประกอบอาหารสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นห่วงผู้บริโภค จึงต้องแบกภาระราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาโดยตลอด
น.ส.ศรีประนอม ธีระศิลป์ อายุ 47 ปี ร้านเจ๊หวานอาหารตามสั่ง กล่าวว่า ยอมรับว่าวัตถุดิบที่แพงขึ้นส่งผลกระทบในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ที่ร้านตอนนี้คิดค่าใส่ไข่ฟองละ 5 บาท แต่ด้วยราคาไข่ไก่ที่ปรับแพงขึ้นร้านก็ต้องพิจารณาขึ้นเป็นฟองละ 7-10 บาท ในเร็ว ๆ นี้
“ที่จะปรับราคาขึ้นไม่ใช่เพราะไข่ไก่แพงขึ้นอย่างเดียว แต่ยังมีสินค้าตัวอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นผักแพง หมูแพง ที่สำคัญก๊าซหุงต้มที่ใช้ทุกวันก็ปรับขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคาอาหารขึ้น 5-10 บาท ก่อนหน้านี้ขายอาหารราคาเริ่มต้น 45 บาท ใส่ไข่ดาว คิดเพิ่มฟองละ 5 บาท ตอนนี้ต้องปรับเป็น 55 บาท และร้านใช้ไข่ไก่วันละ 4 แผง และใช้ไข่เป็นส่วนประกอบเกือบทุกเมนู” น.ส.ศรีประนอม กล่าว
น.ส.ศรีประนอม กล่าวต่อว่า เราขายอาหารตามสั่งจึงใช้ไข่แทบทุกรายการ โดยเฉพาะราดหน้าใส่ไข่ ผัดซีอิ๊ว ส่วนมากจะใช้ไข่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้หมักหมูก็ต้องใส่ไข่ตามสูตรของทางร้าน อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปว่าราคาไข่ไก่จะขึ้นอีกหรือไม่ ถ้าขึ้นอาจจะมีการปรับราคาขึ้นอีก หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นไข่ไก่เบอร์เล็กลง เพื่อที่จะลดต้นทุนลงแต่ลูกค้าจะได้กินไข่ไก่ลูกเล็กลงในราคาเท่าเดิม ซึ่งก็ต้องช่วยกันไปทั้งลูกค้าและคนขายอาหารด้วย
ด้าน น.ส.ลักษมี อยู่มั่นคง อายุ 38 ปี เจ้าของร้านเจ๊อู๊ด ข้าวหมูแดงขอนแก่น กล่าวว่า ราคาไข่ที่ปรับขึ้นกระทบกับทางร้านแน่นอน เพราะว่าใช้ไข่ให้ลูกค้า 1 จานต่อ 1 ฟอง ปัจจุบันข้าวขาหมูเพิ่มไข่ 1 ลูก เริ่มต้นที่ 60 บาท ไม่มีไข่ 50 บาท ตอนนี้ใช้ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ ถ้าขึ้นราคาแบบไม่พัก แบบนี้คงต้องมีการปรับใช้ไข่ไก่เบอร์เล็กลง เพราะตอนนี้ยังใช้ไข่ที่สั่งมาไว้ราคาเดิมอยู่
“ถ้าสั่งรอบใหม่ราคาไข่ต้นทุนที่แพงขึ้นอาจจะต้องมาพิจารณากันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป บางครั้งอาจจะต้องใช้ไข่ไก่เบอร์เท่าเดิมเพื่อรักษาลูกค้าเอาไว้ยอมแบกต้นทุนไว้เอง เพราะถ้าเปลี่ยนไปใช้เบอร์เล็กกว่านี้น่าจะต้องใช้ไข่นกกะทาแล้ว จะไปขึ้นราคาอาหารก็ไม่ไหวจะเป็นการผลักภาระให้ลูกค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ ก็ยอมได้กำไรน้อยลง คนขายอยู่ได้ ลูกค้าอยู่ได้เป็นแม่ค้าก็ต้องอดทนกันไป” น.ส.ลักษมี
“พิธา” เย้ย “บิ๊กตู่” ไร้ราคา-เข้ารทสช.ก็แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_477906/
“พิธา” เย้ย “บิ๊กตู่” บอกไร้ราคา เข้ารวมไทยสร้างชาติก็แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ เตือนระวังตกหลุมที่ตัวเองเขียนมา ยันไม่ประมาทพลังดูด
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาเล่นการเมืองเต็มตัว โดยจะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมเปิดตัวในวันที่ 9 มกราคมนี้ จะทำให้ได้เปรียบทางการเมืองหรือไม่ เพราะมีเสียง ส.ว. 250 เสียง รออยู่ในสภาแล้ว ว่า ไร้ราคา เพราะเป็นระบอบเดิม ผู้เล่นเดิม เหล้าเก่าในขวดใหม่ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า จะมาในรูปแบบนี้ ซึ่งเห็นความแตกแยกชัดเจนมาเป็นปีแล้ว และถ้าย้อนหลังไปดูการกระทำที่ผ่านมา
ชัดเจนว่า ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ และแยกกันชัดเจนแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะตกหลุมรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนมา ต้องมี ส.ส. ให้ครบ 25 คน ในระยะเวลาสั้นๆ พรรคจึงจะมีสิทธิ์เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ แน่นอนว่าคงจะมีวิธีหรือการดึงอดีต ส.ส. จากพรรคอื่นมาสังกัด จึงต้องไม่ประมาทพลังดูด อย่าให้เป็นประชาธิปไตยแบบกล้วย เพื่อที่จะให้ได้ ส.ส.ครบ 25 คน เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ
พร้อมเชื่อว่า คนที่เป็นอำนาจนิยมและเผด็จการจะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตัวเองได้กลับมา แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนละครึ่ง เพียงแค่ 2 ปี โดยไม่คำนึงถึงการแก้ปัญหาต่อเนื่อง ซึ่งตนไม่ทราบว่าจะหาเสียงอย่างไร นายพิธา ย้ำว่า ไม่ให้ราคา แต่ขณะเดียวกันจะไม่ประมาท เพราะต้องรู้เขารู้เรากับวิธีการของเขา
ส่วนความเป็นไปได้หรือไม่ ขั้ววพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค หลังเลือกตั้งอาจสวิงมาจับมือกับฝ่ายค้าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลมีปัญหาขัดแย้งกันเอง นายพิธา กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตย เป็นปกติที่จะมีการจับขั้ว ต้องรอดู แต่ในส่วนอุดมการพรรคอื่นตนพูดแทนไม่ได้
แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลมีอุดมการชัดเจนว่า ตนมีคำตอบ สำหรับประชาชน โดยวิธีการแบบใหม่ๆ ด้วยวิธีแบบก้าวไกล ซึ่งการรวมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ปัจจุบัน เป็นคำตอบให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว ส.ว. ไม่ควรจะขวาง แต่สิ่งที่ตนยืนยันมาตลอดกับสื่อฯ คือ ไม่ร่วม กลับพรรคทหารจำแลง ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ผู้ซึ่งเป็นระบอบประยุทธ์ทั้งคู่ จะไม่จับมือร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน
เพราะไม่สามารถอยู่กับอุดมการณ์ในการสืบทอดอำนาจของทหารได้ จึงคิดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านขณะนี้เป็นคำตอบ ที่ค่อนข้างชัดกับปัญหาความท้าทายของประเทศขณะนี้
ขณะพรรคแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน เช่น เพื่อไทย มีความจำเป็นจะต้องเติมเสียง จากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง พรรคก้าวไกล จะรับได้หรือไม่ นายพิธา ยืนยันว่า ความสัมพันธ์พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ใช่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ยังมีพรรคเสรีรวมไทย และพรรคพลังประชาชาติ ตนคิดว่าเหนียวแน่นมาโดยตลอด
โดยพยายามโฟกัสที่ภาพใหญ่ ศัตรูตัวจริงและประชาชน คือใคร นั่นคือ ระบอบประยุทธ์ ดังนั้น มองที่ภาพใหญ่ ในการแก้ไขปัญหา คิดว่าได้แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ในการทำงานด้วย ปีนี้เป็นปีที่สี่ได้รู้จักกันมากขึ้น พร้อมยืนยันในส่วนของพรรคก้าวไกล ไม่ว่าพรรคอื่นจะพูดอย่างไร ยังพอที่จะหาจุดร่วมในการทำงาน ร่วมกันในอนาคต เพื่อประเทศของเราได้
“ชูวิทย์” เหน็บ “บิ๊กตู่” ไม่เป็นนายกฯ ประเทศก็ไม่ล่มสลาย เชื่อใกล้สิ้นอำนาจ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2596261
“ชูวิทย์” ฝากถึง “บิ๊กตู่” จะเป็นนักการเมืองต้องครองใจประชาชน ใช้ความเป็นทหารปกครองไม่ได้ จี้ อย่านิ่งเฉยทุนจีนสีเทา แขวะ ถึงไม่ได้เป็นนายกฯ ประเทศก็ไม่ได้ล่มสลาย เชื่อใกล้สิ้นอำนาจวาสนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เคลื่อนไหวผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 18.24 น. วันที่ 6 ม.ค. 2566 โดยโพสต์ข้อความถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากวันนี้นายกรัฐมนตรีออกอาการฉุนหลังจากที่ถูกผู้สื่อข่าวถามเรื่องมีชื่อหลานชายมาเอี่ยวในคดีตู้ห่าว ว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรี ต้องการดำรงคงอำนาจต่อไปโดยวันที่ 9 ม.ค.นี้ เตรียมไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ
นายชูวิทย์ ระบุต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นทหารมาทั้งชีวิต แต่วันนี้อยากผันตัวเป็นนักการเมืองเต็มตัว ซึ่งนักการเมืองต้องเข้าถึงประชาชนทุกชนชั้น ไม่ใช่ใช้ความเป็นทหารมาปกครองบ้านเมืองได้ตลอดไป การที่เป็นทหาร แต่ไม่ได้ปกครองทหาร จึงต้องครองใจประชาชนถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะนักการเมืองย่อมต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน นี่เป็นสาเหตุที่ 8 ปี สะท้อนถึงสิ่งที่ประชาชนเบื่อหน่ายต่อตัวท่าน แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการเป็นนายกฯ อีกครั้ง ควรรู้จักที่จะปกครองประชาชน จะเอาแต่ใช้วิธีทหาร จัดการเรื่องความทุกข์ร้อนของประชาชนได้อย่างไร แสดงท่าทีสั่งการ หรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อถูกถามสิ่งที่ไม่ถูกใจไม่ได้
“วันนี้ท่านไม่ได้ต้องการชนะสงคราม แต่ต้องเอาชนะใจประชาชนให้ได้ การนิ่งเฉยของท่านจึงไม่ใช่ท่าทีของผู้นำประเทศที่ดี จะใช้นิสัยกึ่งทหาร กึ่งนักการเมือง ก็ไม่ได้ครับท่านนายกฯ ประยุทธ์ อย่าไปคิดว่าสมัยหน้าท่านจะได้คะแนนมากพอ จะอยู่ต่อด้วยการอาศัยเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ท่านแต่งตั้งขึ้นเอง หรือไปเชื่อบรรดาคนที่ล้อมรอบตัวท่าน ยกยอปอปั้นจนไม่ลืมหูลืมตา คิดว่าประเทศนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะปกครองบ้านเมืองได้ ท่านไม่เป็นนายกฯ ประเทศไทยก็ยังอยู่บนแผนที่โลก ไม่ได้ล่มสลายหายไปไหน นับแล้ววันๆ หนึ่ง ท่านคงพบคนแค่ไม่กี่คนบนหอคอยงาช้าง ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง และชะโงกมองลงมาที่คนข้างล่างบ้าง หากจะเอาแต่ให้จัดการกันเองคงไม่ไหว เพราะลูกน้องท่านไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว ประเทศไทยคงพัง เพราะท่านใช้วิธีการปกครองที่ผิด ที่สำคัญ ไม่มีใครไปบังคับท่านให้เป็นนายกฯ ท่านอยากเป็นของท่านเอง ไม่มีใครไปข่มใจให้ท่านเป็นได้ มันเป็นการตัดสินใจของท่านแท้ๆ”
ในขณะที่เรื่องบ้านเมือง ทุนจีนสีเทา นายกรัฐมนตรีจะเงียบและนั่งฟังรายงานแบบทหารระดับสูงอย่างเดียวไม่ได้ หากไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไม่มีใครไปตอแยเซ้าซี้ แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องบอกว่าควรลงมาล้วงลูกในเรื่องสำคัญๆ บ้างเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลของบ้านเมือง ไม่อย่างนั้นก็อย่าไปเป็นนักการเมืองเลย มาลองเป็นประชาชนดูว่าวันหนึ่งเมื่อท่านหมดสิ้นอำนาจวาสนา ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าคงเร็วๆ นี้ จะรู้สึกเหมือนที่ตนเองรู้สึกไหม.