JJNY : “เพื่อไทย”ไม่ท้อ ยื่นแก้รธน.| ‘ชูศักดิ์’ชี้ส.ส.แห่ย้ายพรรค| 'สมชัย'เชื่อ'ตู่'ดิ้นสู้ลากยาว| "ลานีญา" เริ่มถอย

“เพื่อไทย” ไม่ท้อ ยื่นแก้ รธน.ม.159 ยกเลิก ม.272 ต่อ
https://siamrath.co.th/n/407809
 
วันที่ 16 ธ.ค. 65 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และคณะ ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 159 และการยกเลิกมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 
 
โดยนพ.ชลน่าน กล่าวว่า สิ่งที่พรรค พท.มีเจตจำนง และมุ่งมั่นมาตลอดคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 โดยเฉพาะมาตราที่เห็นว่าเป็นปัญหาที่สุดในการบังคับใช้ และกระทบต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือมาตรา 272 ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติไว้ชั่วคราวว่า ให้ส.ว. 250 คน สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ โดยเราพยายามยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตลอดแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากกติกาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ มีส่วนทำให้ไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ คือ การต้องอาศัยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา และต้องมี ส.ว. เห็นชอบด้วยในวาระรับหลักการไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ ด้วยกลไกเหล่านี้ทำให้เรายื่นร่างแก้ไขแล้วไม่สำเร็จ ซึ่งในสมัยประชุมที่ผ่านมาเราก็ยื่นแต่ก็ถูกตีตกไปในขั้นรับหลักการ แต่เราก็ไม่ย่อท้อ เพราะตามข้อบังคับแล้วในสมัยประชุมที่เปิดมาเราสามารถยื่นแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราที่สภาไม่รับหลักการได้ 
 
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับมาตรา 159 การเลือกนายกรัฐมนตรี แก้ไขเพิ่มเติมจากมาตรา 88 ที่ระบุถึงผู้ที่สมควรได้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีต้องถูกพรรคการเมืองเสนอชื่อ โดยพรรคการเมืองนั้นต้องได้เสียงในสภาไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 และมีจำนวน 25 เสียงขึ้นไป แต่เรายังคงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการให้พรรคการเมืองเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ 3 รายชื่อไว้ หรือต้องเป็น ส.ส.จากพรรคการเมืองที่มีส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คนเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการยื่นร่างแก้ไขในวันนี้



‘ชูศักดิ์’ ชี้ ส.ส.แห่ย้ายพรรค ไม่แคร์ประชาชน หวั่น กระทบศรัทธาการเมือง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3727629 

‘ชูศักดิ์’ ชี้ ส.ส.แห่ย้ายพรรค ไม่แคร์ประชาชน หวั่น กระทบศรัทธาการเมือง อัด นายกฯ เล่นเกมลอยตัว ทั้งที่ตัวเองกำหนด
 
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี ส.ส.ลาออก และย้ายพรรคพร้อมกันจำนวนมากเป็นประวัติการณ์แม้สภายังไม่หมดวาระ ว่า ที่ผ่านมาการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดหลังยุบสภา หรือสภาหมดอายุ และเป็นรายคน ไม่ใช่เป็นแบบกระบวนการ ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นเวลานี้ ดูจะชัดเจนว่าการลาออกเพื่อไปสังกัดพรรคใหม่ เป็นไปตามคำสั่งของพรรคที่จะย้ายไป

ความคิดเบื้องต้นทราบว่าเพื่อกันปัญหาการเป็นสมาชิกพรรค 90 วัน และเพื่อความชัวร์ว่าคุณมาแน่ การลาออกและย้ายพรรคกันเป็นล็อต 30-40 คน ชัดเจนว่าเกิดจากการวางแผนกันมาโดยไม่สนใจว่ายังมีภารกิจในฐานะตัวแทนประชาชนที่ต้องทำอยู่หรือไม่ ไม่สนใจว่าประชาชนเขาเลือกเรามาให้ทำหน้าที่ในสภามีระยะเวลา 4 ปี
 
ผมเป็นส่วนหนึ่งในการสอบสวนทางวินัยจรรยาบรรณ ส.ส.หลายคน ขอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าที่มาที่ไปคือ เพราะได้ผลประโยชน์ ได้โครงการ ได้การดูแลที่พรรคเดิมไม่อาจให้ได้ หลายคนยอมเป็นงูเห่าถ้าจะขับก็ยินดี แถมบอกให้รีบขับเร็วๆ แสดงว่าจริงๆ แล้ว ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น สภาพการเมืองเช่นนี้น่าห่วง ส่วนหนึ่งแสดงว่า รัฐธรรมนูญปราบโกงล้มเหลวสิ้นเชิง การปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญและนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลว การเมืองย้อนไปสู่ธนกิจการเมือง

การเมืองแบบแจกกล้วย ดูแล้วคล้ายๆ ก่อนยุครัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นเหตุให้ต้องปฏิรูปการเมืองขนานใหญ่ ยิ่งได้ฟังคำสัมภาษณ์ของนายกฯเรื่องสภาล่ม และ ส.ส.ย้ายพรรคว่า เป็นเรื่องฝ่ายการเมืองตัวเองสั่งไปแล้ว ไม่เกี่ยว ต้องว่ากันเอง ก็รู้สึกถึงการลอยตัว ทำนองว่าคุณมาเลือกผมเองทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เป็นแม้แต่สมาชิกพรรคของคุณ จริงๆ แล้วพรรคที่เสนอเขาก็ควรจะได้รับรู้ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร แปลกประหลาดคนที่เสนอเป็นนายกฯ ในนามพรรคตัวเองไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่สมาชิกพรรค แต่มีอิทธิพลถึงขั้นให้เสนอชื่อตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้” นายชูศักดิ์กล่าว
 
นายชูศักดิ์กล่าวว่า ตนเองเป็นห่วงความรู้สึกของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะความศรัทธาในระบอบพรรคการเมืองและความศรัทธาในนักการเมืองและระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญที่บอกว่าให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและส่งผู้สมัครเป็นเพียงลายลักษณ์อักษรหรูๆ ของพวกสร้างภาพเท่านั้นเอง นี่แหละรัฐธรรมนูญปราบโกงของพวกคนดีทั้งหลาย
 


'สมชัย' เชื่อ 'บิ๊กตู่' ดิ้นสู้ลากยาว ไม่ยุบสภา แม้ส.ส.แห่ลาออก ลุยสร้างฐานอำนาจ พลิกสถานการณ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_3727854
 
‘สมชัย’ เชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ดิ้นสู้ลากยาว ไม่ชิงยุบสภา แม้ส.ส.แห่ลาออก ลุยสร้างฐานอำนาจ หวังพลิกสถานการณ์ให้ฝั่งตัวเองได้เปรียบก่อน
 
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่มีส.ส.ลาออกและย้ายพรรคพร้อมกันจำนวนมากจะสามารถกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศยุบสภาได้หรือไม่ว่า มองว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจช้าในทางการเมือง จะไปทางไหนต้องมีความชัดเจน เพราะใกล้กับการเลือกตั้งมากแล้ว
 
ขณะเดียวกันตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.และส.ส.ปัจจุบัน ต้องการมีพรรคการเมืองที่ช่วยเสริมการเลือกตั้ง แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ชัดเจนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคและรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในพรรค จึงทำให้จังหวะนี้ตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.และส.ส.ปัจจุบัน เกิดการไหลไปยังพรรคอื่นทั้งไหลกลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และไหลไปเข้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้โอกาสพรรคใหม่จะเกิดขึ้นได้จริงน้อยลงไปเรื่อยๆ
 
นายสมชัย กล่าวต่อว่า จากปรากฎการณ์ดังกล่าว ส่วนตัวคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังคิดถึงหนทางในการพลิกกลับมาเป็นฝ่ายมีโอกาสได้ชัยชนะด้วยเหตุ ดังนี้ 1.ขณะนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควร 2.อำนาจยุบสภายังอยู่ในมือ 3.การเป็นสมาชิกพรรคอื่นสมัครได้ก็ยื่นลาออกได้ และ 4.การใช้กลไกอำนาจรัฐเท่าที่มีอยู่ทำให้เกิดความได้เปรียบ
 
ซึ่งจากที่มีกระแสข่าวว่าจะแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และคาดว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในสัปดาห์หน้า แสดงให้เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ เดินหน้าสู้เต็มที่ในสถานการณ์ที่ถูกบีบรัดหรือเริ่มจนตรอก ถ้ามองแบบนี้คงต้องการเวลาอีกสักระยะเพื่อพลิกสถานการณ์ หากยุบสภาเร็วทุกอย่างจบเลย
 
เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการเดินหน้าสู้ทางการเมืองคงอาศัยเวลาให้มากที่สุด คงไม่มีการยุบสภา ไม่ว่าส.ส.จะลาออกมากแค่ไหน หากยังคงสภาพของการประชุมสภาได้และกฎหมายต่างๆที่อยู่ในสภายังพิจารณาต่อไปได้ ยกเว้นว่าจะไม่สามารถรักษาองค์ประชุม สภาล่มบ่อย หรือจนถึงจุดที่ลาออกแล้วทำให้เสียงของฝ่ายรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน แต่จุดนี้เชื่อว่านายกฯก็ยังไม่ยุบสภา”นายสมชัยกล่าวและว่า
 
เพราะแม้เสียงรัฐบาลจะน้อยกว่า ก็ยังเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ สามารถประคับประคองไปได้ ช่วงเวลา 2-3 เดือนที่เหลือก่อนครบวาระ แต่จุดสุดท้ายที่ไม่ได้เลยคือถ้าไปจุดถึงส.ส. ลาออกเกินกว่าครึ่ง เหลือไม่ถึง 250 คน แม้กฎหมายไม่ได้กำหนดแต่ก็ดูขาดความชอบธรรมที่ดำรงความเป็นสภา แต่ก็คงไปถึงจุดนั้นยากเพราะไม่มีใครพร้อมใจตัดสินใจได้ถึงขนาดนั้น”นายสมชัยกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่