รู้รอบเรื่องฮอร์โมนของผู้หญิงทุกช่วงวัย


ฮอร์โมนคืออะไร??? วันนี้พี่หมอจะมาขยายความให้ฟัง โดยในกระทู้นี้จะขอเน้นเรื่องฮอร์โมนของคุณผู้หญิงนะครับ
“ฮอร์โมน” คือสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ดำเนินไปได้ตามปกติ ในผู้หญิงและผู้ชาย ฮอร์โมนจะแตกต่างกัน ทั้งปริมาณและการทำหน้าที่และแต่ละช่วงอายุก็ยังมีความแตกต่างกันไปอีกด้วยนะครับ 

 

🌟ฮอร์โมนเพศหญิง ที่สำคัญมี 4 ชนิด
เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ผลิตจากรังไข่เป็นส่วนใหญ่ (มีส่วนน้อยที่ผลิตจากต่อมหมวกไตและเซลล์ไขมัน) โดยจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเพศ ลักษณะของเพศหญิง การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์และการหมดประจำเดือน ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ 15-350 pg/mL โดยจะแตกต่างกันในช่วงของการตกไข่และมีประจำเดือน ส่วนในวัยหมดประจำเดือนจะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงที่ <10 pg/mL 

ถ้ามีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปอาจมีการสะสมไขมันได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ และยังมีผลต่ออารมณ์ทำให้หงุดหงิดแปรปรวนง่าย และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิดและไขมันในเส้นเลือด หากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล จะทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาการก่อนประจำเดือนที่ผิดปกติ (Premenstrual syndrome – PMS) อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย นอนหลับยาก ไม่มีสมาธิ กระดูกเปราะง่าย ช่องคลอดแห้งและฝ่อตัว มีผลต่อเพศสัมพันธ์ เกิดถุงน้ำ เนื้องอกที่เต้านม มดลูกและรังไข่ได้ 

โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ถูกสร้างจากรังไข่ในช่วงหลังไข่ตกและบางส่วนสร้างจากรก มีหน้าที่ควบคุมภาวะไข่ตกและการมีประจำเดือน กระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้นพร้อมรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ดูแลการตั้งครรภ์ ควบคุมการทำงานพื้นฐานของร่างกาย โดยระดับของฮอร์โมนจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของการตกไข่และตั้งครรภ์ หากมีความผิดปกติของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในช่วงก่อนการตั้งครรภ์อาจทำให้มีผลต่อการตั้งครรภ์ได้เนื่องจากไข่ที่ได้รับการผสมไม่สามารถฝังตัวได้ และหากมีความผิดปกติของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ก็อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้เลยนะครับ

Follicular stimulating hormone (FSH) สร้างจากต่อมใต้สมอง เพื่อกระตุ้นให้ไข่มีการเจริญเติบโต พร้อมต่อการผสมกับอสุจิ รวมถึงมีผลต่อการเติบโตทางเพศในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หากฮอร์โมน FSH ผิดปกติจะทำให้ไม่มีการเจริญเติบโตของไข่และอาจมีผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ได้

Luteinizing hormone (LH) สร้างจากต่อมใต้สมอง มีหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ที่เจริญเต็มที่แล้วตกจากรังไข่เพื่อพร้อมรับการผสมกับอสุจิ หากระดับฮอร์โมน LH ต่ำเกินไปจะทำให้ไม่มีการตกไข่ ส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ แต่หากมีมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการเกิดซีสต์หรือถุงน้ำในรังไข่ได้
 
⭐ฮอร์โมนอื่น ๆ 
เอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองเมื่อร่างกายมีความสุข ความพอใจ ความผ่อนคลาย หากร่างกายมีความเครียดเอ็นดอร์ฟินจะลดลง หากอยากเพิ่มเอ็นดอร์ฟินก็ต้องทำกิจกรรมที่ทำให้มีความสุข ผ่อนคลาย เช่น ทำกิจกรรมที่ชอบ ออกกำลังกาย หรือนั่งสมาธิให้เกิดความสงบ
เซโรโทนิน (Serotonin) หลั่งจากสมองและบางส่วนจากทางเดินอาหาร ช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ อารมณ์ พฤติกรรม เป็นฮอร์โมนสำคัญช่วยให้นอนหลับ หากระดับเซโรโทนินต่ำเกินไปอาจส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ มีอาการปวดศีรษะ หากเป็นระยะเวลานานอาจมีผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีนสามารถเพิ่มและรักษาระดับฮอร์โมนเซโรโทนินได้

คอร์ติซอล (Cortisol) ถูกสร้างจากต่อมหมวกไต จะถูกหลั่งมากขึ้นเมื่อร่างกายมีภาวะเครียด มีเหตุการณ์คับขัน มีเรื่องวิตกกังวล หรือมีความเจ็บป่วยของร่างกาย เมื่อเกิดภาวะดังกล่าวฮอร์โมนคอร์ติซอลจะถูกหลั่งเพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมต่อการฟื้นฟู กระตุ้นการสร้างน้ำตาลเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย การนอนหลับพักผ่อนอย่างเป็นเวลาจะช่วยให้ระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลคงที่ เนื่องจากฮอร์โมนคอร์ติซอลจะมีระดับสูงในช่วงเช้าหลังตื่นนอนและจะค่อย ๆ ลดลงในช่วงบ่าย

อะดรีนาลีน (Adrenaline) หรือ เอพิเนฟริน (Epinephrine) เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมหมวกไต จะถูกหลั่งเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะฉุกเฉิน คับขัน จะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยปกติร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้มากขึ้นเฉพาะเวลาที่มีภาวะฉุกเฉินหรือถูกกระตุ้น แต่หากมีความผิดปกติอาจทำให้มีการหลั่งอะดรีนาลีน อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงเรื้อรังได้
 
👩‍🦳การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยทอง
อายุของวัยทองจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48-52 ปี หรืออาจเกิดจากการผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้างออกทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ หรือเกิดจากโรคบางชนิด หรือการใช้ยาเคมีบำบัด ช่วงก่อนที่จะหมดประจำเดือนจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้มีอาการต่าง ๆ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก วิตกกังวล ใจสั่น มีปัญหาด้านการนอนหลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิดง่าย ช่องคลอดแห้ง ติดเชื้อและคันในช่องคลอด เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้อาจเกิดได้เป็นเวลาตั้งแต่ 2 – 8 ปี และโดยเฉลี่ยที่ 4 ปี 

เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และเทสโทสเทอโรนลดลงอย่างมาก ส่วนฮอร์โมน FSH และ LH จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ มีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง มวลกระดูกบางลงทำให้กระดูกเปราะ แตกง่าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด และหลอดเลือดสมองได้นะครับ
 
💊การดูแลในช่วงวัยทองและการใช้ฮอร์โมนเสริม 
แม้การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุ แต่ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง ความรู้สึกและอารมณ์ทางเพศลดลง รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ มากขึ้น หากอาการต่าง ๆ เป็นไม่มาก ร่างกายสามารถปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองได้อย่างเหมาะสม แต่ในคนที่มีอาการรุนแรง การใช้ฮอร์โมนเสริมเพื่อทดแทนจะช่วยลดอาการต่าง ๆ รวมถึงป้องกันการเกิดกระดูกพรุนในระยะยาว โดยฮอร์โมนที่ใช้มีทั้งกลุ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนเอสโตรเจนรวมกับฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ในรูปแบบกิน แผ่นแปะ เจล หรือเจลหล่อลื่นสำหรับใช้รักษาภาวะช่องคลอดแห้งโดยเฉพาะ ปริมาณของฮอร์โมนในแต่ละรูปแบบมีขนาดแตกต่างกันไป แต่การใช้ฮอร์โมนทดแทนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิด โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมีข้อห้ามในการใช้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม ดังนั้นหากใครจะใช้ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนและพิจารณาการใช้ยา รวมถึงปรับขนาดอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ไม่ควรซื้อฮอร์โมนทดแทนรับประทานเองนะครับ

นอกจากนี้ หากมีอาการของวัยหมดประจำเดือนอาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วย เช่น ยากลุ่ม SSRIs, SNRIs และยากลุ่ม selective estrogen receptor modulators (SERMS) 
 
🚶‍♀การดูแลสุขภาพในช่วงวัยทองโดยไม่ใช้ยา
ในคนที่ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน มีวิธีดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้น ได้ดังนี้ครับ
1. ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ รับแสงแดดในยามเช้าเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน โดยร่างกายควรได้รับรับวิตามินดีอย่างน้อย 800-1,000 U ต่อวัน และควรได้รับแคลเซียมในปริมาณ 1,000-1,200 มก. ต่อวัน
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ 
3. ลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4. งดสูบบุหรี่
 
พี่หมอแนะนำให้พวกเราดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง และต้องหมั่นสังเกตอาการของร่างกายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องรอให้ถึงวัยทอง หากมีความผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ อย่าปล่อยทิ้งไว้นะครับ😃
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่