แพทย์เตือน ! ถ้า 1 ปี ผู้หญิงมีประจำเดือนไม่ถึง 8 ครั้ง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง 😱😨😰

การมีประจำเดือนน้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี หรือภาวะที่เรียกว่า ภาวะประจำเดือนมาน้อยหรือห่าง (Oligomenorrhea) อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์หรือสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึง มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer) ได้

สาเหตุของการมีประจำเดือนน้อย
    1.    ภาวะรังไข่ทำงานผิดปกติ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
    •    เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการมีประจำเดือนห่างหรือมาน้อย ผู้หญิงที่มีภาวะนี้มักมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในระดับสูง ทำให้เกิดรอบเดือนที่ผิดปกติ
    •    หากไม่มีการตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
    2.    โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ
    •    ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (ทั้งไฮโปไทรอยด์และไฮเปอร์ไทรอยด์) อาจส่งผลต่อรอบเดือน
    3.    น้ำหนักตัวผิดปกติ
    •    น้ำหนักตัวที่ต่ำเกินไป (เช่น จากโรคอนอเร็กเซีย) หรือสูงเกินไป (โรคอ้วน) อาจทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลต่อรอบเดือน
    4.    ความเครียดและการออกกำลังกายหนักเกินไป
    •    ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ รวมถึงการออกกำลังกายที่มากเกินไป อาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ลดลง ส่งผลต่อการตกไข่และรอบเดือน

ความเชื่อมโยงกับมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผู้หญิงที่มีประจำเดือนน้อยหรือไม่ตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากปัจจัยดังนี้:
    1.    การสะสมของเยื่อบุโพรงมดลูก
    •    ในรอบเดือนปกติ เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกเมื่อไม่มีการปฏิสนธิ แต่เมื่อไม่มีการตกไข่ เยื่อบุจะไม่หลุดลอกและสะสมหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเซลล์ที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้
    2.    การขาดสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
    •    หากฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกกระตุ้นมากเกินไปโดยไม่มีการปรับสมดุลจากโปรเจสเตอโรน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูก

อาการที่ควรเฝ้าระวัง
    1.    ประจำเดือนขาดหายเกิน 3 เดือนโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
    2.    ประจำเดือนมาน้อยมาก (น้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี)
    3.    ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีรอบที่ยาวเกิน 35 วัน

การวินิจฉัยและการรักษา
    1.    การตรวจร่างกายและตรวจฮอร์โมน
    •    ตรวจระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนไทรอยด์
    2.    อัลตราซาวนด์ช่องท้องหรือทางช่องคลอด
    •    เพื่อตรวจสอบความผิดปกติในรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูก
    3.    การรักษาด้วยฮอร์โมน
    •    การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกอย่างสม่ำเสมอ
    4.    การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
    •    ลดน้ำหนัก (ในผู้ที่อ้วน) หรือเพิ่มน้ำหนัก (ในผู้ที่ผอมเกินไป)
    •    ลดความเครียดและปรับสมดุลการออกกำลังกาย

การป้องกันและคำแนะนำ
    •    หากคุณมีรอบเดือนผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
    •    อย่ามองข้ามการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญ
    •    ผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS หรือประจำเดือนห่างควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่ร้ายแรงในระยะยาว เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่