การมีประจำเดือนน้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี หรือภาวะที่เรียกว่า ภาวะประจำเดือนมาน้อยหรือห่าง (Oligomenorrhea) อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์หรือสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึง มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer) ได้
สาเหตุของการมีประจำเดือนน้อย
1. ภาวะรังไข่ทำงานผิดปกติ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
• เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการมีประจำเดือนห่างหรือมาน้อย ผู้หญิงที่มีภาวะนี้มักมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในระดับสูง ทำให้เกิดรอบเดือนที่ผิดปกติ
• หากไม่มีการตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
2. โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ
• ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (ทั้งไฮโปไทรอยด์และไฮเปอร์ไทรอยด์) อาจส่งผลต่อรอบเดือน
3. น้ำหนักตัวผิดปกติ
• น้ำหนักตัวที่ต่ำเกินไป (เช่น จากโรคอนอเร็กเซีย) หรือสูงเกินไป (โรคอ้วน) อาจทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลต่อรอบเดือน
4. ความเครียดและการออกกำลังกายหนักเกินไป
• ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ รวมถึงการออกกำลังกายที่มากเกินไป อาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ลดลง ส่งผลต่อการตกไข่และรอบเดือน
ความเชื่อมโยงกับมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนน้อยหรือไม่ตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากปัจจัยดังนี้:
1. การสะสมของเยื่อบุโพรงมดลูก
• ในรอบเดือนปกติ เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกเมื่อไม่มีการปฏิสนธิ แต่เมื่อไม่มีการตกไข่ เยื่อบุจะไม่หลุดลอกและสะสมหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเซลล์ที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้
2. การขาดสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
• หากฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกกระตุ้นมากเกินไปโดยไม่มีการปรับสมดุลจากโปรเจสเตอโรน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูก
อาการที่ควรเฝ้าระวัง
1. ประจำเดือนขาดหายเกิน 3 เดือนโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
2. ประจำเดือนมาน้อยมาก (น้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี)
3. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีรอบที่ยาวเกิน 35 วัน
การวินิจฉัยและการรักษา
1. การตรวจร่างกายและตรวจฮอร์โมน
• ตรวจระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนไทรอยด์
2. อัลตราซาวนด์ช่องท้องหรือทางช่องคลอด
• เพื่อตรวจสอบความผิดปกติในรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูก
3. การรักษาด้วยฮอร์โมน
• การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกอย่างสม่ำเสมอ
4. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
• ลดน้ำหนัก (ในผู้ที่อ้วน) หรือเพิ่มน้ำหนัก (ในผู้ที่ผอมเกินไป)
• ลดความเครียดและปรับสมดุลการออกกำลังกาย
การป้องกันและคำแนะนำ
• หากคุณมีรอบเดือนผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
• อย่ามองข้ามการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญ
• ผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS หรือประจำเดือนห่างควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่ร้ายแรงในระยะยาว เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพทย์เตือน ! ถ้า 1 ปี ผู้หญิงมีประจำเดือนไม่ถึง 8 ครั้ง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง 😱😨😰
สาเหตุของการมีประจำเดือนน้อย
1. ภาวะรังไข่ทำงานผิดปกติ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
• เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการมีประจำเดือนห่างหรือมาน้อย ผู้หญิงที่มีภาวะนี้มักมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในระดับสูง ทำให้เกิดรอบเดือนที่ผิดปกติ
• หากไม่มีการตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
2. โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ
• ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (ทั้งไฮโปไทรอยด์และไฮเปอร์ไทรอยด์) อาจส่งผลต่อรอบเดือน
3. น้ำหนักตัวผิดปกติ
• น้ำหนักตัวที่ต่ำเกินไป (เช่น จากโรคอนอเร็กเซีย) หรือสูงเกินไป (โรคอ้วน) อาจทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลต่อรอบเดือน
4. ความเครียดและการออกกำลังกายหนักเกินไป
• ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ รวมถึงการออกกำลังกายที่มากเกินไป อาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนจากสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ลดลง ส่งผลต่อการตกไข่และรอบเดือน
ความเชื่อมโยงกับมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนน้อยหรือไม่ตกไข่เป็นระยะเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจากปัจจัยดังนี้:
1. การสะสมของเยื่อบุโพรงมดลูก
• ในรอบเดือนปกติ เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกเมื่อไม่มีการปฏิสนธิ แต่เมื่อไม่มีการตกไข่ เยื่อบุจะไม่หลุดลอกและสะสมหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเซลล์ที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้
2. การขาดสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
• หากฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกกระตุ้นมากเกินไปโดยไม่มีการปรับสมดุลจากโปรเจสเตอโรน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูก
อาการที่ควรเฝ้าระวัง
1. ประจำเดือนขาดหายเกิน 3 เดือนโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
2. ประจำเดือนมาน้อยมาก (น้อยกว่า 8 ครั้งต่อปี)
3. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีรอบที่ยาวเกิน 35 วัน
การวินิจฉัยและการรักษา
1. การตรวจร่างกายและตรวจฮอร์โมน
• ตรวจระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนไทรอยด์
2. อัลตราซาวนด์ช่องท้องหรือทางช่องคลอด
• เพื่อตรวจสอบความผิดปกติในรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูก
3. การรักษาด้วยฮอร์โมน
• การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกอย่างสม่ำเสมอ
4. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
• ลดน้ำหนัก (ในผู้ที่อ้วน) หรือเพิ่มน้ำหนัก (ในผู้ที่ผอมเกินไป)
• ลดความเครียดและปรับสมดุลการออกกำลังกาย
การป้องกันและคำแนะนำ
• หากคุณมีรอบเดือนผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
• อย่ามองข้ามการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญ
• ผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS หรือประจำเดือนห่างควรได้รับการติดตามจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่ร้ายแรงในระยะยาว เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ