ชี้เป้า 4 โรคที่สาวๆไม่ควรมองข้าม และ 'หมอเจด' เผย 4 สัญญาณเตือน ร่างกายเริ่มแก่

สาวๆควรใส่ใจการดูแลสุขภาพภายใน ซึ่งรวมถึงเรื่องของประจำเดือน แม้บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยขณะมีระดู แต่หากมีอาการปวดมากขึ้น อาจบ่งบอกโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา

การส่งเสริมพลังสตรี นอกจากจะได้แรงสนับสนุนจากภายนอกแล้ว คุณผู้หญิงทั้งหลายจำเป็นต้องเสริมสร้างพลังจากภายในด้วยการมีร่างกายที่แข็งแรง
“โรงพยาบาลกรุงเทพ” บอกเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของสาวๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวข้องกับประจำเดือน แม้บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยขณะมีระดู แต่หากพบว่ามีอาการปวดมากขึ้น เวลานอนหรือนั่งในบางท่า อย่านิ่งนอนใจ เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าอาจมีโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา

1.โรคเนื้องอกมดลูก 
เป็นโรคพบบ่อยที่สุดของผู้หญิง เซลล์กล้ามเนื้อบางตำแหน่งแบ่งตัวและเจริญจนเป็นก้อนแทรกในชั้นกล้ามเนื้อ เรายังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้ แต่พันธุกรรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ไม่ใช่โรคร้าย แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงได้ ซึ่งอาการของโรคนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเนื้องอก โดยผู้หญิงจะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายจากภาวะซีด
@ ถ้าเกิดที่เนื้องอกที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงมดลูก จะทำให้ระดูออกมากและมีระดูหลายวัน
@ เนื้องอกที่อยู่ด้านหน้าใต้กระเพาะปัสสาวะ จะกดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย บางรายอาจมีอาการปัสสาวะลำบาก
@ เนื้องอกที่อยู่ด้านหลัง จะกดลำไส้ใหญ่จนเกิดอาการท้องผูก
เนื้องอกที่ขยายไปทางด้านข้าง อาจจะไปกดท่อไตมีผลทำให้การทำงานของไตเสียได้
เนื้องอกที่ด้านบนของมดลูก ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการและตรวจพบเมื่อก้อนมีขนาดใหญ่มากแล้ว

2.ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และช็อกโกแลตซีสต์
เกิดจากการไหลย้อนกลับของประจำเดือนเข้าไปในอุ้งเชิงกรานผ่านท่อนำไข่ และฝังตัวในโพรงมดลูกหรือฝังตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งบริเวณที่พบบ่อยคืออุ้งเชิงกราน รังไข่ ท่อนำไข่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิด จะทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกรานต่อมาเกิดถุงน้ำเล็กๆ ที่มีของเหลวเหมือนช็อกโกแลต ค่อยๆ เบียดเนื้อรังไข่ และขยายใหญ่จนเป็นถุงน้ำขนาดใหญ่ขึ้นเป็น “ช็อกโกแลตซีสต์”
โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการปวดระดูมาก เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ปวดเรื้อรังที่มีอาการปวดทุกวันเป็นเวลานาน ถ้าโรคกระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ จะส่งผลให้เกิดอาการถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด บางรายอาจมีอาการของลำไส้แปรปรวนได้ ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนมากที่มีโรคดังกล่าว จะมีภาวะมีบุตรยากด้วย

3.ถุงน้ำหรือซีสต์ที่รังไข่
ถุงน้ำที่รังไข่เป็นถุงน้ำที่เกิดจากเซลล์ในรังไข่ ถุงน้ำรังไข่แบบนี้พบได้ 2 ชนิด คือ 1) ถุงน้ำที่เกิดจากเซลล์ผิวของรังไข่ (Epithelial Cell) 2) ถุงน้ำที่เกิดจากเซลล์ผิวหนัง (Dermoid Cyst)
โดยทั่วไปในระยะแรกจะไม่มีอาการ แต่ถุงน้ำจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น เมื่อถุงน้ำใหญ่ขึ้นจนแกว่งตัวได้ ก็มีโอกาสบิดขั้วที่รังไข่ของคุณผู้หญิงได้ จะเกิดอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ในระยะแรกจะปวดเป็นพัก ๆ และอาการปวดหายไปได้ ถ้าการบิดขั้วหมุนกลับไปสู่ตำแหน่งปกติ แต่อาการปวดจะรุนแรงขึ้นจนกระทั่งปวดไปทั่วท้อง เมื่อการบิดขั้วรุนแรงมาก จนทำให้รังไข่คั่งเลือด ในระยะนี้จะทำให้ปวดมากจนทนอาการปวดไม่ไหว ต้องมาพบแพทย์แบบฉุกเฉิน

4.โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เป็นโรคที่มีเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก ซึ่งคล้ายกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญในอุ้งเชิงกราน ทั้งนี้ เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญและสลายตามรอบระดู ขณะมีระดูเซลล์เหล่านี้จะสลายเกิดการอักเสบในชั้นกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้เกิดการบีบรัดตัวของมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดระดู หลังหมดระดูเกิดพังผืดในบริเวณชั้นกล้ามเนื้อนี้
ภาวะนี้เกิดซ้ำๆ ในแต่ละรอบระดู ทำให้มดลูกใหญ่ขึ้นเป็นรูปทรงกลม และอาการจะรุนแรงขึ้นได้ นอกจากจะทำให้เกิดอาการปวดระดูแล้ว จะมีระดูมามากด้วย สำหรับในรายที่รุนแรงจะมีอาการปวดเรื้อรัง ปวดหน่วง หรืออาการปวดคล้ายปวดระดูเกือบทุกวัน

แม้ทั้ง 4 โรคเหล่านี้ไม่ใช่โรคมะเร็ง แต่สามารถก่อให้เกิดอาการที่มีผลต่อสุขภาพในระดับต่างๆ ขณะที่บางรายอาจไม่มีอาการ แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดต่ออันตรายต่อสุขภาพอย่างมากได้ในภายหลัง
ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเพียงข้อหนึ่งข้อใด ควรพบสูติ-นรีแพทย์ หรือแม้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ควรตรวจสุขภาพทุกปี และด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการตรวจภายใน ในการตรวจหาภาวะหรือโรคดังกล่าว 

แนวทางรักษาโรค
แนวทางการรักษาโรคทั้ง 4 นี้จะใช้การผ่าตัดรักษา อาทิ การเลาะถุงน้ำ การเลาะเนื้องอกมดลูก การตัดรังไข่ และการตัดมดลูก โดยการผ่าตัดแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อายุของคุณผู้หญิงและความต้องการการมีบุตรในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้หญิงที่มีอายุพอสมควร (วัย 40 ปีหรือกว่านั้น) เป็นเนื้องอกมดลูก การตัดมดลูกเป็นการผ่าตัดที่เหมาะสม แต่ถ้าอายุยังน้อย (30 กว่าปีหรือน้อยกว่า) ต้องการมีบุตรในอนาคต แต่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ การผ่าตัดที่เหมาะสมคือ การเลาะถุงน้ำ เป็นต้น

การผ่าตัดในปัจจุบันนิยมใช้การผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งเจ็บปวดน้อยมากระหว่างและหลังการผ่าตัด นอนโรงพยาบาลสั้น และฟื้นตัวไปทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์ ก็สามารถกลับไปทำงานได้  ... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4475227/



'หมอเจด' เผย 4 สัญญาณเตือน ร่างกายเริ่มแก่
 
8 มี.ค.68 หมอเจด หรือ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "4 สัญญาณเตือน ร่างกายเริ่มแก่

1. ระบบทางเดินอาหารพัง หรือแย่กว่าเดิม กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทั้งกระบวนการย่อย แจกจ่าย และขับถ่าย ทำงานไม่ดีเหมือนเดิม ย่อยยากขึ้น ท้องอืดบ่อยขึ้น ท้องผูกง่าย ท้องเสียไว กรดไหลย้อน ของบางอย่างที่เคยกินได้ลื่นไหล กลับไม่ย่อย อาหารโปรดหลายชนิด ต้องเลิกกิน หรือหลีกเลี่ยง เมื่อก่อนไม่เป็น เป็นตอนแก่ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนอาหารประจำชีวิตใหม่ และถ้าปรับแล้วยังไม่ดีพอ ก็ต้องหาตัวช่วย อย่างโพรไบโอติกส์ ที่จำเป็นต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะในความจริงแล้ว…เราไม่ชอบกินสิ่งที่ควรกินหรอกครับ เราตามใจปาก ติดรสชาติ มากกว่าเอาใจลำไส้ และสุดท้าย “รักเอง ก็เจ็บเอง”.
 
2. ระบบเคลื่อนไหวร่างกาย ทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อ เจ็บปวดบ่อย เมื่อยบ่อย เส้นยึด ตึง คอ บ่า ไหล หัวเข่า ขยับตัว เคลื่อนไหว ยืน นั่ง เดิน วิ่ง โดยเฉพาะจังหวะปรับเปลี่ยนท่าทาง อาจได้ยินเสียงกระดูกกรุบกรอบ นอกจากเสียง ยังแถมมาด้วยความรู้สึกฝืด หนืด หนักมากก็มีอาการเจ็บปวด การเดินขึ้นลงพื้นต่างระดับ การนั่งพับเพียบ นั่งยอง ไหว้ย่อ โดยเฉพาะข้อต่อตามร่างกาย ตรงไหนที่มีกระดูก รวมถึงฟัน เปราะบาง ผุพังง่าย เริ่มมีอาการไม่ปกติ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้แคลเซียม คืออาหารประจำวัยของผู้สูงวัย เพราะจำเป็นต่อกระบวนการซ่อม และไม่ควรปล่อยให้ขาด เสริมด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งแก่ ยิ่งเคลื่อนไหวได้ช้าลง และสุดท้าย…การเคลื่อนไหว จะกลายเป็นเรื่องยากของชีวิต “เรื่องใหญ่กว่า คือวันที่ร่างกาย กลายเป็นภาระ”

3. ภาวะหดหู่ทางใจ เหมือนแบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อม พลังงานชีวิตหายไปกว่าครึ่ง ความกระฉับกระเฉง ว่องไว คึกคะนอง ชีวิตชีวา เริ่มเข้าสู่ภาวะเกียจคร้าน เฉื่อยเฉา อ่อนแรง ขาดพลังงานทั้งกายใจ หงุดหงิดง่าย หัวร้อนบ่อย เอาแต่ใจตัวเอง หัวรั้น บางทีก็ดูตึงเกินไป บางวันก็เซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร อยากหายใจทิ้ง ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตามสภาวะเซลล์และฮอร์โมน ที่เสื่อมถอย อีกส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ชีวิต ปัญหาที่เผชิญอยู่ ซึ่งล้วนส่งผลต่อสภาพจิตใจ และลุกลามโยงใยไปถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย โรคอื่น ๆ จะทยอยเดินทางมาหาตามลำดับ หากไม่เร่งแก้ไข พยายามปรับความคิด ชีวิต และเรียนรู้ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเพิ่มเติมกิจกรรม อาหาร วิตามิน ที่จำเป็นต่อสมองและเติมความสุขให้ชีวิต อย่ารอให้ต้องรักษาด้วยยาเลยครับ
 
4. นอนไม่หลับ อาการของคนเริ่มแก่แล้วจริง ๆ ความคิดชักวน เอาออกไปจากสมองยาก บางทีก็เหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ทำไมนอนไม่หลับ หลากหลายวิธีแก้ปัญหาการนอน ทั้งในเรื่องวิตามินเสริม อาหาร และการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเราก็ต้องไปศึกษาและทดลองในวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง บางที…เราอาจจะนอนไม่หลับ เพราะเรากำลังกังวลว่า “เราจะนอนไม่หลับ” นอนไม่หลับ เพราะคิดว่านอนไม่หลับ ใครเป็นยกมือขึ้น ครับ! คุณกำลังแก่แล้วจริง ๆ"

Cr. https://www.naewna.com/likesara/867657


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่