บนเส้นทางของวันเวลา สู่ เลขเจ็ด

"กี่สิบหนาวแล้วกี่สิบฝน พ้นมากี่ฤดู จากหนุ่มน้อยก็ก้าวมาสู่ วันเลี่ยมทองของวัย รุ่นหนุ่มรุ่นสาวเรียกเรารุ่นใหญ๋" ครับ ที่คุณแอ๊ด คาราบาวว่าไว้ในเพลงรุ่นใหญ่ที่ผมขออนุญาตยกมา เป็นความจริงที่อย่างที่สุด จริงยิ่งกว่าจริง สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง ผมเองก็ก้าวผ่านรุ่นหนุ่มล่วงเข้าสู่รุ่นใหญ่ ตามฤดูที่พ้นผ่าน จนตอนนี้น่าจะเลยรุ่นใหญ่ไปจนเกือบไม่มีรุ่นเสียแล้ว

            ทุกครั้งที่ส่องกระจก ผมให้นึกสงสัยว่าภาพที่เห็นในกระจกกับภาพในกรอบข้างฝาบ้านนั้นใช่คนๆเดียวกันหรือเปล่า ภาพของหนุ่มหน้าใส ผมดกดำ ใบหน้าอิ่มเอิบ ตาเป็นประกาย ยิ้มอย่างสดชื่นแสดงถึงโลกอันสวยสดงดงาม กับภาพในกระจก ชายสูงวัย ใบหน้าเหี่ยวย่น ผมหงอกบางจนแทบจะนับเส้นได้ ตาเป็นประกายแห่งความเฉยชา ระคนเศร้า ช่างเป็นภาพที่แตกต่างกันเหลือเกิน

           วันเวลาที่ผันผ่านได้เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งให้ร่วงโรยทุกนาทีจริงๆ

        คำว่า "ชีวิตจริงเริ่มต้นเมื่อหลังเกษียณ" สำรับผมจริงแท้แน่นอน เพราะตอนทำงานชีวิตถูกครอบงำ บังคับให้อยู่ในกรอบแห่งกฎหมายที่ต้องทำ ต้องปฎิบัติตามหลายฉบับ หลายมาตรามากๆ เอาแค่ มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเพียงมาตราเดียว ก็ต้องระวังกันตัวโก่ง ตัวลีบ เพราะถ้าพลาดหมายถึงจะได้รับคุกเป็นรางวัลสถานเดียว แล้วก็ยังแถมมีระเบียบ กฎข้อบังคับ แห่งกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอาชีพอีกไม่น้อยที่ครอบงำ ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้ผลอันฉกาจฉกรรจ์ทั้งสิ้น หากไม่ประพฤติปฎิบัติตาม และต้องไม่ลืมว่าแต่ละฐานความผิดนั้นล้วนมีอายุความระดับสิบปีขึ้นไป ดังเช่นเมื่อปลายปี 2564 ผมยังได้รับเกียรติต้องไปเป็นพยานโจทย์ในศาลอาญาคดีทุจริตฯ ทั้งๆที่พ้นจากราชการมาเกิอบสิบปี แสดงให้เห็นว่าความถูกต้อง ยุติธรรม ยังมีเสมอ แม้อาจจะช้าไปบ้าง

       เมื่อเกษียณ พันธนาการ เครื่องร้อยรัดถูกปลดสิ้น  สำหรับผม การได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติเงียบๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ตัวเอง เริ่มที่จะเรียนรู้ว่าจะหาความสุขตามที่ตัวเองชอบได้อย่างไร เริ่มเป็นตัวของตัวเองขึ้นเป็นลำดับ จากการที่ตื่นเช้าต้องเปิดโทรทัศน์เสพข่าวตามช่องต่างๆตั้งแต่ตีห้า จนในสมองวุ่นวายไปกับเรื่องไกลตัว เกิดอารมณ์ร่วม จนหลายครั้งจิตใจขุ่นมัว คล้อยตามข่าวที่เสพ ต่างกับทุกวันนี้ ผมไม่ต้องเปิดโทรทัศน์เสพข่าวที่เร้าใจ ที่ทำให้เกิดอารมณ์ร่วม เอาแค่อ่านเอาเนื้อข่าวจาก นสพ.ออนไลน์ ก็พอจะรู้ทันข่าวสาร โลกภายนอก ได้โดยไม่ต้องถูกปลุกเร้าอารมณ์ให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับผู้นำเสนอข่าวทางทีวี ซึ่งออกท่าทาง แอ๊คชั่นมากเหลือเกิน  ทำให้ผมเห็นได้ว่าการรับรู้เรื่องราวต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ทำให้จิตใจไม่สงบนิ่ง ไม่เป็นคุณแก่ตัวเราเลย

           อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตคือ "เงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ" แน่นอนทุกคนปรารถนาเงิน ยิ่งได้มากเท่าไรยิ่งดี เพราะสามารถสองความต้องการอันไม่มีขีดจำกัดของชีวิตได้ ทั้งสร้างความสุขสบาย สร้างและสร้าง ทั้งเนรมิตทุกอย่างที่ปรารถนาได้ดังใจ เป็นยิ่งกว่าแก้วสารพัดนึก ว่างั้นเถอะ

          หลังเกษียณ รายได้ผมลดลงมาก เหลือเพียงบำนาญ ที่ได้รับแต่ละเดือนเพื่อยังชีพ เงินเบี้ยเลี้ยง เงินตอบแทน ค่าประชุมต่างๆ ฯลฯ เป็นอันอด งดไปพร้อมชีวิตราชการที่สิ้นสุด
     
         แรกๆกว่าจะตั้งตัวได้ก็เล่นเอาเกือบเสียศูนย์ พอตั้งสติได้เริ่มพิจารณาชีวิตตัวเองใหม่ ก็เราปรารถนาความสุข ความสงบ แถมศึกษาธรรมะ ฝึกฝนจิตตามแนวแถวครูบาอาจารย์สายวัดป่ามาก็พอตัว อย่ากระนั้นเลย ปลีกวิเวก ดีกว่า

         พิจารณารอบๆตัว ที่อยู่อาศัย เราก็มีแล้ว ไม่ใหญ่โตโอฬารสวยงามมากมายอะไร แต่ก็คุ้มแดด คุ้มฝน เป็นร่มเงาให้ความสุข ความร่มเย็นได้ดี เพียงแต่ทำให้สะอาด เรียบร้อย ตกแต่งให้ถูกใจเรา ก็พอ

        อาหาร ก็สามารถหาซื้อได้ในหมู่บ้านที่อยู่ แถมไปผูกมิตรไมตรีกับแม่ครัวร้านอาหารที่ทำอาหารได้อร่อยดีเอาไว้ อยากกินอะไรเขาก็เมตตาทำให้ ถุงละ อย่างละ สามสิบบาทก็พอกินถมเถวันไหนไม่มีอารมณ์ ก็ ต้มๆ ผัดๆไปตามเรื่อง อิ่มไปมื้อหนึ่งๆ วันหนึ่งๆ สบายๆ
 
        เครื่องนุ่งห่ม ยิ่งพ้นทุกข์ เพราะมีมากมายเหลือเกิน เครื่องแต่งองค์ทรงเครื่อง สมัยทำงานมากมาย ใช้จนตายก็ไม่ขาด ปัจจุบันก็ลงเอยกับกางเกงขาสั้น เสื้อคอกลมผ่าหน้า เวลาจะเข้าเมืองทีค่อยว่ากันใหม่ สังคมก็เลิกเข้า งานแต่ง งานตายของพรรคพวกเพื่อนพ้องก็ขอเบอร์บัญชี ออนไลน์ช่วยไป งานรวมมิตรศิษย์เก่าก็ขอไม่ไป เพราะคุยกันแต่เรื่องเดิมๆ ส่งปัจจัยไปสมทบแทน

          การรักษาพยาบาลตัวเอง ก็ใช้สิทธิตามสภาพคือจ่ายตรงกรมบัญชีกลางตามสิทธิ หมดห่วงไป

           โอกาสที่จะใช้เงินคือตอนที่ไปจ่ายข้าวของที่จำเป็นที่จะใช้ในแต่ละเดือนจากห่างสรรพสินค้า ซึ่งรู้จักซื้อก็ไม่มากมายอะไร 

       บำนาญที่ได้รับแม้ไม่มากในแต่ละเดือนจึงพอใช้ได้อย่างสบายๆไม่ขัดสน
 
        บนเส้นทางสู่เลขเจ็ด ในทุกเช้าที่ตื่นนอนผมขอเพียงร่างกายไม่ปวดเมื่อย เป็นไข้ เป็นหนาว กินได้ หายใจเต็มปอด ขับถ่ายสะดวก ก็เป็นความสุขที่เพียงพอของคนสูงวัยเช่นผมแล้ว โดยยอมเป็นผู้ล้าหลังสำหรับโลกยุคปัจจุบัน เอาแค่ใช้อุปกรณ์ต่างๆร่วมสมัยกับเขาได้ ใช้แอปพลิเคชั่นในมือถือเป็น โดยมีความสุขกับความสงบ อยู่กับสีเขียวของธรรมชาติ มีกินอิ่มเมื่อหิว ก่อนนอนสวดมนต์ นั่งเจริญอานาปานสติกำกับด้วย พุทโธ ครึ่งชั่วโมง แล้วหลับไปกับความสงบ ทำบุญทำทานตามโอกาส พยายามไม่ส่งใจออกไปหาเรื่องภายนอก ไม่ติไม่ชมใคร คิดอะไรที่คิดแล้วใจไม่สบาย เป็นทุกข์ ก็หยุดคิด
 
              ความสุขของแต่ละท่าน แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ชอบใครชอบเขา จะไปติไปชมเรื่องการใช้ชีวิตกันไม่น่าจะดี เพราะชีวิตของใครก็ย่อมเป็นของเขา เราจะไปว่าสิ่งที่เขาชอบไม่ดี มันก็ไม่น่าใช่ บางท่านชอบท่องเที่ยว บางท่านชอบตีกอล์ฟ บ้างก็เข้าวัดเข้าวาศึกษาพระธรรม ก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย ตราบใดที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนย่อมเป็นความชอบธรรมที่จะกระทำ ผมชอบความสงบ ชอบอยู่เงียบๆ ก็ว่ากันไปตามแบบของผม ไม่มีถูกไม่มีผิด ชีวิตใครชีวิตเขาเลือกเอาตามชอบครับ
   
        "ไม่โกรธ ไม่แค้น เคืองใคร ให้ใจหมองเศร้า ใครว่าอย่างไรช่างเขา ตัวของเรา รู้ตัวเราดี" ผมขึ้นต้นกระทู้ด้วยเพลง รุ่นใหญ่ ก็ขอจบกระทู้ด้วยเพลง "ฉันวันนี้"ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่