EP.4 เริ่มลงหลักปักฐานใช้ชีวิตที่อินเดีย
https://ppantip.com/topic/41553886
บทสทนาเวลาเราห่างไกลจากใครสักคน มักขึ้นต้นบทสนทนากับคนไกลด้วยประโยคว่า "เป็นไงอย่างไรบ้าง สบายดีไหม"
เป็นคำถามง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงก็ตอบยาก เพราะแต่ละวันที่ผ่านไปบางวันก็เป็นวันที่ดี บางวันก็เป็นวันที่แย่ มีทั้งทุกข์และสุข สบายดีและไม่สบายปะปนกันไป คงเป็นคำตอบที่พอจะอธิบายชีวิตในอินเดียช่วงนี้ได้ตรงที่สุด
.
ที่นี่ฝนหยุดตกหนักแล้ว คาดว่าพายุคงพัดจากอินเดียไปเข้าที่ไทยเป็นที่เรียบร้อย ผมชอบอากาศช่วงเช้าเวลาเดินไปขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเป็นที่สุด อุณหภูมิน่าจะอยู่ราวๆ 22-24 องศา บางวันมีแสงแดดอ่อนๆ ผสมกับสีเขียวขจีของเหล่าแมกไม้น่าฝน ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นเป็นที่สุด เมืองปูเน่มีชีวิตมากกว่าบางเมืองที่มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึก
.
ผมปรับตัวในการกินอาหารที่อินเดียได้ ลองเปลี่ยนเมนู เปลี่ยนร้านกินไปเรื่อยๆ ก็สนุกเหมือนกัน บางวันกิน Poha (ข้าวสีเหลืองๆ ใส่ธัญพืช) กับไจ (ชาอินเดีย) บางวันกินวาลาเปา (คล้ายซาลาเปาบ้านเรา แต่ไม่มีเนื้อสัตว์) บางวันกินออมเล็ต นี่คือเมนูอาหารเช้าของผมที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
.
ส่วนมื้อกลางวันก็อาหารอินเดียแถวโรงเรียน มีร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร ส่วนมื้อเย็นน่ะเหรอ ผมฝากท้องไว้กับมิดรู ชายหนุ่มผู้ผัดข้าวผัดไก่ หรือไม่ก็บะหมี่ให้ผมกินทุกเย็น เรา 2 คนสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ จากวันแรกที่ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุกวันนี้เขาชอบแซวผมว่า "มาตรงเวลาทุกวันเลยนะ"
.
อีกอย่างหนึ่งเรื่องอาหาร ผมอยู่อินเดียมาครบ 1 เดือนแล้ว ยังไม่เคยท้องเสีย (อนาคตไม่แน่) หนำซ้ำระบบขับถ่ายดีกว่าเดิมเพราะลดการกินเนื้อสัตว์ แต่การไม่ได้กินเนื้อสัตว์บางครั้งก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ยิ่งแต่ละวันต้องเดินต่ำๆ 7-8 km
.
ส่วนในห้องเรียน กลายเป็นว่าผมสนิทกับยูซุฟที่สุด ยูซุฟเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี จากเยเมน ผมจำวันแรกที่เจอเขาได้ เขาเขยิบเก้าอี้ชวนผมนั่งข้างๆ เขา แต่เขากลับแทบไม่คุยอะไรกับเขาผม จนผมอยากย้ายหนี เพราะเขาดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ไม่อยากคุยกับผม เพียงแค่ว่าตอนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ผมเริ่มเข้าใจเขาและคอยช่วยเขาตอนเรียนเสมอ มีวันหนึ่งผมมาสายและไม่ได้นั่งเรียนกับเขา หลังเลิกเรียนเขารีบเดินเข้ามาหาผม และบอกว่าพรุ่งนี้กลับมานั่งที่เดิมนะ...ผมมองเขาเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
จากซ้าย: อันลาวี เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ ยูซุฟ เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ และอัมมัด หนุ่มเจ้าของกิจการผู้มาเรียนภาษาอังกฤษ
.
อย่างที่เกริ่นไปตอนแรก อยู่ที่อินเดียก็ใช่ว่ามีแต่เรื่องดีๆ เรื่องสนุกๆ ตลอด มันมีทั้งวันที่เหงา วันที่คิดถึงบ้าน และวันซวยๆ อย่างเช่นวันศุกร์ที่ผ่านมา
.
ตอนเช้าผมเดินไปขึ้นรถเมล์ปกติ อากาศดีมากผมเดินชมนกชมไม้ จนไม่ทันดูทาง เลยไปเหยียบเข้ากับขี้หมากองเบ้อเร้อ ซวย
! เมื่อต้องขึ้นรถเมล์ไปเรียนในสภาพแบบนั้น แต่ยังไม่พอตกเย็นระหว่างรอรถเมล์กลับบ้าน ผมยืนคุยกับแดเนียลเพื่อนคนเกาหลี ในขณะที่รถเมล์มาพอดี ผมก็กำลังรีบวิ่งเพื่อให้ทันขึ้นรถ ขาข้างหนึ่งอยู่บนรถ อีกข้างอยู่บนพื้น คนขับรถเมล์
ก็ปิดประตูซะได้ โชคยังดีผมยังพอแข็งแรงเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถไปได้ แต่กระเป๋าถูกประตูหนีบคาอยู่อย่างนั้น
.
และแทนที่มันจะเปิดประตูให้ผม ทั้งกระเป๋ารถเมล์และคนขับ
ทำหน้างง จนผมต้องตะโกนให้เปิดประตูถึงจะเปิดให้ ยังไม่พอกระเป๋ารถเมล์ยังมีหน้ามาด่าผมเป็นภาษาท้องถิ่นอีก ผมเถียงกลับว่า แล้วคุณไม่ดูบ้างละว่าผมกำลังขึ้นรถเมล์ ถ้าเป็นที่ไทยผมคงรู้สึกขายหน้า แต่ที่นี่อย่าหวังเลยว่าจะต้องรู้สึกแบบนั้น
.
ผมเดินลงจากรถเมล์ ในขณะที่ปากก็ยังคงเถียงกับคนขับรถเมล์อยู่ แม้เราจะคุยกันคนละภาษาแต่ก็สามารถเถียงกันได้ ผมเดินหงุดหงิดไปจนถึงร้านข้าว สั่งข้าวผัดมายืนกินที่ร้าน กินยังไม่ถึงครึ่งจาน มีมือของใครสักคนมาแตะที่หัวไหล่ผม เป็นชายชราคนหนึ่ง ผมแปลไม่ออกว่าเขาพูดอะไรกับผม แต่ถ้าให้ผมลองแปลจากภาษากายที่เขาสื่อมาถึงผม ผมคิดว่าเขาคงอยากบอกประมาณว่า "ใจเย็นๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น" ผมเป็นคนที่เวลารู้สึกอย่างไรก็มักชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า
.
เหมือนที่เคยบอกไว้ตั้งแต่บทความชิ้นแรกที่มาถึงที่นี่ อินเดียเหมือนคู่ชก ที่พร้อมจะต่อยให้คุณล่วงลงไปกองกับพื้นตลอดเวลา แต่แล้วก็จะมีมือของใครสักคนยื่นมา และบอกว่าลุกขึ้นมาสู้ใหม่...อย่าเพิ่งยอมแพ้
ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า: ยามเหงา ยังมียามเป็นเพื่อนเรา
EP.6 รอยยิ้มที่อินเดียฝากความทรงจำกับนักเรียนต่างชาติ
https://ppantip.com/topic/41572429
#podinindia
Yesh in India อยู่อินเดียไม่มีเหงา EP.5 ชีวิตต่างแดนต้องใจเย็น...เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น
EP.4 เริ่มลงหลักปักฐานใช้ชีวิตที่อินเดีย
https://ppantip.com/topic/41553886
บทสทนาเวลาเราห่างไกลจากใครสักคน มักขึ้นต้นบทสนทนากับคนไกลด้วยประโยคว่า "เป็นไงอย่างไรบ้าง สบายดีไหม"
เป็นคำถามง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงก็ตอบยาก เพราะแต่ละวันที่ผ่านไปบางวันก็เป็นวันที่ดี บางวันก็เป็นวันที่แย่ มีทั้งทุกข์และสุข สบายดีและไม่สบายปะปนกันไป คงเป็นคำตอบที่พอจะอธิบายชีวิตในอินเดียช่วงนี้ได้ตรงที่สุด
.
ที่นี่ฝนหยุดตกหนักแล้ว คาดว่าพายุคงพัดจากอินเดียไปเข้าที่ไทยเป็นที่เรียบร้อย ผมชอบอากาศช่วงเช้าเวลาเดินไปขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเป็นที่สุด อุณหภูมิน่าจะอยู่ราวๆ 22-24 องศา บางวันมีแสงแดดอ่อนๆ ผสมกับสีเขียวขจีของเหล่าแมกไม้น่าฝน ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นเป็นที่สุด เมืองปูเน่มีชีวิตมากกว่าบางเมืองที่มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึก
.
ผมปรับตัวในการกินอาหารที่อินเดียได้ ลองเปลี่ยนเมนู เปลี่ยนร้านกินไปเรื่อยๆ ก็สนุกเหมือนกัน บางวันกิน Poha (ข้าวสีเหลืองๆ ใส่ธัญพืช) กับไจ (ชาอินเดีย) บางวันกินวาลาเปา (คล้ายซาลาเปาบ้านเรา แต่ไม่มีเนื้อสัตว์) บางวันกินออมเล็ต นี่คือเมนูอาหารเช้าของผมที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
.
ส่วนมื้อกลางวันก็อาหารอินเดียแถวโรงเรียน มีร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร ส่วนมื้อเย็นน่ะเหรอ ผมฝากท้องไว้กับมิดรู ชายหนุ่มผู้ผัดข้าวผัดไก่ หรือไม่ก็บะหมี่ให้ผมกินทุกเย็น เรา 2 คนสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ จากวันแรกที่ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุกวันนี้เขาชอบแซวผมว่า "มาตรงเวลาทุกวันเลยนะ"
.
อีกอย่างหนึ่งเรื่องอาหาร ผมอยู่อินเดียมาครบ 1 เดือนแล้ว ยังไม่เคยท้องเสีย (อนาคตไม่แน่) หนำซ้ำระบบขับถ่ายดีกว่าเดิมเพราะลดการกินเนื้อสัตว์ แต่การไม่ได้กินเนื้อสัตว์บางครั้งก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ยิ่งแต่ละวันต้องเดินต่ำๆ 7-8 km
.
ส่วนในห้องเรียน กลายเป็นว่าผมสนิทกับยูซุฟที่สุด ยูซุฟเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี จากเยเมน ผมจำวันแรกที่เจอเขาได้ เขาเขยิบเก้าอี้ชวนผมนั่งข้างๆ เขา แต่เขากลับแทบไม่คุยอะไรกับเขาผม จนผมอยากย้ายหนี เพราะเขาดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ไม่อยากคุยกับผม เพียงแค่ว่าตอนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ผมเริ่มเข้าใจเขาและคอยช่วยเขาตอนเรียนเสมอ มีวันหนึ่งผมมาสายและไม่ได้นั่งเรียนกับเขา หลังเลิกเรียนเขารีบเดินเข้ามาหาผม และบอกว่าพรุ่งนี้กลับมานั่งที่เดิมนะ...ผมมองเขาเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
จากซ้าย: อันลาวี เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ ยูซุฟ เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ และอัมมัด หนุ่มเจ้าของกิจการผู้มาเรียนภาษาอังกฤษ
.
อย่างที่เกริ่นไปตอนแรก อยู่ที่อินเดียก็ใช่ว่ามีแต่เรื่องดีๆ เรื่องสนุกๆ ตลอด มันมีทั้งวันที่เหงา วันที่คิดถึงบ้าน และวันซวยๆ อย่างเช่นวันศุกร์ที่ผ่านมา
.
ตอนเช้าผมเดินไปขึ้นรถเมล์ปกติ อากาศดีมากผมเดินชมนกชมไม้ จนไม่ทันดูทาง เลยไปเหยียบเข้ากับขี้หมากองเบ้อเร้อ ซวย! เมื่อต้องขึ้นรถเมล์ไปเรียนในสภาพแบบนั้น แต่ยังไม่พอตกเย็นระหว่างรอรถเมล์กลับบ้าน ผมยืนคุยกับแดเนียลเพื่อนคนเกาหลี ในขณะที่รถเมล์มาพอดี ผมก็กำลังรีบวิ่งเพื่อให้ทันขึ้นรถ ขาข้างหนึ่งอยู่บนรถ อีกข้างอยู่บนพื้น คนขับรถเมล์ก็ปิดประตูซะได้ โชคยังดีผมยังพอแข็งแรงเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถไปได้ แต่กระเป๋าถูกประตูหนีบคาอยู่อย่างนั้น
.
และแทนที่มันจะเปิดประตูให้ผม ทั้งกระเป๋ารถเมล์และคนขับ ทำหน้างง จนผมต้องตะโกนให้เปิดประตูถึงจะเปิดให้ ยังไม่พอกระเป๋ารถเมล์ยังมีหน้ามาด่าผมเป็นภาษาท้องถิ่นอีก ผมเถียงกลับว่า แล้วคุณไม่ดูบ้างละว่าผมกำลังขึ้นรถเมล์ ถ้าเป็นที่ไทยผมคงรู้สึกขายหน้า แต่ที่นี่อย่าหวังเลยว่าจะต้องรู้สึกแบบนั้น
.
ผมเดินลงจากรถเมล์ ในขณะที่ปากก็ยังคงเถียงกับคนขับรถเมล์อยู่ แม้เราจะคุยกันคนละภาษาแต่ก็สามารถเถียงกันได้ ผมเดินหงุดหงิดไปจนถึงร้านข้าว สั่งข้าวผัดมายืนกินที่ร้าน กินยังไม่ถึงครึ่งจาน มีมือของใครสักคนมาแตะที่หัวไหล่ผม เป็นชายชราคนหนึ่ง ผมแปลไม่ออกว่าเขาพูดอะไรกับผม แต่ถ้าให้ผมลองแปลจากภาษากายที่เขาสื่อมาถึงผม ผมคิดว่าเขาคงอยากบอกประมาณว่า "ใจเย็นๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น" ผมเป็นคนที่เวลารู้สึกอย่างไรก็มักชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า
.
เหมือนที่เคยบอกไว้ตั้งแต่บทความชิ้นแรกที่มาถึงที่นี่ อินเดียเหมือนคู่ชก ที่พร้อมจะต่อยให้คุณล่วงลงไปกองกับพื้นตลอดเวลา แต่แล้วก็จะมีมือของใครสักคนยื่นมา และบอกว่าลุกขึ้นมาสู้ใหม่...อย่าเพิ่งยอมแพ้
ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า: ยามเหงา ยังมียามเป็นเพื่อนเรา
EP.6 รอยยิ้มที่อินเดียฝากความทรงจำกับนักเรียนต่างชาติ
https://ppantip.com/topic/41572429
#podinindia