EP.3 Sick ที่มาพร้อม Home sick
https://ppantip.com/topic/41540295/comment3
เหมือนมรสุม ที่หอบพัดสายฝนล่วงหล่นมาจากฟ้ากำลังผ่านพ้น วันผ่านคืนจากคืนเป็นสัปดาห์ 3 สัปดาห์ผ่านไปแล้วสำหรับการเดินทางมาอยู่อินเดีย อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะแปลงหน่วยเวลาเป็นหลักเดือน เมื่อนั้นเวลาคงหมุนเวียนเปลี่ยนเดือนต่อเดือน...บางทีก็อยากหมุนเวลาข้ามไปอีก 1 ปีอยากรู้ว่าตัวเราในตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ให้มันหมุนไปตามโมงยามของมันน่ะดีแล้ว ช่วงชีวิตเช่นนี้อาจมีแค่ครั้งเดียว
.
สัปดาห์นี้เปิดเทอมเต็มรูปแบบ ผมเป็นคนหนึ่งถ้าเมื่อต้องลงหลักทำอะไรเป็นประจำ จะชอบตั้งรูทีนให้ตัวเองในแต่ละวัน ตื่น 7 โมงเช้าออกกำลังกาย กลับมาฝึกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ (อ่านเจ้าชายน้อย กับสี่ดรุณีจบแล้ว) ซักประมาณ 9 โมงก็เดินทางไปเรียน ระหว่างทางก็หาอะไรกินไปเรื่อย จาลาเปา (เบอร์เกอร์ที่มีแต่แป้ง) ไจ (ชาอินเดียอันหอมหวาน) ออมเล็ต , จาปาตีกับแกง ผมคิดกับตัวเองว่าอยู่นี่ไม่อยากทำอาหารสักเท่าไหร่ มีเวลาแค่ 1 ปี อยากลองกินอาหารบ้านเขาให้หลากหลาย เดี๋ยวกลับไทยไป ผัดกะเพรา ต้มยำ อาหารไทยกินเมื่อไหร่ก็ได้
.
ซักประมาณ 10 โมงผมก็ถึงโรงเรียน (ELTIS เมืองปูเน่) ถ้าวันไหนโชคดีก็จะได้คุยกับเพื่อนคนอินเดียกลุ่มใหญ่ที่มาเรียนตอนเช้า เราคุยกันดังสนั่นลั่นโรงเรียน ดังจนโดนอาจารย์ด่าให้ออกไปคุยข้างนอก บางทีอาจารย์ไม่เข้าใจหรือไงว่า การคุยกันแบบนี้คือการฝึกภาษาที่ดีที่สุดแล้ว คนอินเดียคุยสนุก กวนตีน และเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด
ผมเริ่มเรียน 11 โมง ในคลาสมีคนทั้งหมด 19 คน เป็นไทย 6 คน อิหร่าน 5 คน เยเมน 5 คน เกาหลีใต้ 1 คน แอฟริกา 2 คน
.
ผมสนิทกับอาลีเพื่อนคนแอฟริกา (เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน) เขาเฟรนลี่ มนุษยสัมพันธ์ดี ส่วนอีกคนคือซีมินคนเกาหลี (เสื้อยืดสีน้ำเงิน) คนนี้น่ารัก เรียบร้อย ออกเนิสๆ บรรยากาศในห้องเรียนไม่ต่างจากตอนเรียนมหาลัย ผมรำคาญป้าคนอิหร่านนิดหน่อย แกเคยเรียนจบคอร์สไปแล้ว แต่มาเรียนอีกครั้งตามสามี แกพูดเก่งพูดมาก จนบางทีผมคิดว่าแกควรแบ่งให้คนอื่นได้พูดบ้าง ฮ่าๆๆๆ
.
ในห้องเรียนผมยังคงเป็นผมเหมือนสมัยเรียน ส่วนนอกห้องเรียนเหมือนผมยังคงหอบเอาอาชีพการงานติดมาด้วย ยังคงพูดคุยกับผู้คนทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เคาะแป้นพิมพ์เขียนงานหรืออะไรสักอย่าง ผมยังคงเขียนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
.
ส่วนชีวิตหลังเลิกเรียนก็ห้อยโหนรถเมล์กลับบ้าน หาอะไรกิน ทำแบบเดิม จนกระเป๋ารถเมล์ กับคนขายบะหมี่จำหน้าได้แล้ว บางทีเจอหน้าเป็นอันว่ารู้กันว่าจะไปไหน กินอะไร
.
ตกเย็นก็เหมือนเป็นเวลาพักผ่อน เดินเล่น หาอะไรกิน ถ้าวันไหนฝนไม่ตก บรรยากาศยามค่ำคืนที่ Pune น่าเดินเล่นเป็นที่สุด กลับถึงห้องก็หาโอกาสคุยกับเพื่อนต่างชาติ และไทยผ่าน video call บ้างในบางโอกาส อ่านหนังสือ ดูหนัง แอบเข้าเฟสบุ๊คเพื่อดูความเป็นไปในไทยบ้าง
ลุยเดี่ยวเที่ยว mulshi เขตหนึ่งในเมืองปูเน่ที่ตั้งอยู่ในหุบเขา
.
ผมเริ่มวางแผนท่องเที่ยวเตรียมตัว ผมฝันอยากไปให้ครบ เหนือ ใต้ ออก ตก ของอินเดีย (จากเดิมฝันไปแค่ทางเหนือ ตอนนี้ความฝันเริ่มงอก ตามปริมาณวันหยุด และค่าใช้จ่ายที่คิดว่าคุมไหว) ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ผมพยายามหาเรื่องออกจากห้องให้ได้ทุกสัปดาห์ พบเจอผู้คน ฝึกพูด ฝึกฟังภาษาอังกฤษ พร้อมได้ท่องเที่ยวไปในตัว
.
เหมือนตอนนี้ทุกอย่างกำลังเริ่มเข้าที่วนลูปเป็นรูทีน รูทีนไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะคงตัวอยู่แบบนี้ตลอดไป ข้อดีของรูทีนคือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะยังพอมีหลักยึดให้ดำเนินชีวิตต่อไปตามที่เราตั้งไว้ ตอนนี้คงเหลือเพียงแค่หาที่เล่นโยคะ ไม่ก็ยิม ผมรอบัตรนักเรียน อาจารย์บอกว่าผมสามารถเข้าไปใช้บริการยิมได้ฟรีของมหาลัย
.
ผมกำลังเป็นคนหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิต สำหรับผมทุกเวลาที่ผ่านไปของชีวิตที่นี่มีความหมาย เพราะมันมีจำกัด ผสมรวมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป มาจากแรงงานของตัวเองตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา หมดแล้วหมดเลยไม่มีทุนสำรอง การใช้ชีวิตให้สนุกเป็นเรื่องสำคัญ แต่การมีวินัย และมีความรับผิดชอบก็เป็นเรื่องจำเป็น ผมกำลังเอาความสนุกมาผูกติดกับความรับผิดชอบในวิถีของผม...แน่นอนผมมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง
.
.
อาทิตย์นี้ผมมีเรื่องราวสนุกๆ ที่เจอระหว่างสัปดาห์มาเล่าสู่กันฟัง
วันก่อนผมวางแผนว่าจะไปเปิดบัญชีธนาคารของอินเดีย เพื่อที่ว่าเวลาไปเที่ยวจองตั๋วรถไฟ รถบัส หรือซื้อของซื้ออะไรกิน มันสามารถจ่ายทางออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องพกเงินสด จึงเปิด Google map ดูว่ามีธนาคารที่ต้องการเปิดอยู่ตรงไหน แถวๆ โรงเรียนบ้าง
.
ใน map บอกว่าธนาคารอยู่ห่างออกไป 1 กิโลเมตร ก็คิดว่าเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง แต่ถึงแล้วปรากฎว่าไม่มีธนาคารตามที่ map ปักหมุดไว้...โอเค ไม่เป็นไรดูใหม่ กด re map มันประมวลผลให้ใหม่บอกว่ามีธนาคารที่ตามหาอยู่ห่างออกไปอีก 1 กิโลเมตร ก็เลยเอาวะ เดินมาครึ่งทางแล้ว เดินไปอีกหน่อยจะเป็นอะไร ก็เดินกางร่มตากฝน ต๊อก ต๊อก ต๊อก ไปจนถึง ไม่อยากจะด่าแต่อดไม่ไหวจริงๆ (อิสัส) map พาไปสิ้นสุดที่อพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง ที่
ไม่เกี่ยวห่าอะไรกับธนาคารทั้งนั้น Google map โดยเฉพาะธนาคาร
โคตรหลอกหลวงที่นี่
.
เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้ผล เลยจำเป็นต้องใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม คือการถามผู้คนปากต่อปาก ก็ถามไปเรื่อยๆ รายทาง จนมาหยุดที่คนสุดท้ายแกชื่อว่า อามิท (ชื่อนี้โหลมากในอินเดีย)
.
อามิทกำลังขนของใส่รถอยู่ พอเราโชว์รูปให้ดูบอกว่าอยากไปธนาคารนี้ แกรีบยกขนขึ้นรถ ล็อคกุญแจ ไม่พูดพร่ำทำเพลงแกบอก Follow me Follow me เป็นอันรู้กันว่าเดี๋ยวกูพาไปเองอัยเด็กน้อย
.
ผมกลายเป็นเด็กถือร่มให้อามิทเดินนำ ถ้าใครเคยเดินกับผมจะรู้ว่าผมเป็นคนเดินเร็วมาก แต่
เอ้ย อามิท
เดินเหมือนอย่างกับวิ่ง ถ้าไวอีกนิด ผมแทบจะถอดกระเป๋า ถอดเสื้อเชิ๊ต วิ่ง pace 5 ตามอามิทแล้ว แต่ในใจก็คิด คนอินเดียนี่
มีน้ำใจจังเลยวะ
.
ขากลับเดินกลับมาอีกเกือบ 1 โล บรรยากาศแถวนี้คุ้นมาก อามิทชี้ไปที่ทางขวา ส่วนเขาเลี้ยวไปทางซ้าย หลังแยกกับอามิท เดินไปอีกหน่อยก็เจอธนาคารแล้ว ที่น่าเจ็บใจคือ ธนาคาร
อยู่ซอยถัดจากโรงเรียนไม่ถึง 300 เมตร แต่ไม่มีปรากฎใน map ส่วนที่ปรากฎนั้นไม่มี ส่วนอามิทนั้น แกจะเดินมาทำธุระแถวนี้อยู่แล้ว แต่ก็นับถือความมีน้ำใจของพี่แก
.
ส่วนบทสรุป ธนาคารไม่ยอมเปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ ให้เหตุผลว่า Sir ต้องฝากเงินอย่างต่ำ 10,000 รูปปีต่อเดือน ผมบอกว่าไม่มีตัง หงุดหงิดนิดหน่อยแต่ให้อภัยได้ เพราะพนักงานธนาคารสวยมาก แถมเธอยังบอกด้วยว่าชื่อของคุณเพราะจัง มันหมายความว่ายังไงหรอ ผมยิ้มให้หนึ่งทีก่อนบอกไปว่า หมายถึง "ความมั่นคงเสมือนแผ่นดิน" เธอยิ้มหวาน ส่วนผมหอบ- เพราะต้องรีบเดินกลับไปเรียนให้ทัน 11 โมง
.
EP.5 ชีวิตต่างแดนต้องใจเย็น...เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น
https://ppantip.com/topic/41566217
Yesh in India อยู่อินเดียไม่มีเหงา EP.4 เริ่มลงหลักปักฐานใช้ชีวิตที่อินเดีย
EP.3 Sick ที่มาพร้อม Home sick
https://ppantip.com/topic/41540295/comment3
เหมือนมรสุม ที่หอบพัดสายฝนล่วงหล่นมาจากฟ้ากำลังผ่านพ้น วันผ่านคืนจากคืนเป็นสัปดาห์ 3 สัปดาห์ผ่านไปแล้วสำหรับการเดินทางมาอยู่อินเดีย อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะแปลงหน่วยเวลาเป็นหลักเดือน เมื่อนั้นเวลาคงหมุนเวียนเปลี่ยนเดือนต่อเดือน...บางทีก็อยากหมุนเวลาข้ามไปอีก 1 ปีอยากรู้ว่าตัวเราในตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ให้มันหมุนไปตามโมงยามของมันน่ะดีแล้ว ช่วงชีวิตเช่นนี้อาจมีแค่ครั้งเดียว
.
สัปดาห์นี้เปิดเทอมเต็มรูปแบบ ผมเป็นคนหนึ่งถ้าเมื่อต้องลงหลักทำอะไรเป็นประจำ จะชอบตั้งรูทีนให้ตัวเองในแต่ละวัน ตื่น 7 โมงเช้าออกกำลังกาย กลับมาฝึกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ (อ่านเจ้าชายน้อย กับสี่ดรุณีจบแล้ว) ซักประมาณ 9 โมงก็เดินทางไปเรียน ระหว่างทางก็หาอะไรกินไปเรื่อย จาลาเปา (เบอร์เกอร์ที่มีแต่แป้ง) ไจ (ชาอินเดียอันหอมหวาน) ออมเล็ต , จาปาตีกับแกง ผมคิดกับตัวเองว่าอยู่นี่ไม่อยากทำอาหารสักเท่าไหร่ มีเวลาแค่ 1 ปี อยากลองกินอาหารบ้านเขาให้หลากหลาย เดี๋ยวกลับไทยไป ผัดกะเพรา ต้มยำ อาหารไทยกินเมื่อไหร่ก็ได้
.
ซักประมาณ 10 โมงผมก็ถึงโรงเรียน (ELTIS เมืองปูเน่) ถ้าวันไหนโชคดีก็จะได้คุยกับเพื่อนคนอินเดียกลุ่มใหญ่ที่มาเรียนตอนเช้า เราคุยกันดังสนั่นลั่นโรงเรียน ดังจนโดนอาจารย์ด่าให้ออกไปคุยข้างนอก บางทีอาจารย์ไม่เข้าใจหรือไงว่า การคุยกันแบบนี้คือการฝึกภาษาที่ดีที่สุดแล้ว คนอินเดียคุยสนุก กวนตีน และเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด
ผมเริ่มเรียน 11 โมง ในคลาสมีคนทั้งหมด 19 คน เป็นไทย 6 คน อิหร่าน 5 คน เยเมน 5 คน เกาหลีใต้ 1 คน แอฟริกา 2 คน
.
ผมสนิทกับอาลีเพื่อนคนแอฟริกา (เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน) เขาเฟรนลี่ มนุษยสัมพันธ์ดี ส่วนอีกคนคือซีมินคนเกาหลี (เสื้อยืดสีน้ำเงิน) คนนี้น่ารัก เรียบร้อย ออกเนิสๆ บรรยากาศในห้องเรียนไม่ต่างจากตอนเรียนมหาลัย ผมรำคาญป้าคนอิหร่านนิดหน่อย แกเคยเรียนจบคอร์สไปแล้ว แต่มาเรียนอีกครั้งตามสามี แกพูดเก่งพูดมาก จนบางทีผมคิดว่าแกควรแบ่งให้คนอื่นได้พูดบ้าง ฮ่าๆๆๆ
.
ในห้องเรียนผมยังคงเป็นผมเหมือนสมัยเรียน ส่วนนอกห้องเรียนเหมือนผมยังคงหอบเอาอาชีพการงานติดมาด้วย ยังคงพูดคุยกับผู้คนทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เคาะแป้นพิมพ์เขียนงานหรืออะไรสักอย่าง ผมยังคงเขียนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
.
ส่วนชีวิตหลังเลิกเรียนก็ห้อยโหนรถเมล์กลับบ้าน หาอะไรกิน ทำแบบเดิม จนกระเป๋ารถเมล์ กับคนขายบะหมี่จำหน้าได้แล้ว บางทีเจอหน้าเป็นอันว่ารู้กันว่าจะไปไหน กินอะไร
.
ตกเย็นก็เหมือนเป็นเวลาพักผ่อน เดินเล่น หาอะไรกิน ถ้าวันไหนฝนไม่ตก บรรยากาศยามค่ำคืนที่ Pune น่าเดินเล่นเป็นที่สุด กลับถึงห้องก็หาโอกาสคุยกับเพื่อนต่างชาติ และไทยผ่าน video call บ้างในบางโอกาส อ่านหนังสือ ดูหนัง แอบเข้าเฟสบุ๊คเพื่อดูความเป็นไปในไทยบ้าง
ลุยเดี่ยวเที่ยว mulshi เขตหนึ่งในเมืองปูเน่ที่ตั้งอยู่ในหุบเขา
.
ผมเริ่มวางแผนท่องเที่ยวเตรียมตัว ผมฝันอยากไปให้ครบ เหนือ ใต้ ออก ตก ของอินเดีย (จากเดิมฝันไปแค่ทางเหนือ ตอนนี้ความฝันเริ่มงอก ตามปริมาณวันหยุด และค่าใช้จ่ายที่คิดว่าคุมไหว) ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ผมพยายามหาเรื่องออกจากห้องให้ได้ทุกสัปดาห์ พบเจอผู้คน ฝึกพูด ฝึกฟังภาษาอังกฤษ พร้อมได้ท่องเที่ยวไปในตัว
.
เหมือนตอนนี้ทุกอย่างกำลังเริ่มเข้าที่วนลูปเป็นรูทีน รูทีนไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะคงตัวอยู่แบบนี้ตลอดไป ข้อดีของรูทีนคือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะยังพอมีหลักยึดให้ดำเนินชีวิตต่อไปตามที่เราตั้งไว้ ตอนนี้คงเหลือเพียงแค่หาที่เล่นโยคะ ไม่ก็ยิม ผมรอบัตรนักเรียน อาจารย์บอกว่าผมสามารถเข้าไปใช้บริการยิมได้ฟรีของมหาลัย
.
ผมกำลังเป็นคนหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิต สำหรับผมทุกเวลาที่ผ่านไปของชีวิตที่นี่มีความหมาย เพราะมันมีจำกัด ผสมรวมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป มาจากแรงงานของตัวเองตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา หมดแล้วหมดเลยไม่มีทุนสำรอง การใช้ชีวิตให้สนุกเป็นเรื่องสำคัญ แต่การมีวินัย และมีความรับผิดชอบก็เป็นเรื่องจำเป็น ผมกำลังเอาความสนุกมาผูกติดกับความรับผิดชอบในวิถีของผม...แน่นอนผมมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง
.
.
อาทิตย์นี้ผมมีเรื่องราวสนุกๆ ที่เจอระหว่างสัปดาห์มาเล่าสู่กันฟัง
วันก่อนผมวางแผนว่าจะไปเปิดบัญชีธนาคารของอินเดีย เพื่อที่ว่าเวลาไปเที่ยวจองตั๋วรถไฟ รถบัส หรือซื้อของซื้ออะไรกิน มันสามารถจ่ายทางออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องพกเงินสด จึงเปิด Google map ดูว่ามีธนาคารที่ต้องการเปิดอยู่ตรงไหน แถวๆ โรงเรียนบ้าง
.
ใน map บอกว่าธนาคารอยู่ห่างออกไป 1 กิโลเมตร ก็คิดว่าเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง แต่ถึงแล้วปรากฎว่าไม่มีธนาคารตามที่ map ปักหมุดไว้...โอเค ไม่เป็นไรดูใหม่ กด re map มันประมวลผลให้ใหม่บอกว่ามีธนาคารที่ตามหาอยู่ห่างออกไปอีก 1 กิโลเมตร ก็เลยเอาวะ เดินมาครึ่งทางแล้ว เดินไปอีกหน่อยจะเป็นอะไร ก็เดินกางร่มตากฝน ต๊อก ต๊อก ต๊อก ไปจนถึง ไม่อยากจะด่าแต่อดไม่ไหวจริงๆ (อิสัส) map พาไปสิ้นสุดที่อพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวห่าอะไรกับธนาคารทั้งนั้น Google map โดยเฉพาะธนาคารโคตรหลอกหลวงที่นี่
.
เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้ผล เลยจำเป็นต้องใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม คือการถามผู้คนปากต่อปาก ก็ถามไปเรื่อยๆ รายทาง จนมาหยุดที่คนสุดท้ายแกชื่อว่า อามิท (ชื่อนี้โหลมากในอินเดีย)
.
อามิทกำลังขนของใส่รถอยู่ พอเราโชว์รูปให้ดูบอกว่าอยากไปธนาคารนี้ แกรีบยกขนขึ้นรถ ล็อคกุญแจ ไม่พูดพร่ำทำเพลงแกบอก Follow me Follow me เป็นอันรู้กันว่าเดี๋ยวกูพาไปเองอัยเด็กน้อย
.
ผมกลายเป็นเด็กถือร่มให้อามิทเดินนำ ถ้าใครเคยเดินกับผมจะรู้ว่าผมเป็นคนเดินเร็วมาก แต่เอ้ย อามิทเดินเหมือนอย่างกับวิ่ง ถ้าไวอีกนิด ผมแทบจะถอดกระเป๋า ถอดเสื้อเชิ๊ต วิ่ง pace 5 ตามอามิทแล้ว แต่ในใจก็คิด คนอินเดียนี่มีน้ำใจจังเลยวะ
.
ขากลับเดินกลับมาอีกเกือบ 1 โล บรรยากาศแถวนี้คุ้นมาก อามิทชี้ไปที่ทางขวา ส่วนเขาเลี้ยวไปทางซ้าย หลังแยกกับอามิท เดินไปอีกหน่อยก็เจอธนาคารแล้ว ที่น่าเจ็บใจคือ ธนาคารอยู่ซอยถัดจากโรงเรียนไม่ถึง 300 เมตร แต่ไม่มีปรากฎใน map ส่วนที่ปรากฎนั้นไม่มี ส่วนอามิทนั้น แกจะเดินมาทำธุระแถวนี้อยู่แล้ว แต่ก็นับถือความมีน้ำใจของพี่แก
.
ส่วนบทสรุป ธนาคารไม่ยอมเปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ ให้เหตุผลว่า Sir ต้องฝากเงินอย่างต่ำ 10,000 รูปปีต่อเดือน ผมบอกว่าไม่มีตัง หงุดหงิดนิดหน่อยแต่ให้อภัยได้ เพราะพนักงานธนาคารสวยมาก แถมเธอยังบอกด้วยว่าชื่อของคุณเพราะจัง มันหมายความว่ายังไงหรอ ผมยิ้มให้หนึ่งทีก่อนบอกไปว่า หมายถึง "ความมั่นคงเสมือนแผ่นดิน" เธอยิ้มหวาน ส่วนผมหอบ- เพราะต้องรีบเดินกลับไปเรียนให้ทัน 11 โมง
.
EP.5 ชีวิตต่างแดนต้องใจเย็น...เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น
https://ppantip.com/topic/41566217