“พิชัย” ติง “ประยุทธ์” ปล่อยค่าการตลาดน้ำมันพุ่งสูงสวนทางมาตรการ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3448984
“พิชัย” ติง “ประยุทธ์” ปล่อยค่าการตลาดน้ำมันพุ่งสูงสวนทางมาตรการที่ออก ชี้ 3 แกนกลายเป็นจุดอ่อนตอกย้ำความล้มเหลว
เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองด้านเศรษฐกิจ พรรค พท. กล่าวถึงปัญหาการเมืองกระทบเศรษฐกิจไทย และปัญหาที่ไทยต้องเผชิญ ว่า สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันลดลงมาประมาณ 10% จากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็เพิ่มขึ้นมา สหรัฐเองก็พยายามผลักดันให้ซาอุดีอาระเบียเพิ่มการผลิต แต่ก็เหมือนกับว่าไม่สามารถตกลงกันได้ ปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องลิเบียไม่ยอมส่งออกน้ำมัน ทำให้มีน้ำมันส่งออกน้อยลง และความกังวลที่จีนจะล็อกดาวน์อีก นี่จึงเป็นปัญหาที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมัน
แต่ที่ตนจะพูดถึงคือเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมัน ที่ตนย้ำเสมอ สัปดาห์ที่แล้วเรามีความตกใจที่รัฐบาลปล่อยให้บริษัทน้ำมันคิดค่าการตลาดพุ่งสูงถึง 3.90 บาท ถึง 5.70 บาท ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดมาก นอกจากค่าการกลั่นที่บอกจะไปเจรจา แต่ก็เจรจาไม่ได้ทำให้ค่าการกลั่นไม่ลดแล้ว ยังปล่อยให้มีการขึ้นค่าการตลาดอีก
“ค่าเบนซินลิตรละ 4.70 บาท ดีเซล 3.90 บาท ผมไม่ทราบว่าท่านปล่อยให้มีการลักไก่กันแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มาตรการที่ท่านออกมาเอง โดยมีการระบุว่า จะให้ราคาการตลาดไม่เกิน 1.40 บาท แต่ท่านกลับปล่อยขนาดนี้ เมื่อเริ่มโดนด่าวันนี้ก็มาลดดีเซลเหลือ 1.40 บาท แต่เบนซินยังเหลือ 3-4 บาทอยู่เลย ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทน้ำมัน ท่านมาจากปตท. ท่านเห็นประชาชนลำบากขนาดนี้ ท่านกลับปล่อยให้บริษัทน้ำมันเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้ได้อย่างไร เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ขอให้ท่านรีบลดราคาการตลาดทั้งดีเซลและเบนซิลลงมา ได้กำไรจากค่ากลั่นมโหฬารยังจะเอากำไรขูดเลือดขูดเนื้อกับประชาชนอีกหรือ ผมว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ซึ่งก็เข้าใจเรื่องการกลั่น แต่ค่าการตลาดรัฐบาลสามารถลดได้ ยืนยันว่าท่านต้องรีบลดเพราะประชาชนเดือดร้อนมาก” นาย
พิชัย กล่าว
นาย
พิชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่กำลังเตรียมจะขึ้นค่าราคาไฟฟ้า ที่เพิ่งไปเป็นหน่วยละ 4 บาท และตอนนี้จะขึ้นมา 5 บาท ขึ้นอีกกว่า 20% ตนมองว่าประชาชนจะอยู่กันไม่ได้ และมีความผิดปกติ ปัญหาของการขึ้นราคาบอกว่ามีการนำเข้า LNG ที่สูงที่พุ่งสูงขึ้น 30 เหรียญ ซึ่งค่อนข้างจะสูงมาก ทั้งนี้ มีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนทราบว่ารัฐบาลไปเปลี่ยนสัมปทานในอ่าวไทย ทำให้มีการสับสนและมีการฟ้องร้องกันของบริษัทน้ำมันสองแห่งที่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการส่งมอบบ่อแก๊ส ทำให้ส่งแก๊สขึ้นมาไม่ได้ จึงต้องนำเข้า LNG กันเยอะ ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรีบแก้ปัญหา เพราะราคาไฟฟ้าจะพุ่งไม่หยุด
นาย
พิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบกลับไปกลับมา ที่ในตอนแรกได้แก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่พอรู้ว่า ตนเองจะแพ้การเลือกตั้งก็จะแก้กลับไปเป็นหาร 500 จึงอยากจะให้ประชาชนได้เห็นว่าผลของการเมืองไทยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
เศรษฐกิจไทยหลังจากการปฏิวัติรัฐประหารย่ำแย่มาตลอด ปัญหาหลักมาจากการขาดความเชื่อถือและขาดความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การลงทุนหดหาย รายได้ลด หนี้พุ่ง ความสามารถแข่งขันทรุดหนัก คอรัปชั่นเบ่งบานโดยเฉพาะสื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ไทยและรัฐบาลไทยอย่างรุนแรงมาตลอด บ้างก็วิจารณ์ไทยย้อนหลังไป 30 ปี บ้างก็บอกไทยเป็นคนป่วยของอาเซียน บ้างก็ตำหนิผู้นำไทยว่าทำทุกอย่างเพื่อสืบทอดอำนาจ
แต่กระนั้นประเทศไทยยังคงมี ส.ว. 250 คน โหวตเลือกนายก แม้กระทั่งการเปลี่ยนมาเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเพื่อให้พรรคการเมืองเข้มแข็งก็ยังถูกกลับไปใช้หาร 500 เพื่อเข้าสู่วังวนเดิม แบบนี้เศรษฐกิจไทยคงยากจะฟื้นแน่ ความเชื่อถือและความมั่นใจจะยิ่งหดหาย จึงอยากเรียกร้องประชาชนให้ลงโทษการกระทำที่สร้างความสับสนนี้ เพียงเพื่อจะรักษาอำนาจของตนเองเท่านั้น เหมือนการเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางที่เพิ่งผ่านมา
นาย
พิชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การที่พล.อ.ประยุทธ์ พยายามดิ้นรนที่จะอยู่ต่อเพื่อรักษาอำนาจของตนเองโดยไม่สนใจว่าประเทศจะเสื่อมถอยขนาดไหน จะยิ่งทำให้ประชาชนลำบากมากยิ่งขึ้นและจะยิ่งเบื่อ โดยล่าสุดได้ออกมาแถลง 3 แกน ที่ออกมาแล้วแป็ก ซึ่งเป็นเหมือนการท่องจำมากกว่าจะเข้าใจ จึงอยากให้พล.อ.
ประยุทธ์เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง ดังนี้
1. เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์แทบไม่ได้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของไทยเลย ล่าสุด IMD จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่อันดับที่ 44 ลดลงจาก อันดับ 43 จาก 63 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งอาจดูง่ายๆ ว่า ขนาดโครงการ 2 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ทำไปถึงไหน ถ้าได้ทำป่านนี้ไทยคงพัฒนาไปไกลแล้ว
ซึ่งหากพล.อ.
ประยุทธ์ คิดจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในตอนนี้ก็ต้องระวังหนี้สาธารณะที่สูงมากให้ดี เพราะจะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก และที่สำคัญต้องคำนวณรายได้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่สักแต่จะทำโดยขาดความรู้ความเข้าใจ สุดท้ายจะเป็นเหมือนประเทศศรีลังกา ที่ล้มละลายเพราะผู้นำขาดความรู้ความสามารถ เพียงพอทุ่มเงินทำแต่ไม่ได้รายได้แถมมีคอรัปชั่นสูงสุดท้ายประเทศล้มละลาย
นาย
พิชัย กล่าวต่อว่า 2. เรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท. พูดมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแล้ว แต่พล.อ.
ประยุทธ์ เพิ่งจะมานึกได้ โดยการอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ ย้ายฐานการผลิตไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเป็นจำนวนมากแล้ว ประเทศไทยต้องหันมาดูว่าเรามีจุดแข็งอะไรถึงจะดึงดูดเขามาได้ ในการประชุมระหว่างสหรัฐและอาเซียน ประธานาธิบดี
วิโดโด ของอินโดนีเซียได้นัดหารือกับนาย
อีลอน มัสก์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทเทสลา เพื่อจะผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซีย ขณะที่พล.อ.
ประยุทธ์ ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่ได้นัดเจอใครเลย
ทั้งนี้ต้องทราบว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันขาดแคลนแบตเตอรี่และไมโครชิพ ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท.ได้บอกไว้นานแล้ว การที่ต้องเร่งให้มีการผลิตแบตเตอรี่และไมโครชิพในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น อีกทั้งต้องเข้าใจว่าอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นระบบ Autonomous คือ เป็นรถยนต์ไร้คนขับและใช้ระบบควบคุมการเดินรถเอง ซึ่งรัฐบาลในอนาคตจะต้องเตรียมตัวรองรับเรื่องดังกล่าวด้วย แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่น่าจะเข้าใจ
นอกจากนี้ ยังต้องมองหาระบบการเดินทางในอนาคตแบบอื่นด้วยเช่น โดรนไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า และเรือพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งจะต้องมองหาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงด้านอื่นด้วยเช่น อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันประเทศเวียดนามเป็นผู้นำไปแล้ว เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมและการเสริมสร้างบรรยากาศให้เกิดธุรกิจด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมากๆ ให้ได้ เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟใหม่ให้เศรษฐกิจไทย
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า 3.การพลิกโฉมภาคธนาคารเพื่อช่วยประชาชน แสดงถึงว่าพล.อ.
ประยุทธ์ยังไม่เข้าใจเรื่องภาคธนาคารเลย ปัญหาของประเทศปัจจุบันคือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกือบ 15 ล้านล้านบาท หรือสูงกว่า 90% ของจีดีพี สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก ทั้งนี้ เกิดมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของพล.อ.
ประยุทธ์เอง พล.อ.
ประยุทธ์ จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
อีกทั้งหนี้เสียในภาคธนาคารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และดอกเบี้ยกำลังจะเป็นขาขึ้น จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงขึ้น พล.อ.
ประยุทธ์ จะแก้ปัญหาอย่างไร การใช้เทคโนโลยีในภาคธนาคารไม่ได้แก้ปัญหานี้ การแก้ปัญหาคือการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อมาใช้หนี้ได้ อีกทั้งเพิ่มจีดีพีให้โตมากๆ เพื่อให้สัดส่วนของหนี้ลดลง การลดหนี้ ลดดอกเบี้ย สำหรับธุรกิจที่ประสบปัญหาช่วงโควิดและจะสามารถประคองธุรกิจให้รอดพ้นได้ จะทำได้อย่างไร พล.อ.
ประยุทธ์ จะต้องเข้าใจปัญหาให้ถูกต้องก่อน การเข้าถึงแหล่งทุนเป็นเรื่องจำเป็น ที่พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญมาตลอด จากนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ดังนั้นอยากให้พล.อ.
ประยุทธ์ ได้ศึกษาและเข้าใจไม่ใช่ไปท่องมา แต่ไม่รู้เรื่อง
“แม้การปรับปรุงตัวเองจะเป็นเรื่องดี แต่ควรจะปรับปรุงมา 8 ปีที่แล้ว เพราะเรื่องเหล่านี้พรรคเพื่อไทยเตือนมาตลอด แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยฟังและไม่เข้าใจ จนกระทั่งความนิยมของตัวเองไม่เหลือแล้วถึงจะมาแก้ไขตัวเองซึ่งช้าไปมากแล้ว แถมยังตำหนิรัฐบาลอื่นเรื่องการแจกเงิน แต่จากข้อมูลตัวเลขหนี้ที่เพิ่มขึ้นพิสูจน์ชัดเจนว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แจกเงินมั่วที่สุด อีกทั้ง 8 ปีที่ผ่านมายังทำรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นไม่ได้ แล้วอีก 2 ปีข้างหน้าจะทำให้เพิ่มได้อย่างไร น่าจะเป็นแค่วาทกรรมหาเสียงเท่านั้น ดังนั้น เรื่อง 3 แกน ที่พูดถึงจึงเป็นจุดอ่อนและความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์มากกว่าจะนำมาหาเสียงได้ เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยล้าหลัง อุตสาหกรรมของไทยที่เสื่อมถอย ระบบการเงินการคลังของไทยมีปัญหามาก จากหนี้ที่พุ่งไม่หยุดแถมดอกเบี้ยกำลังจะพุ่ง ยิ่งพูดยิ่งเป็นการประจานตัวเองมากกว่า และยิ่งตอกย้ำว่าเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ ในการบริหารประเทศน่าจะต้องสิ้นสุดได้แล้ว” นาย
พิชัย กล่าว
‘ก้าวไกล’ ช็อก! แถลงยอมรับ ‘ส.ก.เขตสาทร’ ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ จ่อฟันขั้นสุด ‘ขับพ้นพรรค’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3448819
‘ก้าวไกล’ แถลงยอมรับ ‘ส.ก.เขตสาทร’ ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ จ่อฟันขั้นสุด ‘ขับพ้นพรรค’
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายกรุงเทพมหานคร และ น.ส.
ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงและจุดยืนของพรรค จากกรณีมีผู้แจ้งความว่า นาย
อานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรค ก.ก. ล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศ ซึ่งบางส่วนเป็นผู้เยาว์ ที่สน.ทุ่งมหาเมฆ
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า พรรค ก.ก. ได้รับการประสานงานจากกลุ่มเส้นด้าย และน.ส.ภัทราภรณ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยทางพรรคได้เดินทางไปที่สน.ทุ่งมหาเมฆ ทันทีเพื่อปกป้องดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความยุติธรรมที่สุด และดูแลเรื่องจิตใจ รวมถึงคุ้มครองให้ผู้เสียหายทั้งทางกาย และทางใจให้ดีที่สุด จากการที่ได้พูดคุยกับตำรวจ ผู้เสียหาย และตัวแทนจากอาสาสมัครเส้นด้าย โดยข้อเท็จจริงเบื้องต้น เชื่อว่าเป็นการกระทำที่มีมูล คือมีการพากลุ่มผู้เสียหายไปที่เคหะสถาน ดื่มแอลกอฮอล์ และมีพฤติกรรมเข้าข่ายการคุกคามทางเพศ อย่างไรก็ตาม คงต้องให้ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป เรื่องนี้พรรค ก.ก. ยืนยันว่าจะดูแลและปกป้องผู้เสียหายอย่างเต็มที่ จะให้ความร่วมมือกับตำรวจ และจะส่งเรื่องให้กับคณะกรรมการวินัยพิจารณาอย่างเร่งด่วนที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างรอบคอบ และระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้เสียหาย ตนคิดว่า หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง ตามมูลที่กล่าวไปข้างต้น คณะกรรมการวินัยจะลงโทษสูงสุด คือการขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก.ก. และนายอนุภาพ ต้องพิจารณาตัวเองว่าจะออกจากตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ในนามของพรรค ก.ก. จึงอยากขอโทษประชาชนอย่างสุดซึ้ง
JJNY : “พิชัย”ติง“ประยุทธ์”│‘กก.’รับ‘ส.ก.’ ก่อเหตุจ่อฟันขั้นสุด│บาทอ่อนจ่อ36.50บ.│ไต้หวันจับผู้ว่าจ้าง 3คนไปไทยขนเฮโรอีน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3448984
“พิชัย” ติง “ประยุทธ์” ปล่อยค่าการตลาดน้ำมันพุ่งสูงสวนทางมาตรการที่ออก ชี้ 3 แกนกลายเป็นจุดอ่อนตอกย้ำความล้มเหลว
เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองด้านเศรษฐกิจ พรรค พท. กล่าวถึงปัญหาการเมืองกระทบเศรษฐกิจไทย และปัญหาที่ไทยต้องเผชิญ ว่า สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันลดลงมาประมาณ 10% จากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็เพิ่มขึ้นมา สหรัฐเองก็พยายามผลักดันให้ซาอุดีอาระเบียเพิ่มการผลิต แต่ก็เหมือนกับว่าไม่สามารถตกลงกันได้ ปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องลิเบียไม่ยอมส่งออกน้ำมัน ทำให้มีน้ำมันส่งออกน้อยลง และความกังวลที่จีนจะล็อกดาวน์อีก นี่จึงเป็นปัญหาที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมัน
แต่ที่ตนจะพูดถึงคือเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมัน ที่ตนย้ำเสมอ สัปดาห์ที่แล้วเรามีความตกใจที่รัฐบาลปล่อยให้บริษัทน้ำมันคิดค่าการตลาดพุ่งสูงถึง 3.90 บาท ถึง 5.70 บาท ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดมาก นอกจากค่าการกลั่นที่บอกจะไปเจรจา แต่ก็เจรจาไม่ได้ทำให้ค่าการกลั่นไม่ลดแล้ว ยังปล่อยให้มีการขึ้นค่าการตลาดอีก
“ค่าเบนซินลิตรละ 4.70 บาท ดีเซล 3.90 บาท ผมไม่ทราบว่าท่านปล่อยให้มีการลักไก่กันแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มาตรการที่ท่านออกมาเอง โดยมีการระบุว่า จะให้ราคาการตลาดไม่เกิน 1.40 บาท แต่ท่านกลับปล่อยขนาดนี้ เมื่อเริ่มโดนด่าวันนี้ก็มาลดดีเซลเหลือ 1.40 บาท แต่เบนซินยังเหลือ 3-4 บาทอยู่เลย ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทน้ำมัน ท่านมาจากปตท. ท่านเห็นประชาชนลำบากขนาดนี้ ท่านกลับปล่อยให้บริษัทน้ำมันเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้ได้อย่างไร เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ขอให้ท่านรีบลดราคาการตลาดทั้งดีเซลและเบนซิลลงมา ได้กำไรจากค่ากลั่นมโหฬารยังจะเอากำไรขูดเลือดขูดเนื้อกับประชาชนอีกหรือ ผมว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ซึ่งก็เข้าใจเรื่องการกลั่น แต่ค่าการตลาดรัฐบาลสามารถลดได้ ยืนยันว่าท่านต้องรีบลดเพราะประชาชนเดือดร้อนมาก” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่กำลังเตรียมจะขึ้นค่าราคาไฟฟ้า ที่เพิ่งไปเป็นหน่วยละ 4 บาท และตอนนี้จะขึ้นมา 5 บาท ขึ้นอีกกว่า 20% ตนมองว่าประชาชนจะอยู่กันไม่ได้ และมีความผิดปกติ ปัญหาของการขึ้นราคาบอกว่ามีการนำเข้า LNG ที่สูงที่พุ่งสูงขึ้น 30 เหรียญ ซึ่งค่อนข้างจะสูงมาก ทั้งนี้ มีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนทราบว่ารัฐบาลไปเปลี่ยนสัมปทานในอ่าวไทย ทำให้มีการสับสนและมีการฟ้องร้องกันของบริษัทน้ำมันสองแห่งที่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการส่งมอบบ่อแก๊ส ทำให้ส่งแก๊สขึ้นมาไม่ได้ จึงต้องนำเข้า LNG กันเยอะ ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรีบแก้ปัญหา เพราะราคาไฟฟ้าจะพุ่งไม่หยุด
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบกลับไปกลับมา ที่ในตอนแรกได้แก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่พอรู้ว่า ตนเองจะแพ้การเลือกตั้งก็จะแก้กลับไปเป็นหาร 500 จึงอยากจะให้ประชาชนได้เห็นว่าผลของการเมืองไทยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
เศรษฐกิจไทยหลังจากการปฏิวัติรัฐประหารย่ำแย่มาตลอด ปัญหาหลักมาจากการขาดความเชื่อถือและขาดความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การลงทุนหดหาย รายได้ลด หนี้พุ่ง ความสามารถแข่งขันทรุดหนัก คอรัปชั่นเบ่งบานโดยเฉพาะสื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ไทยและรัฐบาลไทยอย่างรุนแรงมาตลอด บ้างก็วิจารณ์ไทยย้อนหลังไป 30 ปี บ้างก็บอกไทยเป็นคนป่วยของอาเซียน บ้างก็ตำหนิผู้นำไทยว่าทำทุกอย่างเพื่อสืบทอดอำนาจ
แต่กระนั้นประเทศไทยยังคงมี ส.ว. 250 คน โหวตเลือกนายก แม้กระทั่งการเปลี่ยนมาเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเพื่อให้พรรคการเมืองเข้มแข็งก็ยังถูกกลับไปใช้หาร 500 เพื่อเข้าสู่วังวนเดิม แบบนี้เศรษฐกิจไทยคงยากจะฟื้นแน่ ความเชื่อถือและความมั่นใจจะยิ่งหดหาย จึงอยากเรียกร้องประชาชนให้ลงโทษการกระทำที่สร้างความสับสนนี้ เพียงเพื่อจะรักษาอำนาจของตนเองเท่านั้น เหมือนการเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางที่เพิ่งผ่านมา
นายพิชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การที่พล.อ.ประยุทธ์ พยายามดิ้นรนที่จะอยู่ต่อเพื่อรักษาอำนาจของตนเองโดยไม่สนใจว่าประเทศจะเสื่อมถอยขนาดไหน จะยิ่งทำให้ประชาชนลำบากมากยิ่งขึ้นและจะยิ่งเบื่อ โดยล่าสุดได้ออกมาแถลง 3 แกน ที่ออกมาแล้วแป็ก ซึ่งเป็นเหมือนการท่องจำมากกว่าจะเข้าใจ จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง ดังนี้
1. เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์แทบไม่ได้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของไทยเลย ล่าสุด IMD จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่อันดับที่ 44 ลดลงจาก อันดับ 43 จาก 63 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งอาจดูง่ายๆ ว่า ขนาดโครงการ 2 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ทำไปถึงไหน ถ้าได้ทำป่านนี้ไทยคงพัฒนาไปไกลแล้ว
ซึ่งหากพล.อ.ประยุทธ์ คิดจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในตอนนี้ก็ต้องระวังหนี้สาธารณะที่สูงมากให้ดี เพราะจะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก และที่สำคัญต้องคำนวณรายได้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่สักแต่จะทำโดยขาดความรู้ความเข้าใจ สุดท้ายจะเป็นเหมือนประเทศศรีลังกา ที่ล้มละลายเพราะผู้นำขาดความรู้ความสามารถ เพียงพอทุ่มเงินทำแต่ไม่ได้รายได้แถมมีคอรัปชั่นสูงสุดท้ายประเทศล้มละลาย
นายพิชัย กล่าวต่อว่า 2. เรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท. พูดมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแล้ว แต่พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งจะมานึกได้ โดยการอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ ย้ายฐานการผลิตไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเป็นจำนวนมากแล้ว ประเทศไทยต้องหันมาดูว่าเรามีจุดแข็งอะไรถึงจะดึงดูดเขามาได้ ในการประชุมระหว่างสหรัฐและอาเซียน ประธานาธิบดีวิโดโด ของอินโดนีเซียได้นัดหารือกับนายอีลอน มัสก์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทเทสลา เพื่อจะผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซีย ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่ได้นัดเจอใครเลย
ทั้งนี้ต้องทราบว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันขาดแคลนแบตเตอรี่และไมโครชิพ ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรค พท.ได้บอกไว้นานแล้ว การที่ต้องเร่งให้มีการผลิตแบตเตอรี่และไมโครชิพในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น อีกทั้งต้องเข้าใจว่าอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นระบบ Autonomous คือ เป็นรถยนต์ไร้คนขับและใช้ระบบควบคุมการเดินรถเอง ซึ่งรัฐบาลในอนาคตจะต้องเตรียมตัวรองรับเรื่องดังกล่าวด้วย แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่น่าจะเข้าใจ
นอกจากนี้ ยังต้องมองหาระบบการเดินทางในอนาคตแบบอื่นด้วยเช่น โดรนไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า และเรือพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งจะต้องมองหาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงด้านอื่นด้วยเช่น อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันประเทศเวียดนามเป็นผู้นำไปแล้ว เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมและการเสริมสร้างบรรยากาศให้เกิดธุรกิจด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมากๆ ให้ได้ เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟใหม่ให้เศรษฐกิจไทย
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า 3.การพลิกโฉมภาคธนาคารเพื่อช่วยประชาชน แสดงถึงว่าพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เข้าใจเรื่องภาคธนาคารเลย ปัญหาของประเทศปัจจุบันคือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกือบ 15 ล้านล้านบาท หรือสูงกว่า 90% ของจีดีพี สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก ทั้งนี้ เกิดมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของพล.อ.ประยุทธ์เอง พล.อ.ประยุทธ์ จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
อีกทั้งหนี้เสียในภาคธนาคารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และดอกเบี้ยกำลังจะเป็นขาขึ้น จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จะแก้ปัญหาอย่างไร การใช้เทคโนโลยีในภาคธนาคารไม่ได้แก้ปัญหานี้ การแก้ปัญหาคือการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อมาใช้หนี้ได้ อีกทั้งเพิ่มจีดีพีให้โตมากๆ เพื่อให้สัดส่วนของหนี้ลดลง การลดหนี้ ลดดอกเบี้ย สำหรับธุรกิจที่ประสบปัญหาช่วงโควิดและจะสามารถประคองธุรกิจให้รอดพ้นได้ จะทำได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเข้าใจปัญหาให้ถูกต้องก่อน การเข้าถึงแหล่งทุนเป็นเรื่องจำเป็น ที่พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญมาตลอด จากนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ดังนั้นอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ศึกษาและเข้าใจไม่ใช่ไปท่องมา แต่ไม่รู้เรื่อง
“แม้การปรับปรุงตัวเองจะเป็นเรื่องดี แต่ควรจะปรับปรุงมา 8 ปีที่แล้ว เพราะเรื่องเหล่านี้พรรคเพื่อไทยเตือนมาตลอด แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยฟังและไม่เข้าใจ จนกระทั่งความนิยมของตัวเองไม่เหลือแล้วถึงจะมาแก้ไขตัวเองซึ่งช้าไปมากแล้ว แถมยังตำหนิรัฐบาลอื่นเรื่องการแจกเงิน แต่จากข้อมูลตัวเลขหนี้ที่เพิ่มขึ้นพิสูจน์ชัดเจนว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แจกเงินมั่วที่สุด อีกทั้ง 8 ปีที่ผ่านมายังทำรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นไม่ได้ แล้วอีก 2 ปีข้างหน้าจะทำให้เพิ่มได้อย่างไร น่าจะเป็นแค่วาทกรรมหาเสียงเท่านั้น ดังนั้น เรื่อง 3 แกน ที่พูดถึงจึงเป็นจุดอ่อนและความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์มากกว่าจะนำมาหาเสียงได้ เพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยล้าหลัง อุตสาหกรรมของไทยที่เสื่อมถอย ระบบการเงินการคลังของไทยมีปัญหามาก จากหนี้ที่พุ่งไม่หยุดแถมดอกเบี้ยกำลังจะพุ่ง ยิ่งพูดยิ่งเป็นการประจานตัวเองมากกว่า และยิ่งตอกย้ำว่าเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ ในการบริหารประเทศน่าจะต้องสิ้นสุดได้แล้ว” นายพิชัย กล่าว
‘ก้าวไกล’ ช็อก! แถลงยอมรับ ‘ส.ก.เขตสาทร’ ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ จ่อฟันขั้นสุด ‘ขับพ้นพรรค’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3448819
‘ก้าวไกล’ แถลงยอมรับ ‘ส.ก.เขตสาทร’ ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ จ่อฟันขั้นสุด ‘ขับพ้นพรรค’
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายกรุงเทพมหานคร และ น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงและจุดยืนของพรรค จากกรณีมีผู้แจ้งความว่า นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรค ก.ก. ล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศ ซึ่งบางส่วนเป็นผู้เยาว์ ที่สน.ทุ่งมหาเมฆ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า พรรค ก.ก. ได้รับการประสานงานจากกลุ่มเส้นด้าย และน.ส.ภัทราภรณ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยทางพรรคได้เดินทางไปที่สน.ทุ่งมหาเมฆ ทันทีเพื่อปกป้องดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความยุติธรรมที่สุด และดูแลเรื่องจิตใจ รวมถึงคุ้มครองให้ผู้เสียหายทั้งทางกาย และทางใจให้ดีที่สุด จากการที่ได้พูดคุยกับตำรวจ ผู้เสียหาย และตัวแทนจากอาสาสมัครเส้นด้าย โดยข้อเท็จจริงเบื้องต้น เชื่อว่าเป็นการกระทำที่มีมูล คือมีการพากลุ่มผู้เสียหายไปที่เคหะสถาน ดื่มแอลกอฮอล์ และมีพฤติกรรมเข้าข่ายการคุกคามทางเพศ อย่างไรก็ตาม คงต้องให้ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป เรื่องนี้พรรค ก.ก. ยืนยันว่าจะดูแลและปกป้องผู้เสียหายอย่างเต็มที่ จะให้ความร่วมมือกับตำรวจ และจะส่งเรื่องให้กับคณะกรรมการวินัยพิจารณาอย่างเร่งด่วนที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างรอบคอบ และระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้เสียหาย ตนคิดว่า หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง ตามมูลที่กล่าวไปข้างต้น คณะกรรมการวินัยจะลงโทษสูงสุด คือการขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก.ก. และนายอนุภาพ ต้องพิจารณาตัวเองว่าจะออกจากตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ในนามของพรรค ก.ก. จึงอยากขอโทษประชาชนอย่างสุดซึ้ง