ฝ่ายค้านเตรียม 120 ส.ส.ชำแหละงบฯ 64 กังขาของศาล รธน.ไม่มี กม.รองรับ
https://voicetv.co.th/read/HHpqWV5r3
ฝ่ายค้านเตรียม 120 ส.ส.ชำแหละงบปี 64 กังขางบประมาณศาลรัฐธรรมนูญไม่มีกฎหมายรองรับ "สุทิน" ข้องใจโครงการใช้เงินซ้ำซ้อน ข้าราชการประจำล็อกสเปก ไม่ตอบโจทย์ประชาชน
นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุถึง การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 1-3 ก.ค.นี้ว่า การจัดทำร่างงบฯ ปี2564 ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน การให้ข้าราชการจัดทำงบฯ มา ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน เป็นลักษณะโครงการที่ข้าราชการอยากทำเอง แต่ประชาชนไม่อยากได้ โดยมี ส.ส.ฝ่ายค้าน แสดงเจตจำนงอภิปรายกว่า 120 คน และอาจมีเพิ่มเติมหลังจากนี้ด้วย และจะมี ส.ส.หลายคนถามถึงการจัดสรรงบประมาณให้ศาลรัฐธรรมนูญ ที่เห็นว่ายังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงยังคงติดใจการรับงบฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะถูกหยิบยกมาอภิปรายด้วย
นาย
สุทิน ย้ำด้วยว่า ยังติดใจการจัดทำงบฯ ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะการใช้งบฯ จาก 3 ก้อนที่ใช้ดำเนินการซ้ำซ้อนกัน คือ "งบฯ ตาม พ.ร.บ.โอนงบฯ 2563 ,งบตาม พ.ร.ก. 3 ฉบับของรัฐบาล ,ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี2564" ที่แม้จะเชิญหน่วยงานสำนักงบประมาณ สำนักงานบริหารหนี้ มาชี้แจงแต่ก็ยังไม่กระจ่างชัด
นาย
สุทิน ยังอ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่า "โลกเปลี่ยนไปมาก ส.ส.ทุกคนต้องปรับตัวตามโลก" โดยทักท้วงเรื่องการไม่ปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบฯ และย้ำว่า ยังมีงบฯ ในส่วนงบฯ บูรณาการให้จังหวัดที่สมาชิกยังคงติดใจ ที่แม้จะจัดเป็นงบฯ จังหวัดแต่นำมาดำเนินการในแผนงานของส่วนกลาง อย่างการทำถนนหลวง
นอกจากนี้ นาย
สุทิน ระบุว่า จากการหารือกับประธานวิปรัฐบาล กำหนดตั้งกรรมาธิการ 72 คน กรอบเวลาศึกษา 80-90 วัน โดยจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2-3 ช่วงปลายเดือน ส.ค. โดยยอมรับว่าเป็นกรอบเวลาที่มีข้อจำกัด พร้อมฝากต่อประธานสภาฯ หรือ นักการเมืองรุ่นต่อไปว่าขอให้ให้เวลาในการอภิปรายและพิจารณาศึกษาร่างกฎหมายงบประมาณ
อดีต รมต. เปิดตัวเลขหนี้สาธารณะไทย อ่วมหนัก! ทรุดแน่ ล้มละลายอื้อ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4380608
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.ทรุดหนักติดลบ - 22.5% หดตัวมากที่สุดในรอบ 11 ปี ถ้าหักการส่งออกทองคำ การส่งออกจะติดลบหนักถึง - 27.9% ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจากติดลบ - 5.3% เป็น ติดลบ - 8.1% ซึ่งหนักมาก
มีโอกาสที่จะทรุดหนักกว่านี้ ซึ่งจะทำให้มีธุรกิจล้มละลาย เกิดหนี้เสียและคนตกงานจำนวนมาก ทั้งนี้ เศรษฐกิจของไทยทรุดหนักมาตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิดแล้ว การที่นายสมคิดจะแก้ตัวว่าอย่ามาโทษทำเศรษฐกิจพังคงไม่น่าจะได้ ประชาชนทราบดีและรู้สึกได้ว่าเศรษฐกิจไทยแย่มาตลอด 6 ปีแล้ว
แถม พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะต้องมารับผิดชอบเต็มๆ เพราะไม่ได้ศึกษาภาวะเศรษฐกิจ และตอบรับมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจโดยขาดความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และยังยอมรับเองว่าไม่เก่งเศรษฐกิจ ดังนั้นการปรับ ครม. เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าทีมเศรษฐกิจใหม่จะเป็นใครและจะแก้ไขเศรษฐกิจได้หรือไม่
แต่ที่ทราบแน่ๆ คือทีมเศรษฐกิจปัจจุบันจะไม่สามารถแก้ไขได้แน่ จากผลงาน 6 ปีที่ผ่านมา โดยไม่อยากให้นาย
สมคิดหลอกประชาชนเหมือนที่หลอกพล.อ.
ประยุทธ์ และอยากให้พล.อ.
ประยุทธ์ไปศึกษาเศรษฐกิจย้อนหลัง ประกอบกับอ่านที่ตนได้วิเคราะห์วิจารณ์มาตลอด จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเศรษฐกิจไทยถึงย่ำแย่ จะได้ศึกษาหาความรู้และหาทางแก้ไขได้
นาย
พิชัย กล่าวอีกว่า แนวทางหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย คือการจัดสรรงบประมาณให้ประเทศพัฒนาเข้ากับอนาคตของโลก งบประมาณปี 2564 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ อยากให้ พล.อ.
ประยุทธ์ และรัฐบาล รื้องบประมาณเพื่อจัดสรรใหม่ทั้งหมด การยึดติดการจัดสรรแบบเดิมตลอด 6 ปี เศรษฐกิจไทยก็จะยังคงแย่เหมือนเดิม
งบประมาณปี 2564 จะขาดดุลอีก 623,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์จะกู้เงินเกินงบประมาณแล้วกว่า 4 ล้านล้านบาท ทำหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 7.7 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจกลับย่ำแย่ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรและการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
การทำงบประมาณขาดดุลปี 2564 จะทำให้หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้นเกินกรอบ 60% แต่เศรษฐกิจไทยกลับไม่ดีขึ้น แถมอาจจะแย่ลงด้วย งบประมาณทางการทหารและด้านอื่นที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกตัดลงให้มากที่สุด เพื่อมาใช้ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น และจะต้องเป็นเศรษฐกิจสำหรับอนาคตในโลกยุคใหม่ด้วย
ถ้า พล.อ.
ประยุทธ์ ทำไม่ได้ และไม่มีความรู้เพียงพอก็ควรจะเสียสละลาออกเพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำแทน เพราะภาวะเศรษฐกิจต่อไปนี้ต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ ไม่ใช่มือสมัครเล่นที่ยอมรับเองว่าไม่เก่ง ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสียหายมากขึ้น
JJNY : เตรียม120ส.ส.ชำแหละงบฯ64/เปิดตัวเลขหนี้สาธารณะไทย อ่วม!/พิธาเสนอขยายเวลากมธ.-สอบงบกลาง/กมธ.เงินกู้โควิดนัดแรกวุ่
https://voicetv.co.th/read/HHpqWV5r3
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุถึง การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 1-3 ก.ค.นี้ว่า การจัดทำร่างงบฯ ปี2564 ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน การให้ข้าราชการจัดทำงบฯ มา ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน เป็นลักษณะโครงการที่ข้าราชการอยากทำเอง แต่ประชาชนไม่อยากได้ โดยมี ส.ส.ฝ่ายค้าน แสดงเจตจำนงอภิปรายกว่า 120 คน และอาจมีเพิ่มเติมหลังจากนี้ด้วย และจะมี ส.ส.หลายคนถามถึงการจัดสรรงบประมาณให้ศาลรัฐธรรมนูญ ที่เห็นว่ายังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงยังคงติดใจการรับงบฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะถูกหยิบยกมาอภิปรายด้วย
นายสุทิน ย้ำด้วยว่า ยังติดใจการจัดทำงบฯ ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะการใช้งบฯ จาก 3 ก้อนที่ใช้ดำเนินการซ้ำซ้อนกัน คือ "งบฯ ตาม พ.ร.บ.โอนงบฯ 2563 ,งบตาม พ.ร.ก. 3 ฉบับของรัฐบาล ,ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี2564" ที่แม้จะเชิญหน่วยงานสำนักงบประมาณ สำนักงานบริหารหนี้ มาชี้แจงแต่ก็ยังไม่กระจ่างชัด
นายสุทิน ยังอ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่า "โลกเปลี่ยนไปมาก ส.ส.ทุกคนต้องปรับตัวตามโลก" โดยทักท้วงเรื่องการไม่ปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบฯ และย้ำว่า ยังมีงบฯ ในส่วนงบฯ บูรณาการให้จังหวัดที่สมาชิกยังคงติดใจ ที่แม้จะจัดเป็นงบฯ จังหวัดแต่นำมาดำเนินการในแผนงานของส่วนกลาง อย่างการทำถนนหลวง
นอกจากนี้ นายสุทิน ระบุว่า จากการหารือกับประธานวิปรัฐบาล กำหนดตั้งกรรมาธิการ 72 คน กรอบเวลาศึกษา 80-90 วัน โดยจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2-3 ช่วงปลายเดือน ส.ค. โดยยอมรับว่าเป็นกรอบเวลาที่มีข้อจำกัด พร้อมฝากต่อประธานสภาฯ หรือ นักการเมืองรุ่นต่อไปว่าขอให้ให้เวลาในการอภิปรายและพิจารณาศึกษาร่างกฎหมายงบประมาณ
อดีต รมต. เปิดตัวเลขหนี้สาธารณะไทย อ่วมหนัก! ทรุดแน่ ล้มละลายอื้อ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4380608
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.ทรุดหนักติดลบ - 22.5% หดตัวมากที่สุดในรอบ 11 ปี ถ้าหักการส่งออกทองคำ การส่งออกจะติดลบหนักถึง - 27.9% ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจากติดลบ - 5.3% เป็น ติดลบ - 8.1% ซึ่งหนักมาก
มีโอกาสที่จะทรุดหนักกว่านี้ ซึ่งจะทำให้มีธุรกิจล้มละลาย เกิดหนี้เสียและคนตกงานจำนวนมาก ทั้งนี้ เศรษฐกิจของไทยทรุดหนักมาตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิดแล้ว การที่นายสมคิดจะแก้ตัวว่าอย่ามาโทษทำเศรษฐกิจพังคงไม่น่าจะได้ ประชาชนทราบดีและรู้สึกได้ว่าเศรษฐกิจไทยแย่มาตลอด 6 ปีแล้ว
แถม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะต้องมารับผิดชอบเต็มๆ เพราะไม่ได้ศึกษาภาวะเศรษฐกิจ และตอบรับมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจโดยขาดความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และยังยอมรับเองว่าไม่เก่งเศรษฐกิจ ดังนั้นการปรับ ครม. เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าทีมเศรษฐกิจใหม่จะเป็นใครและจะแก้ไขเศรษฐกิจได้หรือไม่
แต่ที่ทราบแน่ๆ คือทีมเศรษฐกิจปัจจุบันจะไม่สามารถแก้ไขได้แน่ จากผลงาน 6 ปีที่ผ่านมา โดยไม่อยากให้นายสมคิดหลอกประชาชนเหมือนที่หลอกพล.อ.ประยุทธ์ และอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปศึกษาเศรษฐกิจย้อนหลัง ประกอบกับอ่านที่ตนได้วิเคราะห์วิจารณ์มาตลอด จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเศรษฐกิจไทยถึงย่ำแย่ จะได้ศึกษาหาความรู้และหาทางแก้ไขได้
นายพิชัย กล่าวอีกว่า แนวทางหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย คือการจัดสรรงบประมาณให้ประเทศพัฒนาเข้ากับอนาคตของโลก งบประมาณปี 2564 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล รื้องบประมาณเพื่อจัดสรรใหม่ทั้งหมด การยึดติดการจัดสรรแบบเดิมตลอด 6 ปี เศรษฐกิจไทยก็จะยังคงแย่เหมือนเดิม
งบประมาณปี 2564 จะขาดดุลอีก 623,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะกู้เงินเกินงบประมาณแล้วกว่า 4 ล้านล้านบาท ทำหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 7.7 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจกลับย่ำแย่ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรและการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
การทำงบประมาณขาดดุลปี 2564 จะทำให้หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้นเกินกรอบ 60% แต่เศรษฐกิจไทยกลับไม่ดีขึ้น แถมอาจจะแย่ลงด้วย งบประมาณทางการทหารและด้านอื่นที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกตัดลงให้มากที่สุด เพื่อมาใช้ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น และจะต้องเป็นเศรษฐกิจสำหรับอนาคตในโลกยุคใหม่ด้วย
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ทำไม่ได้ และไม่มีความรู้เพียงพอก็ควรจะเสียสละลาออกเพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำแทน เพราะภาวะเศรษฐกิจต่อไปนี้ต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ ไม่ใช่มือสมัครเล่นที่ยอมรับเองว่าไม่เก่ง ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสียหายมากขึ้น