JJNY : จตุพรนัดอีก! บี้'ตู่'ลาออกกลาโหม│“พิชัย”ย้ำ“ประยุทธ์”ไปแล้วไปเลย│ค่าไฟพุ่ง จ่อปรับราคาสินค้า│จับตา‘น้ำแข็งซอมบี้’

จตุพร นัดอีก! ชุมนุม 2 กับ 4 ก.ย. หยุดอำนาจ 3 ป. บี้ 'บิ๊กตู่' ลาออก รมว.กลาโหม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7238765
 
 
“จตุพร” บีบ “บิ๊กตู่” พ้น รมว.กลาโหม ตัดช่องใช้อำนาจ ชี้ ทางออกการเมือง ต้องหยุด 3 ป. นัดมวลชน 2,4 ก.ย.นี้ ปลุกม็อบไล่ อุบที่หมาย หวั่นวิชามารตาม 
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 30 ส.ค. 2565 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล คณะหลอมรวมประชาชน นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร  ล้ำเหลือ เดินทางมาอ่านแถลงการณ์ “รวมพลังประชาชน หยุดระบอบ 3 ป. ถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกฯ เพื่อเรียกร้องให้ปรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่ง รมว.กลาโหม
 
นายจตุพร กล่าวว่า ระบอบ 3 ป. มาจากต้นทุนการเมืองที่ไม่ปกติ ไม่ชอบธรรรม และสะสมความได้เปรียบทางการเมืองผ่านกลไกสภา มีพฤติกรรมฆ่าตัดตอนประชาธิปไตย ผ่านการยึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง และครอบงำมาได้เกือบ 8 ปี ทำลายศักยภาพของประเทศ รวมถึงในเวทีโลก เห็นได้จากการบริหารที่ล้มเหลว และทำลายศักยภาพประชาชน จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และจนถึงขณะนี้ยังไม่ยอมสละอำนาจ มีเจตนาสืบทอดอำนาจผ่านกลไกรัฐบาล ผ่านร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. ไม่ให้เป็นไปตามปกติ 
 
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รมว.กลาโหม ยังสามารถควบคุมการทำงานของรัฐบาล ทหารทุกเหล่าทัพ เกิดสภาพ 2 นายกรัฐมนตรี และอาจมีการปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เหมาะสมจากการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี
 
นายจตุพร กล่าวว่า คณะหลอมรวมประชาชน เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ควรสำนึกและยุติบทบาท รมว.กลาโหม ให้เป็นบรรทัดฐานและสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง และทางออกทางการเมืองขณะนี้ คือ การหยุดอำนาจของ 3 ป. เพื่อยุติระบอบการปกครองอำนาจนิยม หยุดการบริหารประเทศของกลุ่มที่รักษาอำนาจของตนเอง แทรกแซงองค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบไม่สามารถทำหน้าที่ให้กับประเทศชาติและประชาชน เพื่อนับหนึ่งประเทศไทยอีกครั้ง จึงขอให้ประชาชนสามัคคีกันสลายระบอบ 3 ป. ล้างบางการเมืองเก่าสร้างการเมืองใหม่
 
“การปฏิบัติการข่าวสาร โดยยกย่องว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้เสียสละนั้น การจะเสียสละคือต้องปล่อยวาง ลุกออกไปจากตำแหน่งนายกฯ และรมว.กลาโหม การที่ศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เป็นเพียงข้อกฎหมาย แต่ในทางจริยธรรม ถือว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป
  
ดังนั้น คณะหลอมรวมประชาชน ร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวกดดันระบบ 3 ป. ที่จะจัดในวันที่ 2 ก.ย. และวันที่ 4 ก.ย. ในพื้นที่เศรษฐกิจ ส่วนเวลาและสถานที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าในหนึ่งวัน ที่ไม่ประกาศสถานที่ไปก่อน เพราะมีการใช้วิชามารขัดขวาง โดยกิจกรรมจะฉายความล้มเหลวต่างๆ และถึงเวลาที่ต้องหยุดอำนาจ 3 ป.” นายจตุพร กล่าว
 


 
“พิชัย” ย้ำ “ประยุทธ์” ไปแล้วไปเลย นายกฯ ครบ 8 ปี ชี้ 10 เรื่อง ล้มเหลว
https://www.thairath.co.th/news/politic/2486085

“พิชัย” ย้ำ “ประยุทธ์” ปม 8 ปี นายกฯ ต้องไปแล้วไปเลย อย่ายึดติด ยอมลดตัวลงไปเป็น รมว. กลาโหม ชี้ 10 เรื่องที่สุดแห่งความล้มเหลว และ 4 ปมปัญหาเศรษฐกิจ จะรุนแรงขึ้น แนะ ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง
 
วันที่ 30 ส.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการเสวนาในหัวข้อ “8 ปี ประยุทธ์พอเถอะครับ ประเทศไทยต้องไปต่อ” ที่พรรคเพื่อไทยว่า หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมติศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องทำใจได้แล้วว่า เวลาของพลเอกประยุทธ์ในการบริหารประเทศได้สิ้นสุดแล้ว อย่าได้ดันทุรังต่อไปอีกเลย จะยิ่งสร้างความน่าอับอายให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น การที่ผู้บังคับบัญชาทหารบก ออกมาพูดสดุดีพลเอกประยุทธ์ ก็หมายถึงการกล่าวชมเชยในการสิ้นสุดการทำหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์เท่านั้น ความพยายามของพลเอกประยุทธ์ที่จะยื้อแม้กระทั่งไปนั่งเป็น รมว.กลาโหม เป็นเรื่องที่ประชาชนจำนวนมากเห็นเป็นเรื่องน่าอับอายเหมือนทำใจไม่ได้ ยังยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ยอมลดเกรดตัวเองเพื่อยื้อที่จะอยู่ ทั้งที่ต้องปล่อยวางได้แล้ว ลองคิดดูว่าประชาชนจำนวนมากดีใจอย่างมากที่พลเอกประยุทธ์ออกไป หากพลเอกประยุทธ์กลับมาใหม่จะยิ่งสร้างความโกรธและความไม่พอใจเป็นหลายเท่าทวีคูณ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับประเทศอย่างมาก ดังนั้นเวลาของพลเอกประยุทธ์ได้หมดแล้ว และอย่าพยายามไปล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญต่ออีกเลย เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้ารอดก็น่าจะรอดแต่แรกไปแล้ว
 
ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ และเครือข่าย ได้บริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด สมควรที่จะต้องไปทั้งหมดได้แล้ว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจต้องเรียกว่าล้มเหลวยิ่งกว่าล้มเหลว โดยมีประเด็นที่แสดงความล้มเหลวอย่างที่สุด 10 เรื่องดังนี้
 
1. รัฐบาลประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่สร้างหนี้สาธารณะมากกว่าทุกรัฐบาลในอดีตรวมกัน ทำให้เป็นรัฐบาลที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากสุด
2. เป็นรัฐบาลใช้งบประมาณมากที่สุด แต่เศรษฐกิจกลับขยายตัวได้ต่ำที่สุดเฉลี่ยเพียงปีละ 1% กว่าเท่านั้น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
3. เป็นรัฐบาลที่มีการลงทุนต่างประเทศเฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุด เพราะขาดความน่าเชื่อถือ
4. เป็นรัฐบาลที่ราคาน้ำมันแพงสุด ก๊าซหุงต้มแพงสุด และ ไฟฟ้าแพงสุด ในขณะที่ช่วงที่พลังงานราคาถูกกลับทำเศรษฐกิจให้ขยายตัวไม่ได้ และผลิตไฟฟ้าล้นเกินมากที่สุด จ่ายค่าความพร้อมมากที่สุด
5. เป็นรัฐบาลที่ข้าวของแพงสุด มีเงินเฟ้อสูง แต่ประชาชนรายได้ไม่เพิ่ม
6. เป็นรัฐบาลที่คนจนมากสุด คนตกงานมากสุด และคนฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจมากที่สุด
7. ความสามารถแข่งขันต่ำสุด ขนาด IMD ปรับลดลง 5 อันดับ และ โครงสร้างพื้นฐานเสื่อมสุดไม่ได้มีการพัฒนา
8. มีการใช้งบทางการทหารมากที่สุด ซื้ออาวุธมากที่สุด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
9. เป็นรัฐบาลที่อันดับการทุจริตแย่ที่สุด ปี 2564 อยู่อันดับ 110 จากการจัดอันดับขององค์กรสากล
และ 10. โกหกมากที่สุด บอกว่าเศรษฐกิจดีทั้งที่แย่มาก ตั้งแต่ ขอเวลาอีกไม่นานแต่ลากมา 8 ปี จะคืนความสุขแต่มีแต่ความทุกข์ คนจะอดตายกันหมดแล้ว แต่ยังยืนว่าตนเองบริหารได้ดี
   
นี่เป็น 10 ที่สุดแห่งความล้มเหลวย่ำแย่ที่เป็นผลจากการบริหารของพลเอกประยุทธ์ และเครือข่าย ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้ามาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมี 4 เรื่องดังนี้
 
1. อัตราดอกเบี้ยที่น่าจะขึ้นอีกมาก โดยล่าสุดจากการกล่าวสุนทรพจน์ของนายจาโรม เพาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ระบุชัดเจนว่าสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในอนาคตจนกว่าจะหยุดเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม และจะกระทบภาระหนี้ทั้งหมดทั้งหนี้ภาครัฐและหนี้ของเอกชน ซึ่งจะปัญหาในอนาคตที่หนักหนาสาหัสอย่างมาก
 
2. ราคาไฟฟ้าที่จะต้องขึ้นราคาและแพงขึ้นอีก หลังจากขึ้นเป็นหน่วยละ 4.72 บาทในเดือนกันยายนนี้ เพราะ กฟผ. ยังมีหนี้ค้างอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท จากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาด และการจ่ายค่าความพร้อมที่สูงเกิน ซึ่งจะกระทบความสามารถแข่งขันของไทยได้เพราะราคาไฟฟ้าของไทยจะสูงกว่าของเวียดนามมาก นอกจากนี้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาขึ้นอีกครั้ง รวมถึงราคาก๊าซหุงต้มด้วย
 
3. อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูง ราคาสินค้าเรียงหน้ากันปรับขึ้นราคา แม้กระทั่ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ ไข่ไก่ เป็นต้น ในขณะที่รายได้ของประชาชนไม่เพิ่ม ซึ่งจะส่งผลคนจะลำบากกันมาก ค่าแรงที่ขึ้นไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังตำ่กว่าที่พรรคพลังประชารัฐหาเสียงที่วันละ 400-425 บาทอย่างมาก
 
4. การขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า Twin Deficit ทั้งนี้ เพราะการส่งออกของไทยเริ่มแผ่ว โดยเดือนกรกฎาคม การส่งออกของไทยขยายได้เพียง 4.3% ทำให้ไทยขาดดุลการค้า เดือนก.ค.2565 ถึงมูลค่า 3,660.5 ล้านดอลลาร์ และโดย 7 เดือนขาดดุลการค้ามีมูลค่าถึง 9,916.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มเท่าที่ควร โอกาสไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีสูง ซึ่งจะทำให้ Twin deficit ที่เป็นสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจ
    
"ปัญหา 4 เรื่องนี้ จะเกินมือที่รัฐบาลจะแก้ไขได้ และจะสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก จะบอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ได้เล้ว 8 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าพลเอกประยุทธ์และเครือข่ายล้มเหลวอย่างมาก อย่าพยายามดื้อรั้นต่อไปอีกเลย ประชาชนจะยิ่งจะลำบากกันอย่างมาก ไม่ไหวอย่าฝืนครับ โดยพรรคเพื่อไทยพร้อมเข้ามาแก้ไข และได้คิดนโยบายรองรับไว้แล้ว ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและเลือกพรรคเพื่อไทยมากๆ ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่นานนี้" นายพิชัย กล่าว...
  

  
ค่าไฟพุ่ง เอกชนจ่อปรับราคาสินค้าขึ้น 10% ภายในปีนี้
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1032665
 
FTI Poll เผยผลสำรวจจากภาคเอกชน ส.อ.ท. ค่าไฟพุ่งทำต้นทุนสูง เตรียมปรับราคาสินค้าภายในปี 2565 นี้ 10% ยอมรับซ้ำเติมค่าครองชีพประชาชน ทำไทยเสียโอกาสการแข่งขัน ส่องเวียดนามนโยบายค่าไฟคงที่ วอนรัฐทยอยขึ้นแค่ 5% ต่องวด พร้อมออกมาตรการช่วยลดค่าไฟผู้มีรายได้น้อย
 
วันที่ 30 สิงหาคม 2565 นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 20 ในเดือนสิงหาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “วิกฤตค่าไฟฟ้าแพง กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” พบว่า จากมติสำนักคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 มาอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย

จากค่า Ft งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ที่เก็บอยู่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.72 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18% จากค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ที่เก็บอยู่ 4 บาทต่อหน่วยนั้น
 
จากผลสำรวจ FTI Poll พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มีความกังวลว่าการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงเกินไปในครั้งเดียว จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งต่อไปที่ราคาสินค้าและวัตถุดิบตามต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่ดำเนินนโยบายในการคงอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8 บาทต่อหน่วย ตลอดปี 2565

โดยผลสำรวจพบว่า ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีต้นทุนจากค่าไฟฟ้า คิดเป็น 10-30% จากต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้น การขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ในอัตราที่สูงทันที จะทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความจำเป็นจะต้องปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 10% ภายในปลายปีนี้
 
ในส่วนของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มองว่า ภาครัฐควรพิจารณาทยอยปรับขึ้นค่า Ft โดยให้ค่าไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% ต่องวด (งวดละ 4 เดือน) ควบคู่ไปกับการออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs เช่น การลดค่าไฟฟ้า เป็นต้น
 
เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 จากแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูง ภาระที่ กฟผ.ได้แบกรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิงตั้งแต่เดือนกันยายน 2564-เมษายน 2565 กว่า 83,010 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยส่งต่อต้นทุนดังกล่าวมายังผู้ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่