ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกลายเป็นภาระหนักของประชาชนทุกครัวเรือน สาเหตุหนึ่งที่ถูกพูดถึงคือ การจัดการระบบไฟฟ้าที่ไม่สมดุลและไม่โปร่งใส โดยเฉพาะกรณีโรงไฟฟ้าเอกชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในลักษณะที่เอื้อผลประโยชน์ต่อเอกชนมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ
5 ข้อพิรุธของการจัดการระบบไฟฟ้าที่ทำให้ค่าไฟแพง:
1. การให้สัมปทานโรงไฟฟ้าเอกชนเกินความจำเป็นถึง 54%
ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินกว่าความต้องการใช้งานจริง ซึ่งเป็นผลจากการทำสัญญากับเอกชนแบบ Take or Pay (ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย) ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า แม้โรงไฟฟ้าบางแห่งไม่ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าเลย
2. โรงไฟฟ้าบางแห่งไม่ได้เดินเครื่องเลย
รายงานล่าสุดพบว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 7 ใน 13 แห่งไม่ได้เดินเครื่อง แต่ประชาชนยังคงต้องเสียค่าความพร้อมจ่ายไฟรวมกว่า 2,400 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการที่ไม่โปร่งใส
3. อุปสรรคในการติดตั้ง Solar Roof
การส่งเสริมพลังงานทดแทน เช่น Solar Roof ยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงพลังงานทางเลือกได้
4. ราคาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม
แม้จะสามารถติดตั้ง Solar Roof ได้สำเร็จ แต่ประชาชนต้องเผชิญกับราคาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่สมเหตุสมผล โดยซื้อไฟจากรัฐในราคาหน่วยละ 5 บาท แต่เมื่อขายไฟฟ้าคืนให้รัฐ กลับได้รับเพียง 2.2 บาทต่อหน่วย ทำให้มูลค่าหายไปถึง 2.8 บาทต่อหน่วย
5. ภาระค่าไฟในอนาคต
หากยังไม่มีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการ คาดการณ์ว่าในปี 2025 ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งอาจสร้างปัญหาใหญ่ให้กับภาคครัวเรือนและธุรกิจ
ประชาชนจะรับมืออย่างไร?
• ปรับพฤติกรรมประหยัดพลังงาน:
• ปิดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น
• ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
• ส่งเสริมพลังงานทดแทน:
สนับสนุนการติดตั้ง Solar Roof ในครัวเรือน และผลักดันให้รัฐปรับขั้นตอนให้ง่ายขึ้น รวมถึงปรับราคาซื้อขายไฟฟ้าให้เป็นธรรม
• เรียกร้องความโปร่งใสจากภาครัฐ:
ประชาชนควรตรวจสอบและตั้งคำถามกับการจัดการระบบไฟฟ้าของรัฐ โดยเฉพาะนโยบายที่เอื้อผลประโยชน์ต่อเอกชนเกินไป
สรุป:
ค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวและนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่เอกชนอย่างไม่สมดุล การแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มจากการปรับปรุงระบบบริหารจัดการพลังงานให้โปร่งใส และสนับสนุนพลังงานทางเลือกเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดค่าใช้จ่ายและสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน
คนไทยเหวอ ! เจอโรงไฟฟ้าเอกชน ชี้ ‘ปัญหาค่าไฟแพง’ ที่ประชาชนต้องแบกรับ
5 ข้อพิรุธของการจัดการระบบไฟฟ้าที่ทำให้ค่าไฟแพง:
1. การให้สัมปทานโรงไฟฟ้าเอกชนเกินความจำเป็นถึง 54%
ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินกว่าความต้องการใช้งานจริง ซึ่งเป็นผลจากการทำสัญญากับเอกชนแบบ Take or Pay (ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย) ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า แม้โรงไฟฟ้าบางแห่งไม่ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าเลย
2. โรงไฟฟ้าบางแห่งไม่ได้เดินเครื่องเลย
รายงานล่าสุดพบว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 7 ใน 13 แห่งไม่ได้เดินเครื่อง แต่ประชาชนยังคงต้องเสียค่าความพร้อมจ่ายไฟรวมกว่า 2,400 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการที่ไม่โปร่งใส
3. อุปสรรคในการติดตั้ง Solar Roof
การส่งเสริมพลังงานทดแทน เช่น Solar Roof ยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงพลังงานทางเลือกได้
4. ราคาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม
แม้จะสามารถติดตั้ง Solar Roof ได้สำเร็จ แต่ประชาชนต้องเผชิญกับราคาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่สมเหตุสมผล โดยซื้อไฟจากรัฐในราคาหน่วยละ 5 บาท แต่เมื่อขายไฟฟ้าคืนให้รัฐ กลับได้รับเพียง 2.2 บาทต่อหน่วย ทำให้มูลค่าหายไปถึง 2.8 บาทต่อหน่วย
5. ภาระค่าไฟในอนาคต
หากยังไม่มีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการ คาดการณ์ว่าในปี 2025 ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งอาจสร้างปัญหาใหญ่ให้กับภาคครัวเรือนและธุรกิจ
ประชาชนจะรับมืออย่างไร?
• ปรับพฤติกรรมประหยัดพลังงาน:
• ปิดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น
• ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
• ส่งเสริมพลังงานทดแทน:
สนับสนุนการติดตั้ง Solar Roof ในครัวเรือน และผลักดันให้รัฐปรับขั้นตอนให้ง่ายขึ้น รวมถึงปรับราคาซื้อขายไฟฟ้าให้เป็นธรรม
• เรียกร้องความโปร่งใสจากภาครัฐ:
ประชาชนควรตรวจสอบและตั้งคำถามกับการจัดการระบบไฟฟ้าของรัฐ โดยเฉพาะนโยบายที่เอื้อผลประโยชน์ต่อเอกชนเกินไป
สรุป:
ค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวและนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่เอกชนอย่างไม่สมดุล การแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มจากการปรับปรุงระบบบริหารจัดการพลังงานให้โปร่งใส และสนับสนุนพลังงานทางเลือกเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดค่าใช้จ่ายและสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน