มีดินแดนแห่งหนึ่งบนสถานที่ที่สูงที่สุดในโลก ที่มีธรรมชาติอันสวยงามแปลกตา
ดินแดนแห่งนั้นเคยเร้นกายจากโลกภายนอกมาอย่างช้านานด้วยปราการขวางกั้นที่เป็นเทือกเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนตลอดทั้งปี
เทือกเขาอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นเองที่เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างมากมายรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย
และไม่น่าเชื่อว่าบนที่ราบสูงขนาดนั้นจะมีทะเลสาบมากมาย ทะเลสาบที่สีของน้ำสะท้อนแสงแดดอย่างสวยงามน่าพิศวง
ยิ่งเมื่อตัดกับเทือกเขาน้อยใหญ่ด้านหลังยิ่งก่อให้เกิดทัศนีภายภาพที่สวยงามจับใจ
ในขณะที่สิ่งก่อสร้าง ผู้คน และวัฒนธรรมที่แสดงออกมาก็สัมผัสได้เลยว่าเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ และศรัทธาอันแรงกล้าต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
จึงได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้ขนาดนี้
ความผูกพันกับธรรมชาติและศรัทธาอันคงมั่นก่อให้เกิดเสน่ห์ และมนต์ขลังอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ณ ดินแดนแห่งนี้
“ทิเบต: อ้อมกอดหิมาลัย ลมหายใจแห่งขุนเขา ดินแดนแห่งศรัทธาบนหลังคาโลก”
สวัสดีครับ ไม่ได้โพสต์มานานเลย วันนี้อยากมาแบ่งปันประสบการณ์ทริปที่มีความสุขมาก ประทับใจมากที่สุดทริปหนึ่ง และรู้สึกดีใจมากที่ครั้งหนึ่งได้มาสักที (การได้เห็น Everest ตรงหน้า มันติดตาตรึงใจมากเลยนะ ❤)
ก่อนอื่นขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็น 3 ส่วนนะครับ (แรงบันดาลใจ, ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต และการท่องเที่ยว)
1. แรงบันดาลใจ และการเริ่มต้น(อันยาวนาน)
1.1 เดิมรู้เพียงผิวเผินว่า ทิเบต หรือดินแดนหลังคาโลกนี้เป็นส่วนหนึ่งของจีน และเป็นที่ตั้งของเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก "หิมาลัย" เท่านั้น
1.2 จนเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ได้อ่านหนังสือ "Tibet code" "รหัสลับหลังคาโลก" ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่านี่คือ “One of the most underrated novel” !! 😱
เนื้อเรื่องโดยสรุปคือ ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักธุรกิจจีน และเป็นคุณชายตระกูลทิเบตเก่าแก่ ได้เห็นภาพถ่ายของ"กิเลนม่วง" (ซึ่งก็คือหมา Tibetan mastiff ขนสีม่วง) แล้วรู้สึกหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จนสืบได้เบาะแสที่อยู่ของหมา ซึ่งก็คือวิหารศักดิ์สิทธิ์พาปาลา ซึ่งอยู่ใน "ซัมบาลา"
- ดินแดนลึกลับที่ว่ากันว่าเป็น “สวรรค์” ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย
- ดินแดนที่มองเห็นท้องฟ้าเป็นเพียงเส้นเดียว
- ดินแดนที่ทางเข้ามีเพียง 2 เส้นทาง
🗻 หนึ่งคือ ทางเข้าจากฟากฟ้าเหนือหิมาลัยซี่งสูงกว่าเมฆและคาดเดาสภาพอากาศไม่ได้
🛶 สองคือ การล่องเรือผ่านแม่น้ำยมโลกอันมืดมิดซึ่งมองไม่เห็นสิ่งใดๆที่อยู่เบื้องหน้า ผ่านวันและเวลาอันยาวนาน อันทำให้นักเดินทางได้รู้จักความกลัวที่สุดของมนุษย์ ซึ่งก็คือ "ความไม่รู้"
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นตามร่างราวที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของการผูกปมในเนื้อเรื่อง ความรู้ของผู้เขียนที่ลึกซึ้งในศาสตร์ที่หลากหลายทั้ง ประวัติศาสตร์ ศาสนวิทยา การแพทย์ การใช้ชีวิตกลางแจ้ง ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดก็คือ "จินตนาการล้ำลึกสุดหยั่งถึง"
และนี่คือก็แรงบันดาลใจในการไปทิเบตของผมครับ แม้ไม่ได้เห็นซัมบาลา แต่ก็อยากไปสัมผัสดินแดนแห่งนี้สักครั้ง
1.3 ในใจก็หวังลึกๆมาตลอดว่าจะได้ไปทิเบตในสักวัน แต่คิดว่าคงยากที่จะได้ไปจริง สาเหตุหลักก็เพราะคิดว่าด้วยสภาพที่ออกซิเจนในอากาศน้อยนั้น น่าจะทำให้น้องโบไม่น่าไหวนั่นเอง แต่แล้วเจ้าตัวก็เป็นคนขอมาเองซะนี่ (เพื่อนๆหลายคนคิดว่าบังคับโบมาใช่ไหม) และแล้วทริปก็(น่าจะ)เริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ด้วยโควิด ก็เลยได้เลื่อนยาวมาจนถึงตอนนี้ครับ
2. ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต
2.1 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ไม่สามารถเที่ยวเองได้
ทิเบตไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นประเทศนะครับ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง (Tibet Autonomous region) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน และเนื่องจากจีนไม่อนุญาตเที่ยวทิเบตได้ด้วยตัวเอง จึงต้องใช้ไกด์ท้องถิ่น (หรือบางคนอาจซื้อทัวร์จากไทยไป) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมทีเดียว เนื่องจากความยากลำบากของเส้นทางเอย อากาศอันหนาวเย็นเอย ปริมาณออกซิเจนที่ลดลงสวนทางกับระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเอย เหล่านี้อาจทำให้การเที่ยวเอง “ขิต” ได้เลยครับ
สำหรับทริปนี้เราใช้บริการ Local tour ที่ชื่อ China Yak ครับ
2.2 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: การขออนุญาตเข้าทิเบต
เนื่องจากทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน เราจึงต้องมีวีซ่าจีน นอกจากนั้นแล้วเรายังต้องมี Tibet permits อีกด้วยครับ ซึ่งบริษัททัวร์จะเป็นผู้ขออนุญาตกับทางการจีนให้เรา โดยเราต้องมีวีซ่าจีนก่อน แล้วนำสำเนาส่งไปยังบริษัททัวร์
Tips: การขอวีซ่าจีน อย่าเพิ่งแจ้งว่าจะไปทิเบต เพราะต้องแสดง Tibet permits ซึ่งการที่เราจะมี Tibet permits ได้ ต้องมีวีซ่าจีนก่อน (ซะงั้น 😅)
*ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 (2024) เป็นต้นไป คนไทยได้ฟรีวีซ่าท่องเที่ยวจีนนะครับ*
2.3 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: เวลาและฤดูกาลท่องเที่ยว
แม้ว่าทิเบตจะอยู่ตะวันตกกว่าประเทศไทย แต่เวลาที่ทิเบตเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงเท่านั้น??
นั่นเพราะแผ่นดินจีนนั้นกว้างใหญ่ แต่ใช้ time zone เดียวกันทั้งประเทศโดยยึดนครปักกิ่งซึ่งอยู่ทางตะวันออก
ดังนั้นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ทิเบตจะค่อนข้างช้ากว่าปรกตินะครับ
เนื่องจากดินแดนหลังคาโลกแห่งนี้เป็นที่ราบสูง จึงมีอากาศหนาวถึงหนาวมากตลอดทั้งปี ฤดูกาลท่องเที่ยวนั้นจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ไปจนถึง ต้นเดือนพฤศจิกายน (ยกเว้นเดือน สิงหาคม-กันยายน เพราะมีลมพายุแรง) เพราะนอกจากช่วงเวลาดังกล่าวทิเบตจะมีอากาศที่หนาวจัด ไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวนั่นเอง 🥶
2.4 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ค่าเงินและค่าครองชีพ
- CNY, RMB โดย 1 หยวน มีค่าประมาณ 5 บาท
- ค่าอาหารในทิเบตค่อนข้างสูงกว่าในจีนเล็กน้อยนะครับ อาจเนื่องมาจากทิเบตอยู่บนที่ราบสูง(มาก) และพื้นที่เพาะปลูกมีน้อย จึงต้องอาศัยการขนส่งเข้ามา
- พวกของฝากของที่ระลึก สามารถต่อราคาได้ตั้งแต่ 50-70% เลย 😍
2.5 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ศาสนา วัฒนธรรม อาหารการกิน
- ศาสนาพุทธของทิเบตไม่เหมือนใคร
นิกาย “วัชรยาน” ที่แตกต่างนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของทิเบตเลยครับ ทั้งสิ่งก่อสร้างทางศาสนา และการแสดงออกด้วยความเคารพต่อศาสนสถาน ศาสนวัตถุที่น่าจะอยู่ในระดับฝังรากลึกถึงจิตวิญญาณของศาสนิกชนเลยทีเดียว... ส่วนศาสนาอื่นก็มีบ้าง เช่นอิสลาม
- ชาวทิเบตมีความผูกพันกับตัวจามรี (พวกวัวขนยาว) มากเลยครับ โดยทั้งใช้งาน และนำผลิตภัณฑ์ของมันมาใช้อุปโภค บริโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำนมที่อาจนำมาใส่ในน้ำชา เนย และการกินเนื้อของมัน ส่วนขนก็นำมาทำพรมและเสื้อผ้าได้
- ธัญพืชหลักที่ชาวทิเบตนิยมบริโภคคือ ข้าวบาร์เลย์ โดยนิยมนำมาทำเป็นผงพร้อมรับประทานที่ชื่อว่า ซัมปา (Tsampa)
- ส่วนอาหารอื่นๆที่หาทานได้ในทิเบตก็มักจะเป็นอาหารจีน เสฉวน ซึ่งรสชาติอร่อยดี ดังนั้นทริปนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องครับ 😁
- ชาวทิเบตมักไม่อาบน้ำ โดยตามความเชื่อนั้น ชาวทิเบตจะอาบน้ำเพียง 3 ครั้งในชีวิต โดยอาบด้วยตัวเองเพียง 1 ครั้ง (ตอนแต่งงาน) และผู้อื่นอาบให้อีก 2 ครั้ง (เกิด และตาย)
2.7 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ไฟฟ้า
ใช้ไฟฟ้าความต่างศักย์ 220 โวลต์เหมือนไทย ส่วนเต้าเสียบส่วนใหญ่ก็ใช้แบบไทยเลย แต่บางสถานที่จะเสียบไม่ได้ ดังนั้นพวก travel adapter ไปด้วยก็ดีครับ
2.7 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: การเดินทางจากประเทศไทย
- เครื่องบิน: ไม่มีเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศไทยและกรุงลาซา (เมืองหลวงของทิเบต) นะครับ ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศจีน ซึ่งมีให้เลือกแวะหลายเมือง ที่นิยมกันได้แก่เฉิงตู และคุนหมิง ซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างสูงกว่าระดับน้ำทะเล จะได้ให้ร่างกายปรับตัวกับที่สูงไปในตัวด้วย
- รถไฟ: มีรถไฟเข้าสู่กรุงลาซา ทั้งแบบนั่งและแบบนอนนะครับ (รถไฟสายหลังคาโลกมีทัศนียภาพที่สวยงามแปลกตามากๆเลยนะ) ดังนั้นถ้าใครต่อรถไฟจากไทย-ลาว-จีน ได้ ก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้เลย แต่ใช้เวลาเยอะ(ไม่หน่อย) ส่วนรถไฟความเร็วสูงนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้างนะครับ
2.7 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: เน็ตมือถือ
เนื่องจากทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจีน ban แอพพลิเคชั่นต่างๆจากสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากเราซื้อ sim card ก็จะไม่สามารถใช้แอพฯอเมริกา เช่น Facebook, Google, Youtube ได้นะครับ ถ้าอยากใช้บริการแอพฯเหล่านี้ต้องเปิด roaming จากประเทศไทยไป และต้องใช้เน็ตจาก mobile data เท่านั้น ไม่สามารถใช้ wifi เล่นแอพฯเหล่านี้ได้
2.8 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: อากาศที่เบาบาง***
สมญา “ดินแดนหลังคาโลก” ของทิเบตนั้น ได้มาจากการที่ภูมิประเทศของทิเบตเป็นที่ราบสูง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สูงที่สุดในโลก!!!ด้วยความสูงเฉลี่ยถึง 4380 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเป็นหนึ่งในที่ตั้งของเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่าง “เทือกเขาหิมาลัย” ซึ่งด้วยระดับความสูงนี้เอง ทำให้ความดันอากาศต่ำ และออกซิเจนน้อย ดังนั้นจึงอาจเกิดอาการแพ้ที่สูง (Acute mountain sickness, AMS) ซึ่งอาจเกิดอาการในระดับไม่รุนแรง เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย อาเจียน ไปจนถึงอาการที่รุนแรง ได้แก่ สมองบวม สับสน เดินเซ เหนื่อยเมื่อออกแรง ไปจนถึงเหนื่อยแม้จะอยู่เฉยๆ และเสียชีวิตได้เลย 😣
ซึ่งอาการแพ้ที่สูงนี้ พอจะเตรียมตัวเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการได้บ้างโดยการทานยาไปล่วงหน้า โดยยาที่นิยมกันมีทั้งยาแผนปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Diamox และแผนจีนซึ่งก็คือ หงจิ่งเทียน ในทริปนี้ผมเลือกทานหงจิ่งเทียนไปล่วงหน้า 7 วันครับ
ส่วนการบรรเทาอาการที่หน้างาน ก็จะมีตัวช่วยคือ “ออกซิเจนกระป๋อง” เห็นว่าสูดฟื้ดแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้นมา 😆
หลังจากรวบรวมเพื่อนร่วมทริปได้แล้วทั้งหมด 6 คน เราก็เริ่มออกเดินทางเมื่อเดือน ตุลาคมที่ผ่านมาครับ นี่คือสรุปแผนการเดินทางของเรา
เราใช้เวลาเที่ยวทิเบต 7 วันครับ โดยแวะ stopover ที่เฉิงตูแล้วบินเข้าลาซา โดย Local guide ที่จ้างไว้จะมารับ แล้วพาออกท่องเที่ยวดินแดนหลังคาโลก โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ พระราชวังโปตาลา ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ยัมดรก การได้ถ่ายรูปกับจามรี เล่นกับน้องหมาทิเบต และการได้ไปเห็น “เอเวอเรสต์” ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกสักครั้งในชีวิต!! จากนั้นออกจากทิเบตด้วย “รถไฟสายหลังคาโลก” ค้างคืนบนรถไฟ เข้าสู่เมืองเฉิงตู แล้วบินกลับไทยครับ 😊
เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!!!
เดี๋ยวมาต่อนะคร้าบ
ถ้าชอบโพสต์ ก็รบกวนให้กำลังใจด้วยการไปติดตามเพจและโพสต์ด้วยนะครับผม ที่เพจ
Travel together - เที่ยวด้วยกันหมอฟันรีวิว
หรือตามลิงค์ไปได้เลยคร้าบ
[CR] “ทิเบต: อ้อมกอดหิมาลัย ลมหายใจแห่งขุนเขา ดินแดนแห่งศรัทธาบนหลังคาโลก”
ก่อนอื่นขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็น 3 ส่วนนะครับ (แรงบันดาลใจ, ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต และการท่องเที่ยว)
1. แรงบันดาลใจ และการเริ่มต้น(อันยาวนาน)
1.1 เดิมรู้เพียงผิวเผินว่า ทิเบต หรือดินแดนหลังคาโลกนี้เป็นส่วนหนึ่งของจีน และเป็นที่ตั้งของเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก "หิมาลัย" เท่านั้น
1.2 จนเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ได้อ่านหนังสือ "Tibet code" "รหัสลับหลังคาโลก" ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่านี่คือ “One of the most underrated novel” !! 😱
เนื้อเรื่องโดยสรุปคือ ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักธุรกิจจีน และเป็นคุณชายตระกูลทิเบตเก่าแก่ ได้เห็นภาพถ่ายของ"กิเลนม่วง" (ซึ่งก็คือหมา Tibetan mastiff ขนสีม่วง) แล้วรู้สึกหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จนสืบได้เบาะแสที่อยู่ของหมา ซึ่งก็คือวิหารศักดิ์สิทธิ์พาปาลา ซึ่งอยู่ใน "ซัมบาลา"
- ดินแดนลึกลับที่ว่ากันว่าเป็น “สวรรค์” ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย
- ดินแดนที่มองเห็นท้องฟ้าเป็นเพียงเส้นเดียว
- ดินแดนที่ทางเข้ามีเพียง 2 เส้นทาง
🗻 หนึ่งคือ ทางเข้าจากฟากฟ้าเหนือหิมาลัยซี่งสูงกว่าเมฆและคาดเดาสภาพอากาศไม่ได้
🛶 สองคือ การล่องเรือผ่านแม่น้ำยมโลกอันมืดมิดซึ่งมองไม่เห็นสิ่งใดๆที่อยู่เบื้องหน้า ผ่านวันและเวลาอันยาวนาน อันทำให้นักเดินทางได้รู้จักความกลัวที่สุดของมนุษย์ ซึ่งก็คือ "ความไม่รู้"
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นตามร่างราวที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของการผูกปมในเนื้อเรื่อง ความรู้ของผู้เขียนที่ลึกซึ้งในศาสตร์ที่หลากหลายทั้ง ประวัติศาสตร์ ศาสนวิทยา การแพทย์ การใช้ชีวิตกลางแจ้ง ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดก็คือ "จินตนาการล้ำลึกสุดหยั่งถึง"
และนี่คือก็แรงบันดาลใจในการไปทิเบตของผมครับ แม้ไม่ได้เห็นซัมบาลา แต่ก็อยากไปสัมผัสดินแดนแห่งนี้สักครั้ง
1.3 ในใจก็หวังลึกๆมาตลอดว่าจะได้ไปทิเบตในสักวัน แต่คิดว่าคงยากที่จะได้ไปจริง สาเหตุหลักก็เพราะคิดว่าด้วยสภาพที่ออกซิเจนในอากาศน้อยนั้น น่าจะทำให้น้องโบไม่น่าไหวนั่นเอง แต่แล้วเจ้าตัวก็เป็นคนขอมาเองซะนี่ (เพื่อนๆหลายคนคิดว่าบังคับโบมาใช่ไหม) และแล้วทริปก็(น่าจะ)เริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ด้วยโควิด ก็เลยได้เลื่อนยาวมาจนถึงตอนนี้ครับ
2. ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต
2.1 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ไม่สามารถเที่ยวเองได้
ทิเบตไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นประเทศนะครับ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง (Tibet Autonomous region) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน และเนื่องจากจีนไม่อนุญาตเที่ยวทิเบตได้ด้วยตัวเอง จึงต้องใช้ไกด์ท้องถิ่น (หรือบางคนอาจซื้อทัวร์จากไทยไป) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมทีเดียว เนื่องจากความยากลำบากของเส้นทางเอย อากาศอันหนาวเย็นเอย ปริมาณออกซิเจนที่ลดลงสวนทางกับระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเอย เหล่านี้อาจทำให้การเที่ยวเอง “ขิต” ได้เลยครับ
สำหรับทริปนี้เราใช้บริการ Local tour ที่ชื่อ China Yak ครับ
เนื่องจากทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน เราจึงต้องมีวีซ่าจีน นอกจากนั้นแล้วเรายังต้องมี Tibet permits อีกด้วยครับ ซึ่งบริษัททัวร์จะเป็นผู้ขออนุญาตกับทางการจีนให้เรา โดยเราต้องมีวีซ่าจีนก่อน แล้วนำสำเนาส่งไปยังบริษัททัวร์
Tips: การขอวีซ่าจีน อย่าเพิ่งแจ้งว่าจะไปทิเบต เพราะต้องแสดง Tibet permits ซึ่งการที่เราจะมี Tibet permits ได้ ต้องมีวีซ่าจีนก่อน (ซะงั้น 😅)
*ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 (2024) เป็นต้นไป คนไทยได้ฟรีวีซ่าท่องเที่ยวจีนนะครับ*
2.3 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: เวลาและฤดูกาลท่องเที่ยว
แม้ว่าทิเบตจะอยู่ตะวันตกกว่าประเทศไทย แต่เวลาที่ทิเบตเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงเท่านั้น??
นั่นเพราะแผ่นดินจีนนั้นกว้างใหญ่ แต่ใช้ time zone เดียวกันทั้งประเทศโดยยึดนครปักกิ่งซึ่งอยู่ทางตะวันออก
ดังนั้นเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ทิเบตจะค่อนข้างช้ากว่าปรกตินะครับ
เนื่องจากดินแดนหลังคาโลกแห่งนี้เป็นที่ราบสูง จึงมีอากาศหนาวถึงหนาวมากตลอดทั้งปี ฤดูกาลท่องเที่ยวนั้นจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ไปจนถึง ต้นเดือนพฤศจิกายน (ยกเว้นเดือน สิงหาคม-กันยายน เพราะมีลมพายุแรง) เพราะนอกจากช่วงเวลาดังกล่าวทิเบตจะมีอากาศที่หนาวจัด ไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวนั่นเอง 🥶
2.4 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ค่าเงินและค่าครองชีพ
- CNY, RMB โดย 1 หยวน มีค่าประมาณ 5 บาท
- ค่าอาหารในทิเบตค่อนข้างสูงกว่าในจีนเล็กน้อยนะครับ อาจเนื่องมาจากทิเบตอยู่บนที่ราบสูง(มาก) และพื้นที่เพาะปลูกมีน้อย จึงต้องอาศัยการขนส่งเข้ามา
- พวกของฝากของที่ระลึก สามารถต่อราคาได้ตั้งแต่ 50-70% เลย 😍
2.5 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ศาสนา วัฒนธรรม อาหารการกิน
- ศาสนาพุทธของทิเบตไม่เหมือนใคร
นิกาย “วัชรยาน” ที่แตกต่างนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของทิเบตเลยครับ ทั้งสิ่งก่อสร้างทางศาสนา และการแสดงออกด้วยความเคารพต่อศาสนสถาน ศาสนวัตถุที่น่าจะอยู่ในระดับฝังรากลึกถึงจิตวิญญาณของศาสนิกชนเลยทีเดียว... ส่วนศาสนาอื่นก็มีบ้าง เช่นอิสลาม
- ชาวทิเบตมีความผูกพันกับตัวจามรี (พวกวัวขนยาว) มากเลยครับ โดยทั้งใช้งาน และนำผลิตภัณฑ์ของมันมาใช้อุปโภค บริโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำนมที่อาจนำมาใส่ในน้ำชา เนย และการกินเนื้อของมัน ส่วนขนก็นำมาทำพรมและเสื้อผ้าได้
- ธัญพืชหลักที่ชาวทิเบตนิยมบริโภคคือ ข้าวบาร์เลย์ โดยนิยมนำมาทำเป็นผงพร้อมรับประทานที่ชื่อว่า ซัมปา (Tsampa)
- ส่วนอาหารอื่นๆที่หาทานได้ในทิเบตก็มักจะเป็นอาหารจีน เสฉวน ซึ่งรสชาติอร่อยดี ดังนั้นทริปนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องครับ 😁
- ชาวทิเบตมักไม่อาบน้ำ โดยตามความเชื่อนั้น ชาวทิเบตจะอาบน้ำเพียง 3 ครั้งในชีวิต โดยอาบด้วยตัวเองเพียง 1 ครั้ง (ตอนแต่งงาน) และผู้อื่นอาบให้อีก 2 ครั้ง (เกิด และตาย)
2.7 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: ไฟฟ้า
ใช้ไฟฟ้าความต่างศักย์ 220 โวลต์เหมือนไทย ส่วนเต้าเสียบส่วนใหญ่ก็ใช้แบบไทยเลย แต่บางสถานที่จะเสียบไม่ได้ ดังนั้นพวก travel adapter ไปด้วยก็ดีครับ
2.7 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: การเดินทางจากประเทศไทย
- เครื่องบิน: ไม่มีเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศไทยและกรุงลาซา (เมืองหลวงของทิเบต) นะครับ ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศจีน ซึ่งมีให้เลือกแวะหลายเมือง ที่นิยมกันได้แก่เฉิงตู และคุนหมิง ซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างสูงกว่าระดับน้ำทะเล จะได้ให้ร่างกายปรับตัวกับที่สูงไปในตัวด้วย
- รถไฟ: มีรถไฟเข้าสู่กรุงลาซา ทั้งแบบนั่งและแบบนอนนะครับ (รถไฟสายหลังคาโลกมีทัศนียภาพที่สวยงามแปลกตามากๆเลยนะ) ดังนั้นถ้าใครต่อรถไฟจากไทย-ลาว-จีน ได้ ก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้เลย แต่ใช้เวลาเยอะ(ไม่หน่อย) ส่วนรถไฟความเร็วสูงนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้างนะครับ
เนื่องจากทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจีน ban แอพพลิเคชั่นต่างๆจากสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากเราซื้อ sim card ก็จะไม่สามารถใช้แอพฯอเมริกา เช่น Facebook, Google, Youtube ได้นะครับ ถ้าอยากใช้บริการแอพฯเหล่านี้ต้องเปิด roaming จากประเทศไทยไป และต้องใช้เน็ตจาก mobile data เท่านั้น ไม่สามารถใช้ wifi เล่นแอพฯเหล่านี้ได้
2.8 ข้อควรรู้ก่อนไปทิเบต: อากาศที่เบาบาง***
สมญา “ดินแดนหลังคาโลก” ของทิเบตนั้น ได้มาจากการที่ภูมิประเทศของทิเบตเป็นที่ราบสูง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สูงที่สุดในโลก!!!ด้วยความสูงเฉลี่ยถึง 4380 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และเป็นหนึ่งในที่ตั้งของเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่าง “เทือกเขาหิมาลัย” ซึ่งด้วยระดับความสูงนี้เอง ทำให้ความดันอากาศต่ำ และออกซิเจนน้อย ดังนั้นจึงอาจเกิดอาการแพ้ที่สูง (Acute mountain sickness, AMS) ซึ่งอาจเกิดอาการในระดับไม่รุนแรง เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย อาเจียน ไปจนถึงอาการที่รุนแรง ได้แก่ สมองบวม สับสน เดินเซ เหนื่อยเมื่อออกแรง ไปจนถึงเหนื่อยแม้จะอยู่เฉยๆ และเสียชีวิตได้เลย 😣
ซึ่งอาการแพ้ที่สูงนี้ พอจะเตรียมตัวเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการได้บ้างโดยการทานยาไปล่วงหน้า โดยยาที่นิยมกันมีทั้งยาแผนปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Diamox และแผนจีนซึ่งก็คือ หงจิ่งเทียน ในทริปนี้ผมเลือกทานหงจิ่งเทียนไปล่วงหน้า 7 วันครับ
ส่วนการบรรเทาอาการที่หน้างาน ก็จะมีตัวช่วยคือ “ออกซิเจนกระป๋อง” เห็นว่าสูดฟื้ดแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้นมา 😆
เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!!!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้