[CR] ทิเบต นั่งรถไฟเหาะไปหลังคาโลก : ตอน 1 นั่งรถไฟไต่ขอบฟ้าไปลาซา



เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต เส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก

เมื่อประมาณเกือบสิบปีก่อน ผมได้ข่าวว่ามีเส้นทางรถไฟสายหนึ่งที่แล่นผ่านที่ราบสูงสองแห่งในโลก คือที่ราบสูงชิงไห่ และที่ราบสูงทิเบต แล่นผ่านภูมิประเทศอันงดงามตระการตา แล่นผ่านทะเลสาบ ผ่านภูเขาหิมะน้ำแข็ง ผ่านเทือกเขาสีน้ำตาล ผ่านสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก เกือบห้าพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ผมสงสัยว่ามันคือที่ไหนกันหนอ และตั้งความฝันว่าอยากจะไปให้ได้สักครั้งในชีวิต


ภาพจาก https://www.chinatibettrain.com/xining-tibet-tours-by-train/


ภาพจาก https://www.lonelyplanet.com


ภาพจาก https://www.travelchinaguide.com

พอไปค้นดูข้อมูลดูจึงรู้ว่าเส้นทางรถไฟสายนี้ เป็นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก เริ่มจากเมืองซีหนิงในมณฑลซินเจียงของประเทศจีน สุดทางที่เมืองลาซาในมณฑลทิเบต เป็นระยะทางยาว ถึง 1,956 กม. และไม่เพียงแต่เชื่อมต่อซีหนิงและลาซาเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรถไฟที่กว้างใหญ่ของจีน หมายความว่าคุณจะนั่งรถไฟจากเซี่ยงไฮ้ หรือจากปักกิ่ง หรือจากเฉิงตู หรือจากซีอานวิ่งตรงยาวไปลาซาได้เลย

และนี่คือความมหัศจรรย์ของเส้นทางรถไฟสายชิงไห่ทิเบต

- เริ่มเปิดใช้บริการเมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2006

- จาก Xining ถึง Golmud (เกอเอ๋อมู่) จะวิ่งด้วยความเร็ว 140 กม./ชม.

- จาก Golmud ถึง Lhasa จะวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ในบริเวณพื้นผิวดินทีเป็นน้ำแข็ง และ 120 กม./ชม. ในบริเวณพื้นผิวดินที่ไม่เป็นน้ำแข็ง

- เลยจาก Golmud ไป เส้นทางรถไฟจะผ่านอุโมงค์เฟิงหั่วซานบนเขตชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,910 เมตร

- มีสถานีรถไฟถังกูลาซานตั้งอยู่บนที่ราบสูง 5,068 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นสถานีรถไฟเส้นที่สูงที่สุดในโลก

- สะพานใหญ่ชิงสุ่ยเหอ เป็นสะพานทางรถไฟบนชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่ยาวที่สุดในโลก 11.7 กิโลเมตร ใน โฮ ซิล (Hoh Xil) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลชิงไห่ แล่นไปบนสะพานใหญ่ซานช่าเหอ ที่มีเสาสูง 54 เมตร


- ขบวนรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต วิ่งผ่านจุดกำเนิดแม่น้ำสายสำคัญของโลกถึงห้าสายคือ หวงเหอหรือแม่น้ำเหลือง แยงซีเกียง แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นธารอารยธรรมสำคัญของโลก อาทิ อารยธรรมจีนและอารยธรรมอินเดีย

- แล่นผ่านทะเลสาบชั่วน่า ซึ่งอยู่สูง 4,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล หนึ่งในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของท้องถิ่น


ภาพจาก https://tripderntang.com

- เมื่อใกล้ถึงเมืองลาซาจะผ่าน ภูเขา Nyenchen Tanglha

- แล่นผ่านทุ่งปศุสัตว์กว้างใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงคนทิเบต ผ่านฝูงแกะ ฝูงแอนทิโลป หรือเลียงผาทิเบต ตามแนวเส้นทางรถไฟชิงไห่-ทิเบต

เส้นทางรถไฟสายนี้จึงเป็นเส้นทางรถไฟสายมหัศจรรย์ที่หลายคนฝันอยากไปเยือน รวมทั้งผม

ลาซาที่ชุมนุมของมนต์แห่งวิญญาณ

สุดทางของเส้นทางรถไฟสายนี้คือ “ลาซา”

แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ที่สำคัญ บางเมืองเป็นศูนย์รวมของความเจริญและทันสมัย บางเมืองเป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมโบราณอันเก่าแก่ บางเมืองเรียบง่ายและสงบงาม บางเมืองแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

แต่ ลาซา (Lhasa) เป็นเมืองโบราณที่ยังมีชีวิต ยังเจิดจรัส ดุจอัญมณีในที่ราบสูงหิมาลัย เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ศรัทธาแห่งศาสนา ทุกอณูของเมืองเต็มไปด้วยการฝึกปฏิบัติ ภาวนา ทุกหนทุกแห่งจะดังก้องไปด้วยบทสวดภาษาสันสกฤตและทิเบต ทุกสายลมเต็มไปด้วยมนต์ที่ออกมาจากกงล้อแห่งมนต์และธงทิว วัตรปฏิบัติอันงดงามของพระและลามะ

กาลเวลาเคลื่อนผ่านนับสองพันปี นับตั้งแต่กษัตริย์แห่งทิเบตตกลงพระทัยสร้างวัดโจคังตรงบริเวณที่เคยเป็นทะเลสาบ ตรงที่เป็นใจกลางแห่งที่ราบหิมาลัย ใจกลางของโลก ศูนย์กลางของวงกลมมันตรา ตามคติไตรภูมิ ซึ่งเป็นคติแห่งพุทธทุกนิกาย โจคังและถนนแปดเหลี่ยมได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณของผู้คนแห่งหิมาลัย เช่นเดียวกับที่กาฏมาณฑุเป็น


ผ่านมานับพันปีก็ยังเป็นเช่นนั้น ถึงจีนจะเข้ามาควบคุม ถึงโลกจะเปลี่ยนเข้าสู่ยุค 5G แต่ผู้คนแห่งลาซาเป็นนิรันดร์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง การเดินสวดมนต์ การกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์จากบ้านไปสู่วัดโจคังอันศักดิ์สิทธิ์ พันปีก่อนทำเช่นไร ปัจจุปันกาลก็เป็นเช่นนั้น ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของบรรยากาศและวิถีแห่งทิเบต ที่เมืองโบราณแห่งลาซายังมีเต็มเปี่ยม

สำหรับคนลาซา ศาสนาคือลมหายใจ คือรากโคนแห่งชีวิต คัมภีร์แห่งศาสนาคือคัมภีร์ชีวิต ชาวทิเบตเมื่อบวชเป็นพระแล้ว เสมือนตายแล้วเกิดในร่างใหม่ ไม่สามารถสึกได้ ในสมัยโบราณผู้ชายทิเบตเกินครึ่งที่เป็นพระ


การมาที่ลาซาทำให้เข้าใจว่าชีวิตมีคุณค่าและยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทำให้มองเห็นโลกอีกด้านได้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งคนที่ไม่เคยมาจะไม่มีวันเข้าใจ เพราะสิ่งนี้หาไม่ได้จากการอ่านหนังสือและชมสารคดีใดๆทั้งนั้น สิ่งนี้จะตระหนักรู้ได้ด้วยตาเนื้อเท่านั้น นี้คือเหตุผลที่พระเจ้าให้ดวงตาและสมองกับมนุษย์ และการเดินทางมากทำให้เข้าใจความแตกต่างทางศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ พุทธแบบเนเปาล พุทธแบบทิเบต ทำให้เข้าใจว่า คนเราไม่ควรจะแตกต่างและฆ่าฟันกันด้วยศาสนา แต่ควรจะหลอมรวมกันด้วยศาสนา

หลังคาโลกหรือหิมาลัย เหมือนเป็นดินแดนที่พระเจ้าประทานมาให้เข้าถึงยากแสนยาก เดินทางผ่านแดนสุดแสนหฤโหด ผจญกับภูมิประเทศที่อันตราย แตกต่างจนร่างกายแทบรับไม่ได้ เพื่อจะได้มาพบแดนงามดุจสวรรค์

ทิเบต ลาซา คือแดนสวรรค์ที่แท้จริง



Everest Base Camp หมุดหมายสำคัญของนักเดินทาง

ภูเขาเอเวอร์เรสต์ ชาวทิเบตเรียกว่า โจโมลาร์มา Qomolangma มีความหมายว่ามารดาแห่งสวรรค์ ของชาวทิเบต (หรือ Sakaramata มารดาแห่งมหาสมุทร ของชาวเนปาล และ Everest ของชาวโลก) เชื่อกันว่า Everest เป็นที่สถิตของเทพยดาเป็นดินแดนแห่งธรรมะและความบริสุทธิ์ คนทิเบตและเนปาลอยู่กับความศรัทธาเหล่านั้นมาเป็นเวลานับร้อยปี โดยไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่ายอดเขาแห่งนี้มีความสูงเท่าไหร่


เอเวอร์เรสต์ เป็นพระแม่แห่งสวรรค์ของชาวทิเบตอย่างแท้จริง อิทธิพลของภูเขาทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งอันตราย อากาศหนาวเย็นสุดขั้ว อ๊อกซิเจนเบาบาง น้อยคนนักที่จะพิชิตไปถึงยอด แค่ Base camp ก็เข้าถึงยากมาก ๆ แล้ว

ระหว่างทางไป Base camp เราผ่าน Gawu La Pass ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,198 เมตร จากจุดนี้เราจะสามารถมองเห็น เทือกเขาหิมาลัยและยอดเขาทั้ง 5 ของ Himalayas Range ได้แก่ Makalu(8463m), Lhotse(8516m), Mt. Everest (8844.43m), Cho Oyu (8201m) และ Shishapangma (8012m).


เราเดินทางกว่า 3,000 กม.จากซีอาน นั่งรถไฟผ่านที่ราบสูงชิงไห่ มุ่งสู่ที่ราบสูงทิเบต นอนทรมานขาดอ๊อกซิเจนบนรถไฟ มาเจอกับความมหัศจรรย์แห่งเมืองลาซา อาการ AMS เล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อจุดมุ่งหมายปลายทางที่สำคัญสุดยอดในชีวิต ภูเขาเอเวอร์เรสต์ เรามาถึง Base camp ตีนเขาที่ใกล้เหมือนเอเวอร์เรสต์อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น เราเดินชื่นชมยอดเอเวอร์เรสต์ยามอาทิตย์ตก สวยงามสุดบรรยาย เรามาถึงที่นี่ได้ และยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอยู่ตรงหน้าเรา เหมือนความฝัน ในตอนนั้น นี่คือสิ่งที่ดีและยิ่งใหญ่สิ่งหนึ่งที่เคยเห็นมาในชีวิต

เราพักที่ Rongbuk Hotel (Guesthouse) โรงแรมที่สูงที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา 5,150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศหนาวสุดขั้วหัวใจ บางช่วงติดลบ อากาศเบาบางแทบจะหายใจไม่ออก เพื่อนร่วมทีมเกือบทุกคนมีอาการป่วยเป็นไข้ เรานึกอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรือเปล่า เรานั่งนอนภาวนาว่าเมื่อไรจะถึงเช้า เพื่อจะได้รอดชีวิตไปจากตรงนี้ เรานอนฝันถึงนักปืนเขาหลายคนที่เอาชีวิตมาถึงยอดเขา

สุดท้ายแล้วเราคิดถึงประโยคอมตะ “Because it’s there ”ของ George

Mallory นักปีนเขาชาวอังกฤษในยุคแรกที่ถูกฝังร่างอยู่บนเอเวอร์เรสต์ถึง 75 ปี ก่อนจะมีคนพบร่างของเขาอยู่ใต้หิมะโดยบังเอิญ จอร์จพูดไว้เมื่อมีคนถามเขาว่าทำไมต้องปีนเอเวอร์เรสต์

เรามาที่นี่ก็เพราะว่า "Because it’s there"

ชื่อสินค้า:   ทิเบต Everest Base Camp
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่