JJNY : 6in1 เชื่อมั่นดิ่งเหว│หมูขึ้นอีก3บ.│เผยผู้ลี้ภัยในไทยถูกเก็บเงิน│พท.ลุยบางแค│ก.ก.ปักธงอีสาน│รัสเซียรับเสียทหารมาก

ปชช.เครียดของแพง กดดัชนีความเชื่อมั่นดิ่งเหว ลดต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/286120

ปัญหาของแพง กดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
  
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนมีนาคม พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 64
 
เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของนักธุกิจ ก็ลดลงต่อเนื่อง และอยู่ระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือน ซึ่งทั้งประชาชนและนักธุรกิจ กังวลต่อการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น และสงครามรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น จนกระทบต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งล่าสุดผู้ประกอบการในภาคตะวันออก โอดหนักเรื่องรับมือต้นทุนไม่ไหว และปลดพนักงานบ้างแล้ว
 
และยังกังวลว่าหลังสงกรานต์ จำนวนติดเชื้อโอมิครอน อาจถึง 1 แสนราย แต่เชื่อว่า รัฐจะไม่ล็อกดาวน์ในภาครวม เพราะล็อกดาวน์เพียง 1 เดือน จะสร้างความเสียหายถึง 8 แสนล้านบาท

ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/mLzk8RoBuc4
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 


กระเป๋าฉีก! หมูหน้าฟาร์มขึ้นอีก 3 บาท ข้าวราดแกงขึ้นรวดเดียว 10 บาท/จาน
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/286119

แพงรับสงกรานต์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ ประกาศปรับขึ้นราคาหมูเป็นหน้าฟาร์ม อีกกิโลกรัมละ 3 บาท มีผลพรุ่งนี้ (9 เม.ย.) คาดทำราคาขายปลีกทะลุ 200 บาทอีกครั้ง
 
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 เม.ย.) สมาคมฯ จะประกาศปรับขึ้นราคาหมูเป็นหน้าฟาร์ม อีกกิโลกรัมละ 3 บาท เนื่องจากต้นทุนราคาอาหารสัตว์พุ่งสูงขึ้นเฉลี่ย 40 -50% ใกล้แตะระดับต้นทุนของเกษตรกรแล้ว ทำให้แบกรับภาระต่อไม่ไหว จึงจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขึ้น เพื่อความอยู่รอด ซึ่งแน่นอน จะส่งผลต่อราคาขายเนื้อหมูหน้าเขียง ที่จะต้องขยับราคาขึ้นตาม ซึ่งราคาอาจกลับมาทะลุกิโลกรัมละ 200 บาทอีกครั้ง
 
ส่วนนี้ป้ายแสดงราคาข้าวราดแกง ที่วันนี้ข้าวราดแกง 2 อย่าง ราคาขยับขึ้นพรวดดียว 10 บาท เป็น 60 บาทต่อจาน  ถ้าราดแกงอย่างเดียว 45 ถึง 50 บาท แต่ถ้าราด 3 อย่าง 70 บาทต่อจาน สร้างความเดือดร้อน ทำคนหาเช้ากินค่ำ รวมถึงมนุษย์ออฟฟิศกระเป๋าฉีกไปตามๆ กัน  ถ้ารวมค่าน้ำชา-กาแฟเข้าไปด้วย มื้อหนึ่งๆ ก็ทะลุร้อยบาทไปแล้ว 
 
ขณะที่ นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ส่งสายตรวจกองชั่งตวงวัด เข้าตรวจสอบหัวจ่ายในสถานีน้ำมัน 700 แห่ง ในถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ ป้องกันการคดโกงประชาชน เตรียมพร้อมรับมือประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์ โดยปั้มที่ผ่านการตรวจสอบ ให้สังเกตุฉลาก “น้ำมันเต็มลิตร” ที่ตู้จ่าย ก็จะมั่นใจได้ว่าได้น้ำมันเต็มลิตร ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมา พบตู้จ่ายชำรุดมากถึง 70 ตู้ ซึ่งได้สั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง หากฝ่าฝืนนำมาใช้งาน จะมีโทษหนัก คุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท
 
ล่าสุด สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ประกาศไม่ขึ้นราคาน้ำมัน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 18 เมษายน แต่หากราคาน้ำมันตลาดโลกลด ก็จะปรับราคาลดลงอีก พร้อมเตรียมจุดให้บริการ EV Station PluZ 105 แห่ง ครอบคลุมถนนสายหลัก เพื่อหนุนการเดินช่วงสงกรานต์
 
ชมผ่านยูทูบ :  https://youtu.be/5yaBiPrN1j0 
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
สื่อนอกเผย ผู้ลี้ภัยเมียนมาในไทย ถูกเรียกเก็บเงินแลกไม่ส่งตัวกลับ
https://www.one31.net/news/detail/54361
 
สำนักข่าวเอพี เผย ผู้ลี้ภัยเมียนมา เสี่ยงถูกส่งตัวกลับ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายเงินทุกเดือน เพื่อแลกกับการไม่ถูกส่งกลับไปเสี่ยงตายในบ้านเกิด…
 
เอพีรายงานโดยอ้างอิงทั้งการลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยเมียนมาที่ข้ามมายังฝั่งไทย องค์กรให้ความช่วยเหลือและเจ้าหน้าที่ไทยเอง รายงานชิ้นนี้ระบุว่าชาวเมียนมาต้องทิ้งบ้าน หอบข้าวของ อุ้มลูกหลานข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งไทยเพื่อหนีภัยการสู้รบในประเทศตัวเอง เมื่อข้ามมาถึงฝั่งไทยก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในค่ายพักพิงผู้หนีภัยที่ตั้งมาแล้วหลายสิบปี เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยเมียนมากว่า 90,000 คน ที่หนีภัยมาหลายปีก่อนหน้านี้ คนที่ลี้ภัยมาระลอกล่าสุดต้องไปอยู่ในคอกวัวแออัด หรือตั้งเต็นท์ง่ายๆ อยู่ ซึ่งไม่คุมแดดคุมฝน ทำให้สภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างเลวร้าย
 
องค์กรภาคประชาสังคมบอกว่าทางการไทยไม่อนุญาตให้เอ็นจีโอนานาชาติหรือ UNHCR ส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ผู้อำนวยการขององค์กร ‘เดอะ บอร์ดเดอร์ คอนซอร์เทียม’ The Border Consortium บอกว่าทางการไทยให้เหตุผลว่ามีทรัพยากรเพียงพอในการดูแล
 
ขณะเดียวกัน เอพีรายงานว่าเมื่อการปะทะในฝั่งเมียนมาหยุดลงชั่วคราว ทางการไทยก็จะส่งผู้ลี้ภัยกลับ แม้กฎหมายระหว่างประเทศด้านผู้ลี้ภัยจะห้ามส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศหากนั่นทำให้ชีวิตของพวกเขาเสี่ยงอันตราย
 
เอพียังอ้างอิงผู้ลี้ภัยเมียนมาบางคนที่บอกว่า ถูกเรียกเก็บเงินเดือนละประมาณ 350 บาท เพื่อแลกกับบัตรใบหนึ่งที่ขายโดยพ่อค้าคนกลาง บัตรนี้ไม่ใช่เอกสารราชการ แต่สามารถช่วยให้ผู้ลี้ภัยเมียนมาไม่ต้องถูกข่มขู่คุกคาม หรือถูกทางการไทยจับกุม ส่งกลับไปเมียนมา บัตรดังกล่าวจะมีรูปหรือสัญลักษณ์ที่บอกว่าผู้ลี้ภัยได้จ่ายเงินแล้วในเดือนนั้น
 
ทั้งนี้ เอพีระบุว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศบอกว่ารัฐบาลไทย “ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด” ทั้งต่อรายงานเรื่องการข่มขู่คุกคามผู้ลี้ภัยหรือการเรียกเก็บเงิน โดยที่ผ่านมาทางการไทยยืนยันว่า ผู้ลี้ภัยเมียนมาตัดสินใจกลับบ้านด้วยความสมัครใจ ไทยปฏิบัติตามกฎหมายสากลว่าด้วยการไม่ส่งตัวกลับประเทศหากทำให้ชีวิตของผู้ลี้ภัยต้องเผชิญอันตราย
 
ขณะที่ทีมข่าวช่องวันได้สอบถามกระทรวงการต่างประเทศหลังรายงานชิ้นนี้ของสำนักข่าวเอพีถูกเผยแพร่ออกมา ก็ได้รับคำตอบว่า “กำลังพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการใดๆ ต่อไปหรือไม่” .
 

 
เพื่อไทย ลุยบางแค ชู 'กองทุนพัฒนาชุมชน 2 แสน' ต้นแบบประชาธิปไตยกินได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3279316

เดินหน้ากรุงเทพฯ มั่งคั่ง ‘เพื่อไทย’ ลงพื้นที่บางแค ชูนโยบาย ‘กองทุนพัฒนาชุมชน 2 แสนบาท’ ต้นแบบ ‘ประชาธิปไตยกินได้’ คืนอำนาจให้ประชาชนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ‘เอกชัย’ ลั่นลุยทุกปัญหา เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนกรุงเทพฯ
 
เมื่อวันที่ 8 เมษายน พรรคเพื่อไทย นำโดย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางพวงเพ็ชร  ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส.ก. นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก. นายดนุพร ปุณณกันต์  เลขานุการการเลือกตั้ง ส.ก. นางสาวขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางแค เบอร์ 2 พร้อมผู้สมัคร ส.ก. เขตต่างๆ
 
ร่วมกันลงพื้นที่เขตบางแคและร่วมล้อมวงคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่น้องประชาชนถึงแนวนโยบายในการ ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า’ ของพรรคเพื่อไทย
   
โดยประชาชนสนใจร่วมพูดคุยสะท้อนปัญหาในชุมชน ทั้งในเรื่องของปัญหาการประกอบอาชีพ เศรษฐกิจปากท้อง คุณภาพชีวิตและการจราจร นอกจากนี้ยังได้พบปะพูดคุยกับตัวแทนประชาชนกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนสุขสำราญ ซึ่งทำ ‘ขนมงาพอง’ ที่เดียวในกรุงเทพฯและส่งไปขายทั่วประเทศ พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบประตูระบายน้ำคลองบางแค ​​เพื่อพูดคุยกันถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ
 
นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคเพื่อไทย ได้รับการคัดสรรมาตามระบบเพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งทุกคนทุ่มเทดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 จึงเชื่อว่าพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ จะยอบรับและสนับสนุน อีกทั้งพรรคเพื่อไทยมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนโยบายในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตามแนวทาง ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า’ และพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่มีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายจนสำเร็จมาโดยตลอด
 
นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าวว่า ผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย จะเป็นตัวแทนในการนำเสนอนโยบายและดูแลเงินงบประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปีของประชาชน ในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องทนทุกข์มาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะต้องเลือกตัวแทนของคนกรุงเทพฯ ทั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ซึ่งจะมีนโยบายที่มีคำตอบในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องคนกรุงเทพฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยในอดีตเคยเป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายที่ประสบความสำเร็จ คือ กองทุนหมู่บ้านซึ่งต่อมายกระดับเป็นกองทุนพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเมือง (เอสเอ็มแอล) ที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยกินได้ จึงได้นำสิ่งดีๆ เหล่านี้มายกระดับและนำเสนอเป็นนโยบายกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี ที่มีหลักคิดและหลักการเดียวกัน คือ จัดสรรงบประมาณให้ชุมชนต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปีละ 200,000 บาทต่อปี เพื่อกระจายอำนาจให้พี่น้องประชาชนแต่ละชุมชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังมีนโยบายที่มุ่งในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ ทั้งระบบเป็นรูปธรรม
   
นายดนุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยหมดหวัง แม้จะโดนรัฐประหารมา 2 ครั้งก็ยังมุ่งมั่นทำงานให้พี่น้องประชาชน และในครั้งนี้เรามุ่งมั่นที่จะคืนความมั่งคั่งให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิฐกับวิกฤตโรคระบาดและวิกฤตเศรษฐกิจ จึงนำมาซึ่งนโยบายที่จะฟื้นเศรษฐกิจปากท้องพี่น้องประชาชน ทั้ง 5 นโยบายหลัก ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี , 50 เขต 50 โรงพยาบาล , 30 บาทถึงที่หมาย , 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟเพาเวอร์ ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้พี่น้องคนกรุงเทพฯ ภายใต้หลักคิด ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า
 
ด้าน นายเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางแค เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าพี่น้องประชาชนยังต้องเผชิญปัญหาหลายอย่างจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ ทำให้ละเลยการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยและผู้สมัคร ส.ก. ทุกคน มุ่งมั่นที่จะทำลายอุปสรรคปัญหาเหล่านี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่