ชาวอุยกูร์ในเรือนจำคลองเปรมยืนยันขอไปประเทศที่ 3 ไม่เชื่อ 40 คนสมัครใจกลับจีน
https://prachatai.com/journal/2025/03/112266
ภาคประชาสังคมเยี่ยมชาวอุยกูร์ 4 คนในเรือนจำคลองเปรม ทุกคนยืนยันไม่ไปจีนเด็ดขาด ขอไปประเทศที่ 3 และไม่เชื่อว่าทั้ง 40 คนสมัครใจกลับจีน ขอรัฐบาลเอาหลักฐานเอกสารมาโชว์ให้ชัด สมัครใจกลับหรือไม่
จากกรณี 27 ก.พ. 2568 รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คน กลับประเทศจีน เมื่อ 28 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน ภาคประชาสังคมที่ติดตามประเด็นปัญหาเรื่องชาวอุยกูร์มานาน ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรมโดยตอนนี้มีอยู่ 5 คน
ชาวอุยกูร์ทั้ง 5 คน เป็นกลุ่มชาวอุยกูร์ 7 คนที่ถูกดำเนินคดีข้อหาแหกห้องกัก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จ.มุกดาหาร เมื่อ 10 ม.ค. 2563 เพราะทนสภาพอันย่ำแย่ของห้องกักไม่ไหว ชาวอุยกูร์เคยให้การในศาลว่า พวกเขาแหกห้องกักออกมาเพราะว่าต้องการรักษาชีวิต ต่อมา ศาลลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ชาวอุยกูร์อีก 5 คนถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกเพิ่มในข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากระหว่างหลบหนีออกจากห้องกัก ชาวอุยกูร์ทั้ง 5 คนได้ลักทรัพย์ของชาวบ้าน เป็นไฟฉาย และหน้าไม้ยิงกบ/หนูนา โดยศาลตัดสินลงโทษแบ่งเป็น 2 คนถูกศาลจำคุก 16 ปี แต่เนื่องจากให้การรับสารภาพจึงลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 8 ปี เมื่อรวมกับคดีแหกห้องกัก ทำให้ทั้ง 2 คนถูกจำคุกรวมเป็น 10 ปี
ขณะที่ 3 คนที่เหลือถูกศาลลงโทษจำคุก 16 ปี แต่ว่าสารภาพหลังสอบพยานโจทก์เสร็จสิ้น จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับคดีแหกห้องกักแล้ว ชาวอุยกูร์ 3 คนจะถูกลงโทษจำคุกรวม 12 ปี
โดยทั้งหมดถูกพาตัวลงมาที่เรือนจำคลองเปรม โดยชาวอุยกูร์ 2 คนที่ครบกำหนดโทษแล้วถูกส่งกลับไปที่ประเทศจีน เมื่อ 27 ก.พ. 2568
ชลิดา ให้สัมภาษณ์ระบุว่าวันนี้เธอได้เยี่ยมชาวอุยกูร์ทั้งหมด 4 คนจาก 5 คนที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรม และยืนยันด้วยว่าทั้ง 5 คนยังอยู่ดี ยังไม่ได้ถูกส่งกลับ มีบางคนที่ฟังเรื่องที่ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกส่งกลับจีนแล้วถึงกับร้องไห้ก็มี
ชลิดา กล่าวว่า ชาวอุยกูร์ที่ได้คุยกับเธอระบุตรงกัน ไม่เชื่อว่าผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ 40 คนในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู จะสมัครใจกลับประเทศจีนจริงๆ และทั้ง 4 คนยืนยันด้วยว่าพวกเขาอยากไปประเทศที่ 3 หรือประเทศไหนก็ได้ที่ไม่ใช่จีน
"
เขา (ชาวอุยกูร์ทั้ง 4 คน) เขาก็เสียใจ เขาแน่ใจว่าเพื่อนอุยกูร์ทั้ง 40 คนไม่สมัครใจจะไปจีน ในเมื่อหนีออกมาจากจีนเพื่อจะออกไปประเทศที่ 3 หนีออกมาพ้นแล้ว แล้วจะอยากกลับไปจีนได้ยังไง มันไม่เป็นจริงเลย ข้อเท็จจริงมันขัดแย้งกับที่รัฐบาลไทยให้สัมภาษณ์" ทางสมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน ระบุ
ชลิดา กล่าวต่อว่า กลุ่มชาวอุยกูร์ในเรือนจำทั้ง 4 คนก็เป็นห่วงชะตากรรมของตัวเองด้วยว่า ถ้าครบกำหนดโทษออกมาแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ทางเราก็บอกว่าชาวอุยกูร์ยังไม่ชัดเจน เพราะว่ารองนายกฯ เขาจะพิจารณาอีกทีหนึ่ง
ชลิดา กล่าวว่า สุขภาพของชาวอุยกูร์ในเรือนจำคลองเปรมยังโอเคดี ดีกว่าคนอยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะว่ามีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ง่ายกว่า และอาหารการกินฮาลาลไม่มีปัญหา
ทำไมชาวอุยกูร์ถึงลี้ภัย ?
สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวอุยกูร์ลี้ภัยมาจากมณฑลซินเจียงนั้น เพราะพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นพลเมืองคนจีน จีนไม่ได้ปฏิบัติกับเขาแบบในฐานะพลเมือง และถ้าเขานับถือต่างศาสนา ก็จะถูกควบคุมเรื่องการปฏิบัติทางศาสนา สำหรับคนมุสลิมนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนที่เขายังอยู่เมืองไทย เพราะเมืองไทยอนุญาตให้เขาทำศาสนกิจได้ ถ้าจะสมมติว่าฝ่าฝืนในประเทศจีน พวกเขาจะถูกเขาไปค่ายปรับทัศนคติ หรือไม่ให้เข้ามัสยิดและต้องละหมาดที่บ้าน เมื่อคนอุยกูร์ไม่เคยมีอิสระ และถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีนหนัก นั่นถือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ และไม่มีเสรีภาพ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาต้องหนีออกมา
สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวเน้นย้ำว่า ชาวอุยกูร์ไม่เชื่อว่าคนที่อยู่ในห้องกักยินยอมว่าจะกลับประเทศจีน เพราะก่อนหน้านี้ชาวอุยกูร์ถึงขนาดยอมอดอาหารประท้วง แสดงว่าเขาไม่เอาด้วย ถ้าสิ่งที่รัฐบาลพูดทั้งหมดไม่ใช่คำโกหกคำใหญ่ๆ ขอพยานหลักฐานที่จะแจกแจงกับสาธารณะว่าทุกคนยินดีสมัครใจไป ขอเอกสารยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลไหนยินดีจะรับอุยกูร์ เพราะหลักฐานที่เรามีตรงกันข้ามกับของรัฐบาลเลย
หลังจากนี้
ชลิดา วางแผนว่าจะจัดงานเสวนาเรื่องการส่งกลับชาวอุยกูร์ เพื่อสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่อสังคมถึงประเด็นปัญหาเรื่องนี้ โดยคาดว่าจะจัดประมาณต้น มี.ค. 2568
สถานการณ์ของชาวอุยกูร์ขณะนี้ เบื้องต้น มีชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนถูกส่งกลับไปประเทศจีนแล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่พวกเขาลี้ภัยออกมาตั้งแต่ช่วงปี 2557 ส่วนชาวอุยกูร์ที่ยังอยู่ในประเทศไทยมีจำนวน 8 คน โดยอยู่ในเรือนจำคลองเปรม 5 คน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู อีก 3 คน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการส่งไปต่างประเทศ
ประเทศไทยไม่ใช่ไม่เคยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไปต่างประเทศ เพราะนับตั้งแต่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพบชาวอุยกูร์ที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ในสมัยรัฐบาล
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา มีการส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 2 ครั้ง
ย้อนไปเมื่อปี มิ.ย. 2558 รัฐบาลไทยส่งตัวผู้หญิง และเด็ก จำนวนประมาณ 172 คนไปที่ประเทศตุรกี แต่ในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อ ก.ค. 2558 ทางการไทยมีการบังคับชาวอุยกูร์จำนวน 109 คน ใส่กุญแจมือ ใช้ถุงดำครอบศีรษะ และส่งตัวพวกเขาให้กับเจ้าหน้าที่จีนที่กรุงเทพฯ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จีนจะพาชาวอุยกูร์ขึ้นเครื่องบินกลับไปประเทศ
เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน
https://tna.mcot.net/politics-1495914
กทม. 1 มี.ค. – นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน หวั่นถูกตีความเลือกข้าง ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน-นโยบายต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถสร้างสมดุลการเมืองระหว่างประเทศได้ ถูกลดความน่าเชื่อถือในเวทีโลก ชี้ อันตรายเหตุไม่ดำเนินนโยบายโปร่งใส ทำรัฐอยู่ใต้อิทธิพลมหาอำนาจ
รศ.
เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงกรณีที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ กว่า 40 คนกลับจีน ว่า อาจจะเกิดผลกระทบระยะสั้นจากประสบการณ์ที่ไทยเคยส่งกลับ สมัยรัฐบาลพลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หลังจากนั้นเกิดความรุนแรงเกิดเหตุระเบิดที่กรุงเทพฯมีคนเสียชีวิตและเกิดเหตุประท้วงที่อิสตันบูลจรคนไทยได้รับผลกระทบ ดังนั้นในระยะสั้นสิ่งที่ต้องพึงระวัง เรื่องความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นหรือการตอบโต้ นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศหรือสหประชาชาติได้ออกมาประณามรัฐบาล ทำให้เรื่องของความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ และการไม่กระทำนโยบายต่างประเทศที่ส่งบุคคลที่นำไปสู่ความเสี่ยงแก่ชีวิต เรื่องนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ลดน้อยถอยลง และความเชื่อถือด้านสิทธิมนุษยชนต่อวงการนานาชาติ จะถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนในระยะยาวเรื่องที่น่ากังวล รศ.
เอกรินทร์ ระบุคือเรื่องสิทธิมนุษยชนและนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ต้องพึงระวังว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันของมหาอำนาจคือจีนและสหรัฐอเมริกา ถ้าการที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนถูกคนตีความว่าเราเลือกข้าง จะทำให้เราไม่สามารถสร้างความสมดุล ในการเมืองระหว่างประเทศได้
ส่วนไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศอย่างไร รศ.
เอกรินทร์ กล่าวว่า การที่ไทยมีรัฐบาลพลเรือนหลังเลือกตั้งนานาประเทศคาดหวังว่า ไทยจะกลับสู่เวทีนานาชาติ อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่จะเป็นตัวผู้เล่นหลักหรือไว้เนื้อเชื่อใจได้ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ขณะที่บทบาทของนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษานาย
อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่ประเด็นเรื่องอุยกูร์ ส่งไปประเทศจีนทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือ และถูกตั้งคำถามเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก และจะเห็นชัดเจนว่าการตอบโต้ หรือการออกมาให้ข้อมูลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีลักษณะกลับไปกลับมา และสับสนเพียงชั่วข้ามวัน ที่ตอนแรกบอกไม่รับทราบเรื่องนี้ แต่อีกวันบอกรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการส่งตัวกลับ จึงคิดว่าการที่ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่ดำเนินนโยบายอย่างเปิดเผย ในการส่งคนช่วงกลางคืน ขาดความโปร่งใส วิธีการที่ไม่ให้องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าไปสังเกตการณ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง นโยบายของรัฐบาลที่ขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐบาลอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจ หนึ่ง ซึ่งเป็นอันตราย
รศ.
เอกรินทร์ ยังกล่าวอีกว่าเป็นที่ชัดเจนว่าไทยอาจถูกกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามกับไทย ว่าจะจัดวางตัวเองอย่างไรให้บาลานซ์ในเวทีนานาชาติ และเราจะตอบคำถามเรื่องนี้อย่างไรในเวทีนานาชาติ จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นภาระหนักมากของรัฐบาล นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ออกแถลงการณ์ประณาม และยังจะเห็นจดหมายของคนอุยกูร์ ที่ระบุว่ารู้สึกกังวลและไม่อยากกลับ ขณะเดียวกันต้องติดตามอีก 8 คนที่อยู่ในไทย ว่าจะถูกส่งกลับหรือไม่ และที่ส่งกลับไปปลอดภัยหรือไม่
“
กระบวนการทั้งหมดความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย และก่อให้เกิดความสับสน ในเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งที่จริงแล้วหากเราแก้ไข ด้วยวิธีการให้ประเทศที่ต้องการจะรับอย่างตุรกี เรื่องเหล่านี้ก็จะถูกคลี่คลาย ไม่น่าจะลำบากเหมือนปัจจุบัน” รศ.เอกรินทร์ กล่าว
ส่วนกรณีดังกล่าวเป็นความเพรี่ยงพร้ำของรัฐบาลไทยหรือมีการเมืองเข้ามาสอดแทรกหรือไม่ รศ.
เอกรินทร์ กล่าวว่า น่าจะเป็นความตั้งใจและจงใจ ของรัฐบาลปัจจุบันสืบเนื่องมาจากการ ที่จีนส่งรัฐมนตรีมาไทยเรื่องคนจีนที่เข้าไปในเมียนมาทำเรื่อง Call Center และทำให้คนอ่านออกว่าเราทำตามนโยบายของประเทศจีน ถ้าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ.-319 -สำนักข่าวไทย
ชาวนา เตรียมบุกทำเนียบ เรียกร้องราคาข้าวเปลือก ข้องใจ ประชุมครม.ไม่มีวาระเรื่องข้าว
https://www.matichon.co.th/economy/news_5071833
ชาวนาพิจิตรเตรียมบุก ทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องราคาข้าวเปลือกตันละ 11000 โวย อดีต สว. อย่ายุ่งชาวนาไม่ต้องการให้ไปเรียกร้อง
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นาย
จักรภฤต บรรเจิดกิจ ผู้ประสานงานเครือข่ายคนทำนาจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า เครือข่ายชาวนาพิจิตร ได้ร่วมประชุมกับแกนนำชาวนา ทั้ง 12 อำเภอ จังหวัดพิจิตร เพื่อลงมติในการขับเคลื่อน กดดันรัฐบาลในเรื่องราคาข้าวเปลือกที่กำลังตกต่ำ ที่บ้านของนายมนูญ มณีโชติ ที่ตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร และนายประกาศิต แจ่มจำรัส แกนนำชาวนา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ชาวนาทั้ง 12 อำเภอ จังหวัดพิจิตร นัดร่วมตัวกันจะเดินทางไปร่วมชุมนุม หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 4 มีนาคม ร่วมกับเครือข่ายชาวนา 12 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ประกอบไปด้วย พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง
พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม อุทัยธานี กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย คาดว่าในวันนั้นจะมีชาวนากว่าหลายพันคนร่วมชุมนุม
JJNY : ชาวอุยกูร์ไม่เชื่อ│เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง│ชาวนาเตรียมบุกทำเนียบ│อียู แคนาดาและออสเตรเลียสนับสนุน“เซเลนสกี”
https://prachatai.com/journal/2025/03/112266
ภาคประชาสังคมเยี่ยมชาวอุยกูร์ 4 คนในเรือนจำคลองเปรม ทุกคนยืนยันไม่ไปจีนเด็ดขาด ขอไปประเทศที่ 3 และไม่เชื่อว่าทั้ง 40 คนสมัครใจกลับจีน ขอรัฐบาลเอาหลักฐานเอกสารมาโชว์ให้ชัด สมัครใจกลับหรือไม่
จากกรณี 27 ก.พ. 2568 รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คน กลับประเทศจีน เมื่อ 28 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน ภาคประชาสังคมที่ติดตามประเด็นปัญหาเรื่องชาวอุยกูร์มานาน ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรมโดยตอนนี้มีอยู่ 5 คน
ชาวอุยกูร์ทั้ง 5 คน เป็นกลุ่มชาวอุยกูร์ 7 คนที่ถูกดำเนินคดีข้อหาแหกห้องกัก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จ.มุกดาหาร เมื่อ 10 ม.ค. 2563 เพราะทนสภาพอันย่ำแย่ของห้องกักไม่ไหว ชาวอุยกูร์เคยให้การในศาลว่า พวกเขาแหกห้องกักออกมาเพราะว่าต้องการรักษาชีวิต ต่อมา ศาลลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ชาวอุยกูร์อีก 5 คนถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกเพิ่มในข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากระหว่างหลบหนีออกจากห้องกัก ชาวอุยกูร์ทั้ง 5 คนได้ลักทรัพย์ของชาวบ้าน เป็นไฟฉาย และหน้าไม้ยิงกบ/หนูนา โดยศาลตัดสินลงโทษแบ่งเป็น 2 คนถูกศาลจำคุก 16 ปี แต่เนื่องจากให้การรับสารภาพจึงลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 8 ปี เมื่อรวมกับคดีแหกห้องกัก ทำให้ทั้ง 2 คนถูกจำคุกรวมเป็น 10 ปี
ขณะที่ 3 คนที่เหลือถูกศาลลงโทษจำคุก 16 ปี แต่ว่าสารภาพหลังสอบพยานโจทก์เสร็จสิ้น จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับคดีแหกห้องกักแล้ว ชาวอุยกูร์ 3 คนจะถูกลงโทษจำคุกรวม 12 ปี
โดยทั้งหมดถูกพาตัวลงมาที่เรือนจำคลองเปรม โดยชาวอุยกูร์ 2 คนที่ครบกำหนดโทษแล้วถูกส่งกลับไปที่ประเทศจีน เมื่อ 27 ก.พ. 2568
ชลิดา ให้สัมภาษณ์ระบุว่าวันนี้เธอได้เยี่ยมชาวอุยกูร์ทั้งหมด 4 คนจาก 5 คนที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรม และยืนยันด้วยว่าทั้ง 5 คนยังอยู่ดี ยังไม่ได้ถูกส่งกลับ มีบางคนที่ฟังเรื่องที่ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกส่งกลับจีนแล้วถึงกับร้องไห้ก็มี
ชลิดา กล่าวว่า ชาวอุยกูร์ที่ได้คุยกับเธอระบุตรงกัน ไม่เชื่อว่าผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ 40 คนในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู จะสมัครใจกลับประเทศจีนจริงๆ และทั้ง 4 คนยืนยันด้วยว่าพวกเขาอยากไปประเทศที่ 3 หรือประเทศไหนก็ได้ที่ไม่ใช่จีน
"เขา (ชาวอุยกูร์ทั้ง 4 คน) เขาก็เสียใจ เขาแน่ใจว่าเพื่อนอุยกูร์ทั้ง 40 คนไม่สมัครใจจะไปจีน ในเมื่อหนีออกมาจากจีนเพื่อจะออกไปประเทศที่ 3 หนีออกมาพ้นแล้ว แล้วจะอยากกลับไปจีนได้ยังไง มันไม่เป็นจริงเลย ข้อเท็จจริงมันขัดแย้งกับที่รัฐบาลไทยให้สัมภาษณ์" ทางสมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน ระบุ
ชลิดา กล่าวต่อว่า กลุ่มชาวอุยกูร์ในเรือนจำทั้ง 4 คนก็เป็นห่วงชะตากรรมของตัวเองด้วยว่า ถ้าครบกำหนดโทษออกมาแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ทางเราก็บอกว่าชาวอุยกูร์ยังไม่ชัดเจน เพราะว่ารองนายกฯ เขาจะพิจารณาอีกทีหนึ่ง
ชลิดา กล่าวว่า สุขภาพของชาวอุยกูร์ในเรือนจำคลองเปรมยังโอเคดี ดีกว่าคนอยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะว่ามีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ง่ายกว่า และอาหารการกินฮาลาลไม่มีปัญหา
ทำไมชาวอุยกูร์ถึงลี้ภัย ?
สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวอุยกูร์ลี้ภัยมาจากมณฑลซินเจียงนั้น เพราะพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นพลเมืองคนจีน จีนไม่ได้ปฏิบัติกับเขาแบบในฐานะพลเมือง และถ้าเขานับถือต่างศาสนา ก็จะถูกควบคุมเรื่องการปฏิบัติทางศาสนา สำหรับคนมุสลิมนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนที่เขายังอยู่เมืองไทย เพราะเมืองไทยอนุญาตให้เขาทำศาสนกิจได้ ถ้าจะสมมติว่าฝ่าฝืนในประเทศจีน พวกเขาจะถูกเขาไปค่ายปรับทัศนคติ หรือไม่ให้เข้ามัสยิดและต้องละหมาดที่บ้าน เมื่อคนอุยกูร์ไม่เคยมีอิสระ และถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีนหนัก นั่นถือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ และไม่มีเสรีภาพ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาต้องหนีออกมา
สมาชิกมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวเน้นย้ำว่า ชาวอุยกูร์ไม่เชื่อว่าคนที่อยู่ในห้องกักยินยอมว่าจะกลับประเทศจีน เพราะก่อนหน้านี้ชาวอุยกูร์ถึงขนาดยอมอดอาหารประท้วง แสดงว่าเขาไม่เอาด้วย ถ้าสิ่งที่รัฐบาลพูดทั้งหมดไม่ใช่คำโกหกคำใหญ่ๆ ขอพยานหลักฐานที่จะแจกแจงกับสาธารณะว่าทุกคนยินดีสมัครใจไป ขอเอกสารยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลไหนยินดีจะรับอุยกูร์ เพราะหลักฐานที่เรามีตรงกันข้ามกับของรัฐบาลเลย
หลังจากนี้ชลิดา วางแผนว่าจะจัดงานเสวนาเรื่องการส่งกลับชาวอุยกูร์ เพื่อสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่อสังคมถึงประเด็นปัญหาเรื่องนี้ โดยคาดว่าจะจัดประมาณต้น มี.ค. 2568
สถานการณ์ของชาวอุยกูร์ขณะนี้ เบื้องต้น มีชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนถูกส่งกลับไปประเทศจีนแล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่พวกเขาลี้ภัยออกมาตั้งแต่ช่วงปี 2557 ส่วนชาวอุยกูร์ที่ยังอยู่ในประเทศไทยมีจำนวน 8 คน โดยอยู่ในเรือนจำคลองเปรม 5 คน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู อีก 3 คน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการส่งไปต่างประเทศ
ประเทศไทยไม่ใช่ไม่เคยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไปต่างประเทศ เพราะนับตั้งแต่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพบชาวอุยกูร์ที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา มีการส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 2 ครั้ง
ย้อนไปเมื่อปี มิ.ย. 2558 รัฐบาลไทยส่งตัวผู้หญิง และเด็ก จำนวนประมาณ 172 คนไปที่ประเทศตุรกี แต่ในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อ ก.ค. 2558 ทางการไทยมีการบังคับชาวอุยกูร์จำนวน 109 คน ใส่กุญแจมือ ใช้ถุงดำครอบศีรษะ และส่งตัวพวกเขาให้กับเจ้าหน้าที่จีนที่กรุงเทพฯ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จีนจะพาชาวอุยกูร์ขึ้นเครื่องบินกลับไปประเทศ
เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน
https://tna.mcot.net/politics-1495914
กทม. 1 มี.ค. – นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี เตือนไทยเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรง หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน หวั่นถูกตีความเลือกข้าง ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน-นโยบายต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถสร้างสมดุลการเมืองระหว่างประเทศได้ ถูกลดความน่าเชื่อถือในเวทีโลก ชี้ อันตรายเหตุไม่ดำเนินนโยบายโปร่งใส ทำรัฐอยู่ใต้อิทธิพลมหาอำนาจ
รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงกรณีที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ กว่า 40 คนกลับจีน ว่า อาจจะเกิดผลกระทบระยะสั้นจากประสบการณ์ที่ไทยเคยส่งกลับ สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หลังจากนั้นเกิดความรุนแรงเกิดเหตุระเบิดที่กรุงเทพฯมีคนเสียชีวิตและเกิดเหตุประท้วงที่อิสตันบูลจรคนไทยได้รับผลกระทบ ดังนั้นในระยะสั้นสิ่งที่ต้องพึงระวัง เรื่องความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นหรือการตอบโต้ นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศหรือสหประชาชาติได้ออกมาประณามรัฐบาล ทำให้เรื่องของความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ และการไม่กระทำนโยบายต่างประเทศที่ส่งบุคคลที่นำไปสู่ความเสี่ยงแก่ชีวิต เรื่องนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ลดน้อยถอยลง และความเชื่อถือด้านสิทธิมนุษยชนต่อวงการนานาชาติ จะถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนในระยะยาวเรื่องที่น่ากังวล รศ.เอกรินทร์ ระบุคือเรื่องสิทธิมนุษยชนและนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ต้องพึงระวังว่าเราอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันของมหาอำนาจคือจีนและสหรัฐอเมริกา ถ้าการที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนถูกคนตีความว่าเราเลือกข้าง จะทำให้เราไม่สามารถสร้างความสมดุล ในการเมืองระหว่างประเทศได้
ส่วนไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศอย่างไร รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า การที่ไทยมีรัฐบาลพลเรือนหลังเลือกตั้งนานาประเทศคาดหวังว่า ไทยจะกลับสู่เวทีนานาชาติ อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่จะเป็นตัวผู้เล่นหลักหรือไว้เนื้อเชื่อใจได้ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ขณะที่บทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่ประเด็นเรื่องอุยกูร์ ส่งไปประเทศจีนทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือ และถูกตั้งคำถามเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก และจะเห็นชัดเจนว่าการตอบโต้ หรือการออกมาให้ข้อมูลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีลักษณะกลับไปกลับมา และสับสนเพียงชั่วข้ามวัน ที่ตอนแรกบอกไม่รับทราบเรื่องนี้ แต่อีกวันบอกรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการส่งตัวกลับ จึงคิดว่าการที่ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่ดำเนินนโยบายอย่างเปิดเผย ในการส่งคนช่วงกลางคืน ขาดความโปร่งใส วิธีการที่ไม่ให้องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าไปสังเกตการณ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง นโยบายของรัฐบาลที่ขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐบาลอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจ หนึ่ง ซึ่งเป็นอันตราย
รศ.เอกรินทร์ ยังกล่าวอีกว่าเป็นที่ชัดเจนว่าไทยอาจถูกกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำให้นานาประเทศตั้งคำถามกับไทย ว่าจะจัดวางตัวเองอย่างไรให้บาลานซ์ในเวทีนานาชาติ และเราจะตอบคำถามเรื่องนี้อย่างไรในเวทีนานาชาติ จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นภาระหนักมากของรัฐบาล นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ออกแถลงการณ์ประณาม และยังจะเห็นจดหมายของคนอุยกูร์ ที่ระบุว่ารู้สึกกังวลและไม่อยากกลับ ขณะเดียวกันต้องติดตามอีก 8 คนที่อยู่ในไทย ว่าจะถูกส่งกลับหรือไม่ และที่ส่งกลับไปปลอดภัยหรือไม่
“กระบวนการทั้งหมดความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย และก่อให้เกิดความสับสน ในเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งที่จริงแล้วหากเราแก้ไข ด้วยวิธีการให้ประเทศที่ต้องการจะรับอย่างตุรกี เรื่องเหล่านี้ก็จะถูกคลี่คลาย ไม่น่าจะลำบากเหมือนปัจจุบัน” รศ.เอกรินทร์ กล่าว
ส่วนกรณีดังกล่าวเป็นความเพรี่ยงพร้ำของรัฐบาลไทยหรือมีการเมืองเข้ามาสอดแทรกหรือไม่ รศ.เอกรินทร์ กล่าวว่า น่าจะเป็นความตั้งใจและจงใจ ของรัฐบาลปัจจุบันสืบเนื่องมาจากการ ที่จีนส่งรัฐมนตรีมาไทยเรื่องคนจีนที่เข้าไปในเมียนมาทำเรื่อง Call Center และทำให้คนอ่านออกว่าเราทำตามนโยบายของประเทศจีน ถ้าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ.-319 -สำนักข่าวไทย
ชาวนา เตรียมบุกทำเนียบ เรียกร้องราคาข้าวเปลือก ข้องใจ ประชุมครม.ไม่มีวาระเรื่องข้าว
https://www.matichon.co.th/economy/news_5071833
ชาวนาพิจิตรเตรียมบุก ทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องราคาข้าวเปลือกตันละ 11000 โวย อดีต สว. อย่ายุ่งชาวนาไม่ต้องการให้ไปเรียกร้อง
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นายจักรภฤต บรรเจิดกิจ ผู้ประสานงานเครือข่ายคนทำนาจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า เครือข่ายชาวนาพิจิตร ได้ร่วมประชุมกับแกนนำชาวนา ทั้ง 12 อำเภอ จังหวัดพิจิตร เพื่อลงมติในการขับเคลื่อน กดดันรัฐบาลในเรื่องราคาข้าวเปลือกที่กำลังตกต่ำ ที่บ้านของนายมนูญ มณีโชติ ที่ตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร และนายประกาศิต แจ่มจำรัส แกนนำชาวนา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ชาวนาทั้ง 12 อำเภอ จังหวัดพิจิตร นัดร่วมตัวกันจะเดินทางไปร่วมชุมนุม หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 4 มีนาคม ร่วมกับเครือข่ายชาวนา 12 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ประกอบไปด้วย พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง
พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม อุทัยธานี กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย คาดว่าในวันนั้นจะมีชาวนากว่าหลายพันคนร่วมชุมนุม