ขอบคุณที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9680000019627

สื่อต่างประเทศรายงานไทยเนรเทศชาวอุยกูร์หลายสิบคนไปยังจีนในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) แม้มีเสียงเตือนจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลายว่าคนเหล่านี้อาจถูกตามประหัตประหารครั้งที่กลับถึงจีน ความเคลื่อนไหวที่เรียกเสียงประณามอย่างทันท่วงทีจากทั้งสหประชาชาติ สหรัฐฯ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร

เอเอฟพีรายงานว่าที่ผ่านมา ปักกิ่งถูกกล่าวหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ในมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ในนั้นรวมถึงการคุมขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ราว 1 ล้านคน อย่างไรก็ตามจีนปฏิเสธซ้ำๆ ต่อคำกล่าวหานี้

กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลายเตือนไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าไทยเตรียมเนรเทศกลุ่มชาวอุยกูร์ 48 คน ที่ถูกคุมขังในศูนย์กักกันคนเข้าเมือง โดยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้หลบหนีออกมาจากจีนเมื่อกว่า 1 ทศวรรษก่อน และใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวว่าจะถูกส่งตัวกลับไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันการเนรเทศในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) พร้อมเผยว่ามันเป็นไปตามคำร้องของปักกิ่งที่ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไป "รัฐบาลจีนเขียนหนังสือถึงรัฐบาลไทย แสดงออกถึงความจริงใจและความตั้งใจดูแลชาวอุยกูร์เหล่านี้ รับปากในหนังสือว่าพวกเขาจะได้รับการดูแล และรับประกันความสะดวกสบายและความปลอดภัยของพวกเขา" และบอกต่อว่าการส่งมอบตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและชาวอุยกูร์ไม่ขัดขืนใดๆ

ไทยเคยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังจีนในปี 2015 ความเคลื่อนไหวที่เรียกเสียงประณามอย่างดุเดือดมาจากวอชิงตันและสหประชาชาติ อย่างไรก็ตามคราวนี้ไทยยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีแผนสำหรับการเนรเทศรอบใหม่

รายงานของเอเอฟพีระบุว่า นานาชาติรุดออกมาประณามอย่างรวดเร็ว ต่อการที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) ในนั้นรวมถึง โวลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ระบุในถ้อยแถลงว่า "มันเป็นสิ่งต้องห้ามโดยสิ่งเชิงในกรณีต่างๆ ที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงของการถูกทรมาน ปฏิบัติอย่างเลวร้ายหรือได้รับอันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้อื่นๆ ครั้งที่พวกเขาเดินทางกลับไป"

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ประณาม ไทย ซึ่งพันธมิตรของอเมริกา "เราขอประณามในถ้อยคำที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อกรณีไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับยังจีน ดินแดนที่พวกเขาปราศจากสิทธิต่างๆ และดินแดนที่ชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการถูกประหัตประหาร ใช้แรงงานบังคับและถูกทรมาน"

ด้านกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เตือนว่าพวกผู้ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้เสี่ยงโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเมื่อเดินทางกลับไป พร้อมเรียกร้องจีนให้ "เคารพและปกป้องสิทธิของผู้ที่ถูกส่งตัวกลับและครอบครัวของพวกเขา และเรียกร้องรัฐบาลไทย ติดตามสภาพความเป็นอยู่ในจีน ของพวกที่ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้ และดำเนินการหาทางปกป้องพวกเขา"

ในลอนดอน ทางเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร บอกว่า "สหราชอาณาจักรไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ในถ้อยคำที่หนักหน่วงที่สุด กับการตัดสินใจของไทย"

กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน บอกว่า "คนเข้าเมืองผิดกฎหมายชาวจีน 40 คน" ได้ถูกเนรเทศออกจากไทย ในการดำเนินการที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และพอถูกถามว่าคนกลุ่มนี้รวมถึงผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ด้วยหรือไม่ กระทรวงการต่างประเทศปักกิ่งบอกเพียงว่าพวกเขาเป็นคนสัญชาติจีน

"การส่งตัวกลับครั้งนี้ คือมาตรวัดที่เป็นรูปธรรมในความร่วมมือระหว่างจีนกับไทย ในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชายแดน" หลิน เจียน โฆณกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวระหว่างแถลงข่าวประจำวัน "สิทธิที่ชอบธรรมตามกฎหมายและผลประโยชน์ของคนเหล่านี้ จะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่" เขากล่าว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

พวกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงสาธารณะ ระบุในถ้อยแถลงว่าผู้ถูกส่งกลับเหล่านี้ "ถูกล่อลวงโดยองค์กรอาชญากรรม ให้เดินทางออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมายและใช้ชีวิตอยู่ในไทย พวกเขาและครอบครัวประสบกับความทุกข์ และญาติๆ ของพวกเขาร้องขอรัฐบาลจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้มอบความช่วยเหลือ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถกลับคืนสู่อ้อมกอดของแผ่นดินแม่"

รายงานของเอเอฟพีระบุว่าปักกิ่งและกรุงเทพฯ เวลานี้กำลังทำงานกันอย่างใกล้ชิดในการนำตัวแรงงานชาวจีนออกจากศูนย์สแกมเมอร์ออนไลน์บริเวณชายแดนไทย-พม่า

กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลายก็ประณามกรณีที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนเช่นกัน ในนั้นรวมถึงฮิวแมนไรท์วอตช์ ที่เรียกมันว่าเป็น การละเมิดอย่างโจ้งแจ้งของไทย ต่อพันธสัญญาต่างๆ ทั้งในกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ "เวลานี้คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทรมาน บังคับหายสาบสูญ และถูกคุมขังในจีนเป็นเวลานาน" เอเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรท์ส วอทช์ ประจำเอเชีย กล่าว

รัฐบาลไทยยอมรับความกังวลต่างๆ เหล่านั้น แต่ยืนยันว่าพวกเขาดำเนินการสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ตามรายงานของเอเอฟพี

(ที่มา : เอเอฟพี)