สัญญาณอันตราย! ไทยติดโผเสี่ยงหนัก หากทรัมป์สั่งระงับเงินช่วยเหลือ

 
สัญญาณอันตราย! ไทยติดโผเสี่ยงหนัก หากทรัมป์สั่งระงับเงินช่วยเหลือ
 
ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 | 12:20 น.

สหรัฐฯ อาจยุติความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงไทย ซึ่งพึ่งพาเงินทุนจาก USAID ในหลายโครงการสำคัญ
สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้เงินช่วยเหลือแก่ต่างประเทศมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะผ่าน หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองล่าสุดภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา หนึ่งในนโยบายสำคัญของทรัมป์คือการลดงบประมาณที่ใช้ในโครงการช่วยเหลือระหว่างประเทศ โดยภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้ระงับความช่วยเหลือทางการเงินทั้งหมดเป็นเวลา 90 วันเพื่อประเมินความคุ้มค่าและความสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

ไม่กี่วันถัดมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่ง "หยุดดำเนินการ" (Stop-work order) กับโครงการช่วยเหลือที่มีอยู่ทั้งหมด และระงับการให้เงินสนับสนุนใหม่ ยกเว้นโครงการด้านการทหารของอิสราเอลและอียิปต์ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือด้านอาหารฉุกเฉินและบางโครงการที่จำเป็นต่อชีวิต แต่ความไม่แน่นอนของแผนงานอื่น ๆ อาจทำให้เงินทุนหลายล้านดอลลาร์ต้องหยุดชะงัก
 
ไทยเสี่ยงสูญเสียอะไร หากสหรัฐฯ หยุดให้เงินช่วยเหลือ?
ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่พึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในระดับสูง ข้อมูลระหว่างปี 2014-2023 ระบุว่าไทยได้รับเงินช่วยเหลือมากกว่า 50% ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมดจากสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักหากความช่วยเหลือนี้ถูกยุติ
เงินช่วยเหลือจาก USAID ส่วนใหญ่ถูกใช้ในโครงการด้านสาธารณสุข การพัฒนาชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โครงการป้องกันโรคติดต่อ เช่น HIV/AIDS และวัณโรค รวมถึงโครงการจัดหาน้ำสะอาดและพัฒนาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ห่างไกล

หากความช่วยเหลือเหล่านี้ถูกระงับ อาจส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของไทย โดยเฉพาะโครงการที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์ในพื้นที่ชนบท
 
USAID มีบทบาทอย่างไรในเวทีโลก?
ระหว่างปี 2014-2024 USAID ใช้งบประมาณกว่า 314.3 พันล้านดอลลาร์ จากงบช่วยเหลือทั้งหมด 635.2 พันล้านดอลลาร์ ของสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของความช่วยเหลือทั้งหมด

โครงการที่ USAID ให้การสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางทหาร โดยเกือบ หนึ่งในสามของงบประมาณทั้งหมดถูกใช้ในด้านสาธารณสุข รวมถึงการป้องกันโรค การให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และการจัดการน้ำสะอาด

ในขณะที่กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ใช้เงินส่วนใหญ่ในด้านความมั่นคงและการทหาร USAID กลับเน้นหนักไปที่ โครงการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ภูมิภาคไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด?
หลายประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลางต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อย่างมาก โดยเฉพาะ อัฟกานิสถาน ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือสูงสุดถึง 53.1 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2014-2024

ประเทศในแอฟริกา เช่น เคนยาและกานา อาจได้รับผลกระทบหนักจากการระงับเงินทุน เนื่องจากเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ถูกใช้ไปกับโครงการต่อต้านโรคมาลาเรียกว่า 434 ล้านดอลลาร์และ 334 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ หากโครงการเหล่านี้หยุดชะงัก อาจส่งผลให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในแอฟริกาซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดจากโรคมาลาเรียเผชิญอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น

สำหรับ ยุโรปและยูเครน สหรัฐฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือกว่า 28 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม หากเงินช่วยเหลือนี้หายไป โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร และระบบสาธารณสุขของยูเครนอาจต้องหยุดลง
 
อนาคตของเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?
แม้ว่าบางโครงการ เช่น โครงการช่วยเหลือด้าน HIV/AIDS จะได้รับการยกเว้นจากคำสั่งระงับเงินทุน แต่หลายฝ่ายยังคงกังวลว่าอนาคตของความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อาจเผชิญกับความไม่แน่นอนต่อไป

องค์การสหประชาชาติเตือนว่า หากเงินช่วยเหลือด้านสาธารณสุขถูกระงับ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์กว่า 6 ล้านคนภายใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการหยุดความช่วยเหลือนี้ไม่ได้กระทบแค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงชีวิตของคนนับล้านทั่วโลก

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากธนาคาร JP Morgan ยังระบุว่า การสูญเสียเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อาจทำให้หลายประเทศต้องเผชิญกับปัญหาทางการคลังอย่างหนัก โดยเฉพาะจอร์แดนและยูเครน ซึ่งพึ่งพาเงินทุนจาก USAID อย่างมาก

🙏ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : https://www.thansettakij.com/world/620695, Reuters
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่