JJNY : ชาติยุโรป UK-เยอรมันประณามไทย│UNHRC ห่วงที่สุด ‘สุขภาพจิต’│ไม่หวั่นแม้กกต.รับรองผล ปชน.จี้นับใหม่│ดีลแร่ล่ม!

ชาติยุโรป UK-เยอรมัน แถลงประณาม ไทยเนรเทศอุยกูร์ จี้รบ.ดูแลให้แน่ใจว่าจะได้รับการคุ้มครอง 
https://www.matichon.co.th/politics/news_5071141
 
 
 
ชาติยุโรป UK-เยอรมนี แถลงประณาม ไทยเนรเทศอุยกูร์ จี้รบ.ดูแลให้แน่ใจว่าจะได้รับการคุ้มครอง
 
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จากกระแสข่าวว่ารัฐบาลไทยเตรียมส่งชาวอุยกูร์ 48 คนกลับประเทศจีน พร้อมกับที่ทางการจีนจะส่งเครื่องบินมารับคนจีนในแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศ ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์นั้น

ล่าสุด เพจ German Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย ได้โพสต์ ประณามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการเนรเทศชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งไปยังประเทศจีน โดยระบุข้อความว่า “กรณีการส่งตัวกลับชาวอุยกูร์จากประเทศไทยไปยังประเทศจีนเมื่อวานนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีได้แถลงว่า
 
รัฐบาลเยอรมนีขอประณามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการเนรเทศชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งไปยังประเทศจีน การเนรเทศดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดหลักการสากล ซึ่งห้ามไม่ให้ส่งกลับบุคคลไปยังที่ซึ่งพวกเขาอาจจะต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
เราเรียกร้องให้รัฐบาลจีนเคารพและปกป้องสิทธิของผู้ถูกเนรเทศและครอบครัวของพวกเขา เราเรียกร้องให้รัฐบาลไทยประเมินสภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่ถูกเนรเทศที่ประเทศจีน และดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการคุ้มครอง’
 
ทั้งนี้ เพจ UK in Thailand สถานเอกอัคคราชทูตสหราชอนาจักรประเทศ ได้แชร์โพตส์ของ มาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตสหราชอนาจักรประเทศไทย ที่ระบุว่า “สหราชอาณาจักรไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของไทยที่เนรเทศชาวมุสลิมอุยกูร์ 40 คนไปยังจีน”
พร้อมแนบถ้อยแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร เดวิด แลมมี กล่าวว่า “สหราชอาณาจักร ไม่เห็นด้วยที่สุดกับการตัดสินใจของไทย ที่เนรเทศชาวมุสลิมอุยกูร์ 40 คน ไปยังจีน แม้ว่าไทยจะมีพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการไม่ส่งกลับและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ดำเนินอยู่ในซินเจียงซึ่งมีการบันทึกไว้อย่างดีก็ตาม
 
สหราชอาณาจักรเรียกร้องให้มีการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของกลุ่มนี้ และเราขอเรียกร้องให้จีนปฏิบัติตามคำแนะนำที่กว้างขึ้นของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับซินเจียง
 
รวมถึงเพจ Embassy of Sweden in Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ประจำประเทศไทย ได้แชร์โพสต์ของ European Union in Thailand เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยระบุข้อความว่า 

“ประเทศไทย: แถลงการณ์โดยโฆษกของผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปและรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เกี่ยวกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีน

สหภาพยุโรปเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการที่ประเทศไทยส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งตัวกลับ (non-refoulement) และพันธกรณีของประเทศไทยต่อกฎหมายทั้งในระดับชาติและในระดับระหว่างประเทศในฐานะสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
 
สหภาพยุโรปขอเรียกร้องให้รัฐบาลจีนปฏิบัติตามพันธกรณีของตนภายใต้กฎหมายระดับชาติ รวมถึงรัฐธรรมนูญของประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนที่ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน

https://www.facebook.com/photo?fbid=1070332831805950&set=a.306631794842728

https://www.facebook.com/ukinthailand/posts/pfbid0KEg3dWkiBfbUtFLXHNM83hUvD8Zd62dH6x4iDiVA7qaAkeht5LmxgGk8zbUBm86Fl

https://www.facebook.com/SwedeninBangkok/posts/pfbid037W5H43SuiwiXn5kwqD8ifQctqWpsFjvdF2o4fCiYuZfDeuh37F2K2ZYuet3cZCJdl

https://www.facebook.com/EUinThailand/posts/pfbid0MHpeGdAq2z8EofjSJEQsN9cS7uNwUWkGP8FJugzE5Nfp1Wh6VpNwJWp98zDgwtG8l
 


UNHRC ห่วงที่สุด ‘สุขภาพจิต’ ผู้ลี้ภัย-ไร้สัญชาติในไทย ชี้ ผู้ต้องหายังขาดการดูแล
https://www.matichon.co.th/foreign/news_5071149

ผู้แทนฯ UNHRC ห่วงที่สุด ‘สุขภาพจิต’ ผู้ลี้ภัย-ไร้สัญชาติในไทย เด็กวัยรุ่นซึมเศร้า-แพนิกเพิ่มขึ้น ชี้ผู้ต้องหายังขาดการดูแล
 
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น. ที่ห้อง Studio R3 ชั้น 4 โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ น.ส.ทลาเลง โมโฟเค็ง (Tlaleng Mofokeng) ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิด้านสุขภาพ (UNHRC) แถลงภายหลังการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 18-28 กุมภาพันธ์นี้
 
โดยในการมาเยือนครั้งนี้ ได้ร่วมสังเกตการณ์แนวปฏิบัติและข้อท้าทายเกี่ยวกับการเข้าถึง การเป็นที่ยอมรับ ความสามารถในการจ่ายค่าบริการ และคุณภาพของบริการสาธารณสุข รวมถึงพบปะกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต สระแก้ว และปราจีนบุรี เพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการมีสิทธิด้านสุขภาพกายและจิตใจในไทย โดยเดินทางไปเยือนสถานที่ให้บริการ พร้อมสังเกตการณ์การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและปัจจัยต่างๆ (determinants of health) จากแนวคิดที่คำนึงถึงอำนาจทับซ้อน (intersectional perspective) โดยให้ความสำคัญกับประชากรกลุ่มชายขอบ ทั้งนี้ ผู้รายงานพิเศษ จะนำเสนอรายงานฉบับเต็ม ต่อ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ในเดือนมิถุนายนนี้ต่อไป
 
ในตอนหนึ่ง น.ส.ทลาเลง โมโฟเค็ง แพทย์ชาวแอฟริกาใต้ ในฐานะผู้รายงานพิเศษฯ ว่าด้วยสิทธิด้านสุขภาพ (UNHRC) กล่าวถึง ‘ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่น’ ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนได้แสดงความห่วงกังวลระหว่างการแลกเปลี่ยน
 
ดิฉันได้ยินและอ่านงานวิจัยที่ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (post-trauma distress syndrome) และภาวะซึมเศร้าในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย เป็นสิ่งที่น่าห่วงกังวลเป็นพิเศษ เพราะมักจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น จากสถานะการอพยพตามช่องทางไม่ปกติ หรือการไร้สัญชาติของประชากรในค่ายลี้ภัย

“ดิฉันเชื่อว่าไม่ใช่ประเด็นเพศวิถี (sexual orientation) หรืออัตลักษณ์ทางเพศ (sexual identity) ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือโดยสันนิษฐาน แต่เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ในการตีตรา และการทำให้เกิดความโดดเดี่ยวทางสังคม (social alienation) ต่างหาก ที่เป็นสาเหตุหลักของการที่เด็กและเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ มักจะแสดงอาการของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล และร้อยละ 20 มีปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง” น.ส.ทลาเลงชี้
 
จากนั้น น.ส.ทลาเลงกล่าวถึง ‘ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (People on the Move) และคนไร้สัญชาติ’ ด้วยว่า จากการวิจัยโดย แพทยสภา ซึ่งได้อธิบายไว้ในบทที่ 4 (Dossier IV) เกี่ยวกับระบบและนโยบายด้านสุขภาพ ระบุว่า มีประชากรที่มีสถานะไม่ชัดเจนเกือบ 3 ล้านคน การไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนทำให้ผู้ไร้สัญชาติถูกตีตราซ้ำๆ
 
ดิฉันได้พูดคุยกับบุคคลหลายส่วนที่สะท้อนความคิดเห็นว่า ศักดิ์ศรีของคนถูกบั่นทอนจากการไร้แนวทางกฎหมาย ในการจัดระเบียบการย้ายถิ่นฐานและการรับรองสถานะผู้ลี้ภัย หลายคนต้องทนทุกข์กับ ‘การลงโทษให้ถูกจองจำในค่าย หรือสถานที่กักขังตลอดชีวิต’ แทนที่จะมุ่งตอบสนองความต้องการพื้นฐานหรือพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น
 
ประชากรไร้สัญชาติ ถูกบีบบังคับให้ใช้เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ไปกับการรักษาข้อมูลส่วนตัว เก็บซ่อนอาการเจ็บป่วยไม่ให้ปรากฏต่อสถานพยาบาล สร้างความเสียหายให้กับการลงทุนสาธารณะที่ประเทศไทย ดำเนินการไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยการลงโทษคนเพียงกลุ่มหนึ่งของสังคม อีกทั้งต้องเผชิญกับผลลัพธ์ทางสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากกว่าให้ การดูแลทางสุขภาพต่อโรคและอาการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงกว่าเดิม” น.ส.ทลาเลงกล่าว และว่า
 
นอกจากนี้ ‘สถานที่กักขังและเรือนจำ’ ที่ซึ่งทั้งคนไทยและคนต่างชาติถูกลิดรอนเสรีภาพ เป็นสถานที่ที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ว่ามีความแออัดเกินไป และขาดการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตที่เพียงพอ สภาพเหล่านี้มีความรุนแรงอย่างยิ่งสำหรับ ‘ผู้หญิง’ ที่ถูกกักขัง ซึ่งได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพต่ำกว่า และเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขอนามัยอย่างจำกัด
 
หากนึงถึงความท้าทายทางภูมิศาสตร์รัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ การใช้แนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน (human rights based approach) จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” น.ส.ทลาเลงชี้
 
น.ส.ทลาเลงยังกล่าวถึง ‘แนวทางการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด’ (harm reduction) และ ‘การยกเลิกการเอาผิดทางอาญา’ โดยเปิดเผยว่า ระหว่างการเยือนประเทศไทย ยังได้ยินความเห็นเกี่ยวกับ ‘ความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงแนวทางการดำเนินการในระบบสุขภาพ สำหรับผู้ใช้ยา
 
ดิฉันสนับสนุนให้ใช้แนวทางการแก้ปัญหาแบบบูรณาการระหว่างกระทรวงต่างๆ โดยปรึกษาหารือและร่วมมือกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีชุดบริการลดอันตรายจากการใช้ยาที่ครอบคลุมและนำโดยชุมชน รวมถึงมีการระบุอย่างเป็นทางการให้การแจกจ่ายเข็มและกระบอกฉีดยา รวมอยู่ในชุดบริการ“ น.ส.ทลาเลงกล่าว
 
ในส่วนของ ‘ความช่วยเหลือจากต่างประเทศและระหว่างประเทศ’ นั้น
 
น.ส.ทลาเลงเผยว่า ตนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเสียหายที่รุนแรง ต่อการบริการทางสุขภาพสำหรับ ‘ผู้ลี้ภัย’ หลังจากการระงับความช่วยเหลือระหว่างประเทศจากประเทศผู้บริจาคหลักประเทศหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการบริการสุขภาพสำหรับผู้ลี้ภัย ในการนี้ โรงพยาบาลในประเทศไทยได้เข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่าง
 
รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของโรงพยาบาลในการรับภาระการดูแลผู้ลี้ภัย ในระยะยาวโดยไม่มีกำลังทรัพยากรเพิ่มเติม และการสนับสนุนจากนานาชาติ
 
ดิฉันมีความกังวลอย่างมากว่าบริการด้านสุขภาพจิต การส่งต่อผู้ป่วย การสร้างขีดความสามารถให้กับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ และโครงการวางแผนครอบครัว ได้ถูกยุติลงทันที”
 
“นอกจากนี้ ดิฉันยังได้เห็นการลดขนาดสำนักงาน และความไม่แน่นอนในการจ้างงานขององค์กรภาคประชาสังคม ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากความช่วยเหลือระหว่างประเทศนี้ สถานการณ์นี้ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ แรงงานข้ามชาติ ชุมชนที่อยู่ตามชายแดน สิทธิด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ รวมถึงการดูแลการยุติการตั้งครรภ์ การบริการทางเพศ และผู้ใช้ยา”
 
“ดิฉันเรียกร้องให้ประเทศไทยเริ่มต้นการสร้างโครงสร้างเงินทุนที่ยั่งยืนภายในประเทศ สำหรับปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อสุขภาพ ระบบสุขภาพ และบริการทางการแพทย์สำหรับประชากรกลุ่มชายขอบที่สุด” น.ส.ทลาเลงกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่