จวกรัฐ สอดไส้กฎกระทรวงฯ จ่อเก็บ 'ค่าใช้น้ำทำนา' โวย ชาวนาจะตายกันอยู่แล้ว
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6833887
รีดเลือดกับปู! “ส.ส.เพื่อไทย” จวกรัฐสอดไส้กฎกระทรวงฯ เตรียมเก็บ “ค่าใช้น้ำทำนา” โวยชาวนาจะตายกันหมดอยู่แล้ว จี้ยกเลิก ก่อนที่จะตายกันหมด
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นาย
วันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่กระทรวงเกษตรฯ รับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปศึกษาปรับปรุง พ.ร.บ. การชลประทานหลวง พ.ศ.2484 ว่า เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดแล้วพบว่ามีการสอดไส้กฎกระทรวง เพื่อเรียกเก็บค่าน้ำชลประทานจากผู้ใช้น้ำจากทางน้ำชลประทาน ทั้งที่อยู่ในและนอกเขตชลประทาน ได้แก่
1. เก็บค่าใช้น้ำชลประทาน หากทำนามากกว่า 30% ของพื้นที่ จ่ายไร่ละ 25 บาทต่อปี ถ้าทำนาในพื้นที่น้อยกว่านั้น เก็บลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท
2. เก็บค่าบำรุงทางชลประทานกับผู้ใช้เรือ แพและยานพาหนะอื่น เช่น ถ้าเป็นเรือเก็บครั้งละ 7 บาทต่อความยาวเรือ 1 เมตร
ทั้งนี้ ที่กรมชลประทานต้องการเก็บค่าทำนาจากชาวนา โดยอ้างว่าเพื่อนำเงินเข้ากองทุนหมุนเวียนเพื่อชลประทาน ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการกักเก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม ที่จริงแล้วหน้าที่ดังกล่าวเป็นขององค์ปกปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงชลประทานพื้นที่ซึ่งมีงบประมาณประจำอยู่แล้ว
นาย
วันนิวัติ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2565 กรมชลประทานยังได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นอยู่กรมเดียว อยู่ที่ 77,143.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,036.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.1% ขณะที่กรมอื่นถูกตัดงบลง จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงจะต้องมีการออกกฎกระทรวง เพื่อเก็บค่าใช้น้ำในการทำนากับเกษตรกรเหมือนรีดเลือดกับปู ทั้งที่กองทุนหมุนเวียนเพื่อชลประทาน ก็มีรายได้จากแหล่งอื่น
เช่น การจำหน่ายน้ำให้กับธุรกิจการโรงงานอุตสาหกรรม หรือกิจการประปาอยู่แล้ว จึงอยากให้ผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องยกเลิกแนวคิดดังกล่าว แล้วเร่งรัดจัดสรรแหล่งน้ำในการทำเกษตรกรรมให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวและพืชไร่อื่น ๆ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรในตอนนี้ การที่บอกว่าภาคเกษตรกรรมเป็นผู้ใช้น้ำรายใหญ่ที่สุด
โดยที่ไม่ดูบริบทของการใช้และผลลัพธ์เลย ว่าเกษตรกรใช้น้ำไปเพื่อผลิตอาหารให้คนไทยได้มีกิน มีอาชีพเลี้ยงครอบครัว ผู้ประกอบการได้วัตถุดิบสำหรับการขาย การส่งออก ทั้งหมดล้วนมีสารตั้งต้นจากเกษตรกร ซึ่งถือเป็นอาชีพต้นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตคนทั้งประเทศ การเก็บค่าน้ำที่ได้จากธรรมชาติเอากับเกษตรกร โหดร้ายเกินไป เกษตรกรที่กำลังร่อแร่อยู่แล้ว ได้ตายกันหมดแน่ๆ
ค่าครองชีพพุ่ง! จี้รัฐตรึงราคาสินค้า
https://www.nationtv.tv/news/378860429
สถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากกลไกราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง รวมถึงปัญหาการระบาดของโรค ASF ในหมู
ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนบอกว่า ได้รับผลกระทบอย่างมากจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยากให้ภาครัฐดูแลราคาสินค้าต่างๆไม่ให้สูงขึ้นอีก พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนให้มากกว่าเดิม
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าครัวเรือนยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของราคาอาหารและเครื่องดื่ม โดยในระยะข้างหน้าสถานการณ์ราคาสินค้ายังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานช่วงที่ผ่านมา หรือปัญหาเฉพาะตัวของสินค้า เช่น ราคาเนื้อหมู ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโอมิครอนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อัตราการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเปิดรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเริ่มฟื้นตัวและกำลังซื้อยังไม่กลับมาเต็มที่
ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังคงมีความเปราะบาง มาตรการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาค่าใช้จ่าย เช่น การตรึงราคาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
"สมาคมการค้าพืชไร่" วิพากษ์ หมูแพง โรค “ASF” ใครได้ประโยชน์
https://www.thansettakij.com/economy/510219
สมาคมการค้าพืชไร่ เผย เกษตรกรหมูรายย่อย เจ๊ง โรค “ASF” ขณะที่นายทุนรอด ระบบดี ฉวยจังหวะราคาพุ่งฟันกำไร "หมูแพง" ยังซ่อนกลขอลดภาษีการนำเข้าธัญพืชนอก ผลพวงทำให้ราคาหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจในห่วงโซ่การเลี้ยงหมูในตลาดหุ้นสูงขึ้นไปอีกเด้ง
แหล่งข่าวจากสมาคมการค้าพืชไร่ เผยกับ “
ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากคำกล่าอ้างว่าประเทศเรามีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูถึง 2 แสนกว่าราย (ความจริงมีผู้เกี่ยวข้องหลักเพียง 8 หมื่นกว่าราย) จากความจริงปรากฏว่า ธุรกิจการเลี้ยงหมูอยู่ในมือกลุ่มทุนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประชากรหมูที่เหลือไม่ถึงครึ่ง เป็นผู้เลี้ยงระดับกลางและรายย่อยซึ่งได้ผลกระทบเต็มๆ จากการแพร่ระบาดของโรค ASF
ส่วนกลุ่มผู้เลี้ยงบริษัทใหญ่ที่มีทุนการเลี้ยงระบบปิดป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาดต่างๆ และยังมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนASF ได้มากกว่า จึงทำให้หมูที่เลี้ยงโดยกลุ่มทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่รอดจากการแพร่ของโรค “ASF” ยิ่งหมูขึ้นราคาจากสภาวะอุปทานเนื้อหมูลดลง ยิ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้เพิ่
แน่นอนเมื่อเกิดโรคระบาดอนาคตธุรกิจการเลี้ยงหมูภายในยิ่งไปอยู่ในกลุ่มทุนใหญ่เหล่านั้นมากขึ้นเพราะทำให้ผู้เลี้ยงขนาดกลางและรายย่อยต้องหยุดเลี้ยงไปในที่สุด คงไม่ต่างกับกับธุรกิจการเลี้ยงไก่เนื้อที่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดนกอย่างรุนแรงทำให้รายย่อยและผู้เลี้ยงหลายรายต้องเลิกเลี้ยงจนมีผลให้การเลี้ยงไก่เนื้ออยู่ในเครือข่ายกลุ่มทุนที่เติบโตมีส่วนแบ่งการเลี้ยงถึง 90%
ขณะที่เนื้อหมูขึ้นราคากลุ่มสมาคมที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารสัตว์ซึ่งมีนักล็อบบี้ผู้เป็นผู้บริหารสมาคมมาจากบริษัทใหญ่ที่เก่งมีความสามารถ มีประสบการความชำนาญในการบริหารการค้าระหว่างประเทศ และมีความเชี่ยวชาญเรื่องอากรนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้จ้องหาโอกาสขอลดภาษีอากรนำเข้า วัตถุดิบอาหารสัตว์ตลอดเวลา ยิ่งมีวิกฤติหมูแพง และช่วงธัญพืชตลาดโลกราคาเพิ่มสูง ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะพยายามกดดันให้ภาครัฐลดภาษีนำเข้าธัญพืชและกากธัญพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ เหมือนไม่สนใจว่าจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกธัญพืชวัตถุดิบไทยและอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองไทยอย่างไร
สุดท้ายผลประโยชน์ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือกลุ่มทุนที่ผู้บริหารท่านนั้นเป็นตัวแทนเข้ามาในสมาคม หากภาครัฐทำตามและไม่สนใจที่จะปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกพืชธัญพืชวัตถุดิบไทย ทั้งที่ภาษีอากรนำเข้าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ปกป้องอาชีพให้กับคนในชาติที่หากินโดยสุจริต ยิ่งจะทำให้การเกษตรรายย่อยส่วนใหญ่ซึ่งถือเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยของเศรษฐกิจท้องถิ่นและในระดับภูมิภาคต้องล้มหายจากอาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นภาครัฐควรปกป้องอาชีพของเกษตรกรไทยเหล่านั้นและสร้างความสมดุลทำให้เกิดกับระบบเศรษฐกิจเกิดการกระจายรายสู่ท้องถิ่นอย่างมั่นคง ทุกวันนี้เพื่อเป้าหมายแห่งผลประโยชน์ ตัวแทนกลุ่มทุนรายใหญ่พยายามบิดเบือนสร้างสถานการณ์ ขอให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่กลับส่งผลประโยชน์มากมายให้กับกลุ่มตน
ขณะที่จะสร้างผลกระทบที่จะทำร้ายทำลายโอกาสความอยู่รอดของเกษตรกรไทยอย่างมากในระยะยาว แถมสร้างภาระให้กับภาครัฐต้องใช้ภาษีประชาชนมาประกันรายได้ให้กับเกษตรกร คงไม่ต่างกับการขอยกเลิกการเก็บอากรนำเข้าข้าวสาลีที่ผ่านมาที่สร้างปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า การไม่ประกาศให้ประเทศไทยมีโรคระบาด ASF เป็นการปิดบังในเรื่องที่ผู้บริโภคควรรู้ แต่ส่วนหนึ่งหากประกาศออกไปอาจทำให้ผู้บริโภคตื่นตระหนก อาจมีผลกระทบต่อผู้เลี้ยงหมูทั้งหมด และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจเห็นว่าจะสามารถควบคุมได้จึงไม่ประกาศออกมา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยออกมาอาจไม่มีผลทำให้ผู้บริโภคกลัวเหมือนไข้หวัดนก
แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคจากราคาหมูที่สูงขึ้นจากอุปทานเนื้อหมูที่ลดลง สุดท้ายจากราคาหมูที่สูงขึ้น กลับเป็นการฉกฉวยโอกาสขึ้นราคาเนื้อไก่ ลูกหมู ลูกไก่ ไข่ไก่ และยังขอลดภาษีการนำเข้าวัตถุดิบต่าง ๆ มีผลทำให้ราคาหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจในห่วงโซ่การเลี้ยงหมูในตลาดหุ้นสูงขึ้นไปตาม ๆ กัน แต่สำหรับผู้เลี้ยงหมูขนาดกลางและรายย่อยยังมองไม่เห็นอนาคตอาชีพการเลี้ยงหมูของตนเอง
ยกเว้นภาครัฐจะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเหล่านั้นเข้าถึงวัคซีน เพราะที่ผ่านมาวัคซีนที่มีการทดลองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีการทดลองใช้กับหลายแห่งพบว่าหลังจากหมูได้รับวัคซีน ไม่มีการตรวจพบเชื้อ ASF ดังนั้น หากภาครัฐควรตื่นตัวเน้นการช่วยเหลือให้เกษตรกรรายย่อยได้เลี้ยงหมูที่เข้าถึงวัคซีนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้เกษตรกรสามารถฟื้นคืนอาชีพของตนเองในระยะสั้น
คนท้อของแพง หมู ไก่ ไข่ ขึ้นอีก
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_273214/
นับว่าตอนนี้คนไทยทั่วประเทศได้รับผลกระทบไปทั่วทุกพื้นที่ ทั้งพ่อค้าแม่ค้า คนซื้อ สำหรับปัญหาราคาของที่แพงขึ้น
จนแทบจะซื้อไม่ไหวไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู, เนื้อไก่, ไข่ไก่ น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสาร ที่ทยอยปรับราคาขึ้น ตามกันมาติดๆ เรียกได้ว่าเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทย ที่ยังคงเท่าเดิม ส่วนราคาของแพงขึ้นเหมือนติดจรวด คนหาเงินเหนื่อยจนท้อหาเงินไม่ได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ
ทีมข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ลงพื้นที่สำรวจราคา อาหารสด ที่ตลาดสะพาน 2 ย่านโชคชัย 4 พบว่า เนื้อหมู 210-250 บาท/กก.เช่นเนื้อแดง-สะโพก 210 บาท/กก. สันคอ 240 บาท/กก สันใน-สันนอก 230 บาท/กก. สามชั้น 250 บาท/กก. เนื้อไก่ 65-80 บาท/กก. ไข่ไก่ แพงละ 95-120 บาท ตามขนาด
โดยแม่ค้าร้านเฮียหมู ตลาดสะพาน 2 บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.ว่า สาเหตุที่หมูแพงเกิดจากโรคระบาดในแม่พันธุ์หมูทำให้หมูตาย หมูเนื้อขาดตลาด ปัจจุบันหมูเป็นหน้าฟาร์มปรับขึ้น10 บ. ซึ่งหากหมูเป็นหน้าฟาร์มปรับขึ้น 10 บาท นั่นหมายความว่า หมูหันชิ้นจะต้องปรับเพิ่มขึ้นชิ้นละ 20 บาท พอหมูแพงคนหันไปบริโภคไก่ และไข่ เพราะคิดว่าราคาถูก แต่กลับกัน เนื้อไก่และไข่ไก่ก็ขึ้นราคา ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
สำหรับยอดขายของทางร้านปัจจุบันตั้งแต่ราคาเนื้อหมูปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นแตะ 200 บาท/กก.ยอดขายลดลงกว่า 50% ขายของกำไรได้น้อย แต่ต้องขายเพื่อที่จะหารายได้จ่ายลูกน้อง จ่ายค่าเช่าแพง ค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและเร่งด่วน
และนี่ก็ถือว่าเป็นเสียงสะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนต่อสถานการณ์ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันและยังรอคอยการเข้ามาแก้ไขของรัฐบาลให้สามารถทำมาค้าขายลืมตาอ้าปากได้ ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้
JJNY : 6in1 จวกรัฐจ่อเก็บ'ค่าใช้น้ำทำนา'│ค่าครองชีพพุ่ง!│วิพากษ์หมูแพง│คนท้อของแพง│หวั่นนทท.ไม่ถึงเป้า│อ้อนเลือกสุรชาติ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6833887
รีดเลือดกับปู! “ส.ส.เพื่อไทย” จวกรัฐสอดไส้กฎกระทรวงฯ เตรียมเก็บ “ค่าใช้น้ำทำนา” โวยชาวนาจะตายกันหมดอยู่แล้ว จี้ยกเลิก ก่อนที่จะตายกันหมด
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายวันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่กระทรวงเกษตรฯ รับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปศึกษาปรับปรุง พ.ร.บ. การชลประทานหลวง พ.ศ.2484 ว่า เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดแล้วพบว่ามีการสอดไส้กฎกระทรวง เพื่อเรียกเก็บค่าน้ำชลประทานจากผู้ใช้น้ำจากทางน้ำชลประทาน ทั้งที่อยู่ในและนอกเขตชลประทาน ได้แก่
1. เก็บค่าใช้น้ำชลประทาน หากทำนามากกว่า 30% ของพื้นที่ จ่ายไร่ละ 25 บาทต่อปี ถ้าทำนาในพื้นที่น้อยกว่านั้น เก็บลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท
2. เก็บค่าบำรุงทางชลประทานกับผู้ใช้เรือ แพและยานพาหนะอื่น เช่น ถ้าเป็นเรือเก็บครั้งละ 7 บาทต่อความยาวเรือ 1 เมตร
ทั้งนี้ ที่กรมชลประทานต้องการเก็บค่าทำนาจากชาวนา โดยอ้างว่าเพื่อนำเงินเข้ากองทุนหมุนเวียนเพื่อชลประทาน ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการกักเก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือแบ่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม ที่จริงแล้วหน้าที่ดังกล่าวเป็นขององค์ปกปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงชลประทานพื้นที่ซึ่งมีงบประมาณประจำอยู่แล้ว
นายวันนิวัติ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2565 กรมชลประทานยังได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นอยู่กรมเดียว อยู่ที่ 77,143.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,036.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.1% ขณะที่กรมอื่นถูกตัดงบลง จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงจะต้องมีการออกกฎกระทรวง เพื่อเก็บค่าใช้น้ำในการทำนากับเกษตรกรเหมือนรีดเลือดกับปู ทั้งที่กองทุนหมุนเวียนเพื่อชลประทาน ก็มีรายได้จากแหล่งอื่น
เช่น การจำหน่ายน้ำให้กับธุรกิจการโรงงานอุตสาหกรรม หรือกิจการประปาอยู่แล้ว จึงอยากให้ผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องยกเลิกแนวคิดดังกล่าว แล้วเร่งรัดจัดสรรแหล่งน้ำในการทำเกษตรกรรมให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวและพืชไร่อื่น ๆ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรในตอนนี้ การที่บอกว่าภาคเกษตรกรรมเป็นผู้ใช้น้ำรายใหญ่ที่สุด
โดยที่ไม่ดูบริบทของการใช้และผลลัพธ์เลย ว่าเกษตรกรใช้น้ำไปเพื่อผลิตอาหารให้คนไทยได้มีกิน มีอาชีพเลี้ยงครอบครัว ผู้ประกอบการได้วัตถุดิบสำหรับการขาย การส่งออก ทั้งหมดล้วนมีสารตั้งต้นจากเกษตรกร ซึ่งถือเป็นอาชีพต้นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตคนทั้งประเทศ การเก็บค่าน้ำที่ได้จากธรรมชาติเอากับเกษตรกร โหดร้ายเกินไป เกษตรกรที่กำลังร่อแร่อยู่แล้ว ได้ตายกันหมดแน่ๆ
ค่าครองชีพพุ่ง! จี้รัฐตรึงราคาสินค้า
https://www.nationtv.tv/news/378860429
สถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากกลไกราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง รวมถึงปัญหาการระบาดของโรค ASF ในหมู
ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนบอกว่า ได้รับผลกระทบอย่างมากจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยากให้ภาครัฐดูแลราคาสินค้าต่างๆไม่ให้สูงขึ้นอีก พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนให้มากกว่าเดิม
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าครัวเรือนยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของราคาอาหารและเครื่องดื่ม โดยในระยะข้างหน้าสถานการณ์ราคาสินค้ายังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานช่วงที่ผ่านมา หรือปัญหาเฉพาะตัวของสินค้า เช่น ราคาเนื้อหมู ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโอมิครอนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อัตราการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเปิดรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเริ่มฟื้นตัวและกำลังซื้อยังไม่กลับมาเต็มที่
ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังคงมีความเปราะบาง มาตรการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาค่าใช้จ่าย เช่น การตรึงราคาสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
"สมาคมการค้าพืชไร่" วิพากษ์ หมูแพง โรค “ASF” ใครได้ประโยชน์
https://www.thansettakij.com/economy/510219
สมาคมการค้าพืชไร่ เผย เกษตรกรหมูรายย่อย เจ๊ง โรค “ASF” ขณะที่นายทุนรอด ระบบดี ฉวยจังหวะราคาพุ่งฟันกำไร "หมูแพง" ยังซ่อนกลขอลดภาษีการนำเข้าธัญพืชนอก ผลพวงทำให้ราคาหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจในห่วงโซ่การเลี้ยงหมูในตลาดหุ้นสูงขึ้นไปอีกเด้ง
แหล่งข่าวจากสมาคมการค้าพืชไร่ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากคำกล่าอ้างว่าประเทศเรามีเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูถึง 2 แสนกว่าราย (ความจริงมีผู้เกี่ยวข้องหลักเพียง 8 หมื่นกว่าราย) จากความจริงปรากฏว่า ธุรกิจการเลี้ยงหมูอยู่ในมือกลุ่มทุนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประชากรหมูที่เหลือไม่ถึงครึ่ง เป็นผู้เลี้ยงระดับกลางและรายย่อยซึ่งได้ผลกระทบเต็มๆ จากการแพร่ระบาดของโรค ASF
ส่วนกลุ่มผู้เลี้ยงบริษัทใหญ่ที่มีทุนการเลี้ยงระบบปิดป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาดต่างๆ และยังมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนASF ได้มากกว่า จึงทำให้หมูที่เลี้ยงโดยกลุ่มทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่รอดจากการแพร่ของโรค “ASF” ยิ่งหมูขึ้นราคาจากสภาวะอุปทานเนื้อหมูลดลง ยิ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้เพิ่
แน่นอนเมื่อเกิดโรคระบาดอนาคตธุรกิจการเลี้ยงหมูภายในยิ่งไปอยู่ในกลุ่มทุนใหญ่เหล่านั้นมากขึ้นเพราะทำให้ผู้เลี้ยงขนาดกลางและรายย่อยต้องหยุดเลี้ยงไปในที่สุด คงไม่ต่างกับกับธุรกิจการเลี้ยงไก่เนื้อที่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดนกอย่างรุนแรงทำให้รายย่อยและผู้เลี้ยงหลายรายต้องเลิกเลี้ยงจนมีผลให้การเลี้ยงไก่เนื้ออยู่ในเครือข่ายกลุ่มทุนที่เติบโตมีส่วนแบ่งการเลี้ยงถึง 90%
ขณะที่เนื้อหมูขึ้นราคากลุ่มสมาคมที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารสัตว์ซึ่งมีนักล็อบบี้ผู้เป็นผู้บริหารสมาคมมาจากบริษัทใหญ่ที่เก่งมีความสามารถ มีประสบการความชำนาญในการบริหารการค้าระหว่างประเทศ และมีความเชี่ยวชาญเรื่องอากรนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้จ้องหาโอกาสขอลดภาษีอากรนำเข้า วัตถุดิบอาหารสัตว์ตลอดเวลา ยิ่งมีวิกฤติหมูแพง และช่วงธัญพืชตลาดโลกราคาเพิ่มสูง ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะพยายามกดดันให้ภาครัฐลดภาษีนำเข้าธัญพืชและกากธัญพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ เหมือนไม่สนใจว่าจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกธัญพืชวัตถุดิบไทยและอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองไทยอย่างไร
สุดท้ายผลประโยชน์ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือกลุ่มทุนที่ผู้บริหารท่านนั้นเป็นตัวแทนเข้ามาในสมาคม หากภาครัฐทำตามและไม่สนใจที่จะปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกพืชธัญพืชวัตถุดิบไทย ทั้งที่ภาษีอากรนำเข้าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ปกป้องอาชีพให้กับคนในชาติที่หากินโดยสุจริต ยิ่งจะทำให้การเกษตรรายย่อยส่วนใหญ่ซึ่งถือเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยของเศรษฐกิจท้องถิ่นและในระดับภูมิภาคต้องล้มหายจากอาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นภาครัฐควรปกป้องอาชีพของเกษตรกรไทยเหล่านั้นและสร้างความสมดุลทำให้เกิดกับระบบเศรษฐกิจเกิดการกระจายรายสู่ท้องถิ่นอย่างมั่นคง ทุกวันนี้เพื่อเป้าหมายแห่งผลประโยชน์ ตัวแทนกลุ่มทุนรายใหญ่พยายามบิดเบือนสร้างสถานการณ์ ขอให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่กลับส่งผลประโยชน์มากมายให้กับกลุ่มตน
ขณะที่จะสร้างผลกระทบที่จะทำร้ายทำลายโอกาสความอยู่รอดของเกษตรกรไทยอย่างมากในระยะยาว แถมสร้างภาระให้กับภาครัฐต้องใช้ภาษีประชาชนมาประกันรายได้ให้กับเกษตรกร คงไม่ต่างกับการขอยกเลิกการเก็บอากรนำเข้าข้าวสาลีที่ผ่านมาที่สร้างปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า การไม่ประกาศให้ประเทศไทยมีโรคระบาด ASF เป็นการปิดบังในเรื่องที่ผู้บริโภคควรรู้ แต่ส่วนหนึ่งหากประกาศออกไปอาจทำให้ผู้บริโภคตื่นตระหนก อาจมีผลกระทบต่อผู้เลี้ยงหมูทั้งหมด และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจเห็นว่าจะสามารถควบคุมได้จึงไม่ประกาศออกมา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยออกมาอาจไม่มีผลทำให้ผู้บริโภคกลัวเหมือนไข้หวัดนก
แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคจากราคาหมูที่สูงขึ้นจากอุปทานเนื้อหมูที่ลดลง สุดท้ายจากราคาหมูที่สูงขึ้น กลับเป็นการฉกฉวยโอกาสขึ้นราคาเนื้อไก่ ลูกหมู ลูกไก่ ไข่ไก่ และยังขอลดภาษีการนำเข้าวัตถุดิบต่าง ๆ มีผลทำให้ราคาหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจในห่วงโซ่การเลี้ยงหมูในตลาดหุ้นสูงขึ้นไปตาม ๆ กัน แต่สำหรับผู้เลี้ยงหมูขนาดกลางและรายย่อยยังมองไม่เห็นอนาคตอาชีพการเลี้ยงหมูของตนเอง
ยกเว้นภาครัฐจะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเหล่านั้นเข้าถึงวัคซีน เพราะที่ผ่านมาวัคซีนที่มีการทดลองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีการทดลองใช้กับหลายแห่งพบว่าหลังจากหมูได้รับวัคซีน ไม่มีการตรวจพบเชื้อ ASF ดังนั้น หากภาครัฐควรตื่นตัวเน้นการช่วยเหลือให้เกษตรกรรายย่อยได้เลี้ยงหมูที่เข้าถึงวัคซีนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้เกษตรกรสามารถฟื้นคืนอาชีพของตนเองในระยะสั้น
คนท้อของแพง หมู ไก่ ไข่ ขึ้นอีก
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_273214/
นับว่าตอนนี้คนไทยทั่วประเทศได้รับผลกระทบไปทั่วทุกพื้นที่ ทั้งพ่อค้าแม่ค้า คนซื้อ สำหรับปัญหาราคาของที่แพงขึ้น
จนแทบจะซื้อไม่ไหวไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู, เนื้อไก่, ไข่ไก่ น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสาร ที่ทยอยปรับราคาขึ้น ตามกันมาติดๆ เรียกได้ว่าเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทย ที่ยังคงเท่าเดิม ส่วนราคาของแพงขึ้นเหมือนติดจรวด คนหาเงินเหนื่อยจนท้อหาเงินไม่ได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ
ทีมข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ลงพื้นที่สำรวจราคา อาหารสด ที่ตลาดสะพาน 2 ย่านโชคชัย 4 พบว่า เนื้อหมู 210-250 บาท/กก.เช่นเนื้อแดง-สะโพก 210 บาท/กก. สันคอ 240 บาท/กก สันใน-สันนอก 230 บาท/กก. สามชั้น 250 บาท/กก. เนื้อไก่ 65-80 บาท/กก. ไข่ไก่ แพงละ 95-120 บาท ตามขนาด
โดยแม่ค้าร้านเฮียหมู ตลาดสะพาน 2 บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.ว่า สาเหตุที่หมูแพงเกิดจากโรคระบาดในแม่พันธุ์หมูทำให้หมูตาย หมูเนื้อขาดตลาด ปัจจุบันหมูเป็นหน้าฟาร์มปรับขึ้น10 บ. ซึ่งหากหมูเป็นหน้าฟาร์มปรับขึ้น 10 บาท นั่นหมายความว่า หมูหันชิ้นจะต้องปรับเพิ่มขึ้นชิ้นละ 20 บาท พอหมูแพงคนหันไปบริโภคไก่ และไข่ เพราะคิดว่าราคาถูก แต่กลับกัน เนื้อไก่และไข่ไก่ก็ขึ้นราคา ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
สำหรับยอดขายของทางร้านปัจจุบันตั้งแต่ราคาเนื้อหมูปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นแตะ 200 บาท/กก.ยอดขายลดลงกว่า 50% ขายของกำไรได้น้อย แต่ต้องขายเพื่อที่จะหารายได้จ่ายลูกน้อง จ่ายค่าเช่าแพง ค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและเร่งด่วน
และนี่ก็ถือว่าเป็นเสียงสะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนต่อสถานการณ์ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันและยังรอคอยการเข้ามาแก้ไขของรัฐบาลให้สามารถทำมาค้าขายลืมตาอ้าปากได้ ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้