โรค
African Swine Fever (ASF) หรือ
โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู เป็นโรคหมูที่ถูกนำมาพูดถึงกันมากในระยะ 1-2 ปีนี้ หลังจากที่มีรายงานพบการแพร่ระบาดในประเทศไทยแล้ว จนทำให้มีหมูล้มตายจำนวนมาก และผู้เลี้ยงหมูรายย่อยหลายรายต้องลดจำนวนลงเพราะแบกรับต้นทุน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว จนส่งผลให้เนื้อหมูขาดตลาด และมีราคาแพงขึ้นในที่สุด
ล่าสุด
ความวัวไม่ทันหาย ... ความควาย (หมู) ก็เข้ามาแทรก โรค ASF ในประเทศไทยยังคุกรุ่นไม่ทันหมดไปดี
(ปศุสัตว์ คุม ASF ได้แล้ว หนุนเกษตรกรเลี้ยงใหม่ มั่นใจหมูไม่ขาด)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กรมปศุสัตว์ ควบคุมASFสำเร็จ ตรวจซ้ำไม่เจอเชื้อมากกว่า 30 วัน ใน 26 จังหวัด พร้อมสนับสนุนการกลับมาเลี้ยงใหม่ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการแล้ว ย้ำมีสุกรเพียงพอต่อความต้องการในประเทศอย่างแน่นอน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันควบคุมโรคและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร กรมปศุสัตว์ได้รายงานสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในประเทศไทย
โดยจากการสำรวจข้อมูลของกรมปศุสัตว์ สถานการณ์การระบาดของโรค ASF สะสมทั่วโลก พบการระบาดทั้งหมด 42 ประเทศ 4 ทวีป ประกอบด้วย ทวีปยุโรบ 17 ประเทศ ทวีปแอฟริกา 8 ประเทศ โอเชียเนีย 1 ประเทศ และทวีปเอเชีย 16 ประเทศ
ซึ่งสถานการณ์ทั่วโลกในปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมได้ และมีแนวโน้มจะขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ จากมาตรการควบคุมโรคที่ออกมาอย่างเข้มข้นของกรมปศุสัตว์ ส่งผลให้สถานการณ์การระบาดของโรค ASF ในประเทศไทยนั้นกลับมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2565 - ปัจจุบัน
สำหรับเหตุผลที่ว่า การกำจัดโรค ASF ให้หมดไปจากประเทศต้องใช้ระยะเวลานานก็เพราะ เชื้อ ASF
สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมปกติได้ตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 3 ปี โดยเฉพาะชิ้นส่วนหมูที่ถูกแช่แข็ง
แต่ปัญหาเรื่องใหม่กำลังเข้ามาอีกเมื่อ กรมปศุสัตว์ และเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ
พบหมูเถื่อนทะลักเข้าไทย 1,000 ตู้ต่อเดือน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เผยว่าได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว และพบว่ามีการลักลอบนำเข้าเนื้อและชิ้นส่วนหมูมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนที่จับได้นั้น ยังคงเป็นส่วนน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งเพราะนอกจากจะทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทย ทำให้มีอุปทานส่วนเกินแล้ว ยังเป็นการนำโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF เข้ามาในระบบด้วย ซึ่งเนื้อหมูปนเปื้อนที่เคยตรวจพบไทยนั้นเป็นหมูแช่แข็งที่นำเข้ามาจากยุโรป และมีวางจำหน่ายไปทั่วทุกภูมิภาค
นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี ให้ข้อมูลอีกว่า มีข้อมูลว่าพบเนื้อหมูแช่แข็งลักลอบบรรทุกใส่คอนเทนเนอร์ เข้ามาในไทยถึงราว 1,000 ตู้ต่อเดือน หรือ คิดเป็น 25 ล้านกิโลกรัมโดยภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในปริมาณมาก เนื่องจากมีชายแดนที่ยาว ส่วนชิ้นส่วนหมูที่นำเข้ามาผ่านภาคเหนือ ส่วนหนึ่งนำเข้ามาจากเชียงราย ผ่านประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่สำแดงเท็จเป็นสินค้าอื่น เช่น อาหารทะเลแปรรูป
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้าในช่วงนี้มีราคาถูกกว่าราคาในประเทศมาก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีการปนเปื้อนเชื้อโรค และมีการใช้สารต้องห้าม คือ สารเร่งเนื้อแดง ที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ โดยหมูเนื้อแดงถูกนำมาขายที่ราคาประมาณกิโลกรัมละ 135-140 บาท ถูกกว่าเนื้อหมูในไทยถึง 30-50 บาท จึงอยากให้กรมปศุสัตว์กวาดล้างอย่างจริงจัง
สำหรับ
หมูเถื่อน ทะลักเข้าประเทศไทยได้จากหลายช่องทาง โดยเฉพาะการแอบลักลอบนำเข้ามา โดยการแจ้งเป็นสินค้าชนิดอื่น และรอดพ้นการตรวจสอบจากกรมศุลกากร จนออกไปสู่ท้องตลาด และถึงมือผู้บริโภคในทีสุด แต่หารู้ไม่ว่า
จากปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเหลือทิ้งจากอเมริกา และยุโรป ที่ไม่นิยมบริโภค ขา หัว และเครื่องในหมู เข้ามาในประเทศไทย และไม่ผ่านการตรวจสอบที่ถูกต้อง ไม่ผ่านการตรวจและกักกันโรคนั้น มีโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยต้องกลับไปพบกับปัญหาในเรื่องเดิมๆ อีกก็คือ โรคระบาด ASF อีกครั้ง ยังไม่รวมถึงประเทศต้นทางเหล่านั้นที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงกันอยู่ ในขณะที่ประเทศไทย
สารเร่งเนื้อแดง เป็นสารที่ผิดกฎหมาย และเลิกใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงหมูของไทยมาตั้งแต่ปี 2545 แล้ว (หากตรวจสอบพบ มีโทษจำคุก 1-3 ปี หรือปรับถึง 1 แสน)
โดยสารเร่งเนื้อแดง หรือสารกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ใช้เป็นตัวยาในทางการแพทย์ ช่วยขยายหลอดลมในผู้ป่วยโรคหอบหืดและหลอดลมอักเสบ และใช้ยับยั้งการหดตัวของมดลูกในสัตว์ จนถูกนำมาใช้เป็นสารเร่งเนื้อแดงในสัตว์
หากมีการใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้สารไม่สลายไปก่อนการนำมาบริโภค โดยสารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเสถียรต่อความร้อนทั้งน้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส และน้ำมันที่ 260 องศาเซลเซียส การต้ม อบ ทอด หรือใช้ไมโครเวฟ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารกลุ่มนี้ได้
สำหรับเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้าง และผู้บริโภคที่แพ้สารดังกล่าว หากรับประทานจะมีอาการ ดังต่อไปนี้
การใช้เนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้าง กำลังทำให้กลุ่มผู้บริโภคปลายทางที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่กินเนื้อหมูจากร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านหมูกะทะ คงต้องรับต้นทุนในการดูแลสุขภาพของตนเองเพิ่มขึ้นไปด้วย จากต้นทุนราคาถูก ลดรายจ่าย แต่ได้รายได้เท่าเดิม ทำให้กลุ่มมิจจาชีพเห็นช่องทางฉวยโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างของชิ้นส่วนหมูที่นำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และเป็นชิ้นส่วนที่ประเทศต้นทางไม่บริโภค จึงส่งออกเข้ามายังประเทศไทยในราคาถูก
แต่หารู้ไม่ว่า ด้วยราคาต้นทุนราคาถูก กลับกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ ที่ต้องเสี่ยงกับโรค ASF อีกครั้ง และยังรวมไปถึงผู้บริโภคคนไทย ที่ต้องเสี่ยงกับสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดีอีกด้วย
ดังนั้นทางทีดีที่สุดก็คือ ซื้อเนื้อหมูจากร้านขาย หรือเขียงหมูที่มี
"ตราสัญญลักษณ์ปศุสัตว์ OK" ว่าอย่างน้อยร้านฯ หรือเขียงฯ ดังกล่าวที่เราไปซื้อ ผ่านการตรวจสอบ และรับรองจากกรมปศุสัตว์มาแล้วในระดับหนึ่ง
.
สำหรับพ่อค้า - แม่ค้า ร้านอาหารตามสั่ง ร้านหมูกะทะ ก็อย่าเห็นแก่สินค้าราคาถูกเพียงอย่างเดียว อยากให้ลองสังเกตกันสักนิดว่า ร้านที่คุณสั่งเนื้อหมูมาใช้นั้นมีใบอนุญาต หรือมีความน่าเชื่อถือด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะการสั่งซื้อเนื้อหมูออนไลน์ ผ่านพ่อค้า - แม่ค้าออนไลน์ ที่เราเห็นแต่รูป กับราคาที่ถูกแสนถูกมาล่อตาล่อใจให้ซื้อนั้น อาจจะกำลังนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บแก่คนไทยด้วยกันนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฝากเกษตรกรคนไทยไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของคนไทยด้วยกันนะครับ เพราะผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูดังกล่าวนั้น ยังส่งผลกระทบตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกพืช เพื่อใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์ และยังรวมถึงสุขภาพของผู้บริโภคคนไทยด้วยกันครับ
ความวัวไม่ทันหาย ... ความควาย (หมู) ก็เข้ามาแทรก
ล่าสุด ความวัวไม่ทันหาย ... ความควาย (หมู) ก็เข้ามาแทรก โรค ASF ในประเทศไทยยังคุกรุ่นไม่ทันหมดไปดี (ปศุสัตว์ คุม ASF ได้แล้ว หนุนเกษตรกรเลี้ยงใหม่ มั่นใจหมูไม่ขาด)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับเหตุผลที่ว่า การกำจัดโรค ASF ให้หมดไปจากประเทศต้องใช้ระยะเวลานานก็เพราะ เชื้อ ASF สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมปกติได้ตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 3 ปี โดยเฉพาะชิ้นส่วนหมูที่ถูกแช่แข็ง
แต่ปัญหาเรื่องใหม่กำลังเข้ามาอีกเมื่อ กรมปศุสัตว์ และเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ พบหมูเถื่อนทะลักเข้าไทย 1,000 ตู้ต่อเดือน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับ หมูเถื่อน ทะลักเข้าประเทศไทยได้จากหลายช่องทาง โดยเฉพาะการแอบลักลอบนำเข้ามา โดยการแจ้งเป็นสินค้าชนิดอื่น และรอดพ้นการตรวจสอบจากกรมศุลกากร จนออกไปสู่ท้องตลาด และถึงมือผู้บริโภคในทีสุด แต่หารู้ไม่ว่า
จากปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเหลือทิ้งจากอเมริกา และยุโรป ที่ไม่นิยมบริโภค ขา หัว และเครื่องในหมู เข้ามาในประเทศไทย และไม่ผ่านการตรวจสอบที่ถูกต้อง ไม่ผ่านการตรวจและกักกันโรคนั้น มีโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยต้องกลับไปพบกับปัญหาในเรื่องเดิมๆ อีกก็คือ โรคระบาด ASF อีกครั้ง ยังไม่รวมถึงประเทศต้นทางเหล่านั้นที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงกันอยู่ ในขณะที่ประเทศไทย สารเร่งเนื้อแดง เป็นสารที่ผิดกฎหมาย และเลิกใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงหมูของไทยมาตั้งแต่ปี 2545 แล้ว (หากตรวจสอบพบ มีโทษจำคุก 1-3 ปี หรือปรับถึง 1 แสน)
โดยสารเร่งเนื้อแดง หรือสารกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ใช้เป็นตัวยาในทางการแพทย์ ช่วยขยายหลอดลมในผู้ป่วยโรคหอบหืดและหลอดลมอักเสบ และใช้ยับยั้งการหดตัวของมดลูกในสัตว์ จนถูกนำมาใช้เป็นสารเร่งเนื้อแดงในสัตว์ หากมีการใช้ในปริมาณและระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้สารไม่สลายไปก่อนการนำมาบริโภค โดยสารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเสถียรต่อความร้อนทั้งน้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส และน้ำมันที่ 260 องศาเซลเซียส การต้ม อบ ทอด หรือใช้ไมโครเวฟ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารกลุ่มนี้ได้